ลู่เหมียวเหมียวอึ้งไปเลย
ลู่เชี่ยนพูดอย่างดุเดือด:“เธอและลู่หยาง พวกเธอไม่ควรเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ได้แตกต่างจากตระกูลหงเลย ?ทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นเพื่อโกหกพวกเธอ!”
“ถ้าเขารู้สึกผิดจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้หนี้ต่อหน้าหลุมศพของพ่อแม่ละ?”
สีหน้าของลู่เหมียวเหมียวสับสนเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ขณะนั้น เขาไม่รู้จะพูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ และยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่ต้องไปทำ
ลู่หยางพูดอย่างจำใจว่า:“พี่ใหญ่ พี่เกลียดเขามากๆแล้วจะทำอะไรได้?พวกเรามีกันแค่สามคน จะเอาชนะเขาได้เหรอ?”
“หุบปาก!”ลู่เชี่ยนตะโกนออกมาและพูด“ลู่หยาง คุณเป็นผู้ชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลลู่ คุณไม่ควรหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ ไม่เช่นนั้น ตระกูลลู่ของเราก็คงไม่มีความหวังแล้ว?”
ใบหน้าของลู่หยางเคร่งขรึมเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จากนั้นเขาก็หันหน้าไป ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ลู่เชี่ยนมองดูน้องสาวและน้องชายที่ไม่เอาไหนทั้งสองคน เธอก็ต่อว่าพวกเขาไป
เมื่อพูดเสร็จ ลู่เชี่ยนก็ค่อยๆหยิบไวน์แดงหนึ่งขวดออกจากตู้เก็บไวน์และพูดว่า:“ฉันก็ไม่ได้คาดหวังในตัวพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ฉันจะเป็นคนไปแก้แค้นเอง”
“พี่สาว พี่จะทำอะไร?”ลู่เหมียวเหมียวกับลู่หยางมองลู่เชี่ยนด้วยความประหลาดใจ
ลู่เชี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา“เดียวฉันจะหาโอกาสดื่มอวยพรให้เขา ฉันจะวางยาพิษในไวน์ ถ้าเขาดื่มไวน์เข้าไป เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน และพวกเราก็แก้แค้นได้”
“แล้วพี่จะทำยังไง?”ลู่เหมียวเหมียวตกใจและถามทันที
ลู่เชี่ยนกล่าวอย่างมั่นใจ:“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ยาพิษนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงถึงจะออกฤทธิ์ พวกเจ้ามีเวลามากพอที่จะหลบหนี”
เมื่อพูดจบ ลู่เหมียวเหมียวมองดูท่าทางของลู่เชี่ยน จู่ๆเธอก็กลัวขึ้นมาทันที
ลู่หยางก็หวาดกลัวเหมือนกันและพูดจาตะกุกตะกัก“พี่ใหญ่ หนี……จะหนีไปที่ไหน จะหนีได้จริงๆเหรอ?”
“หนีไปที่ไหนก็ได้ ในหลันเต่าไม่ได้มีเพียงแค่เขตที่สี่ เป็นไปได้ที่เขาจะสามารถยึดครองเขตอื่นๆได้?”ลู่เชี่ยนพูดอย่างเย็นชา
……
เวลาเก้านาฬิกา ในห้องโถงมีเสียงระฆังดังขึ้น
เมื่อสักครู่มีเสียงครึกครื้นจากผู้คน ตอนนี้ทั้งหมดเงียบลงทันที
พวกเขาทุกคนมองไปที่ด้านบนของเวที ด้วยสายตาที่คาดหวังและเคารพ
ไป๋ยี่เฟยกับฉางเชี่ยวและคนอื่นๆที่เป็นบุคคลสำคัญเดินขึ้นไปยังเวที
ในระหว่างทางไป๋ยี่เฟยยิ้มและพูดกับฉางเชี่ยวว่า:“คุณดูสีหน้าของพวกเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเห็นด้วยและซาบซึ้งกับนโยบายและกฎระเบียบของคุณมากแค่ไหน คุณทำได้ดีมากๆ”
“ถ้าไม่มีเงินของคุณ ฉันก็คงทำไม่ได้?”ฉางเชี่ยวส่ายหัวและพูด
ไป๋ยี่เฟยยิ้มและไม่ได้ปฏิเสธ
จู่ๆฉางเชี่ยวก็ถามไป๋ยี่เฟย:“คุณยังมีความคิดอย่างอื่นด้วยใช่ไหม?ถึงให้ฉันมาดูแลเมืองเจาหยาง?”
“คุณทายสิ”ไป๋ยี่เฟยอุบไว้และไม่ยอมพูดออกมา
ฉางเชี่ยวขมวดคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม:“เขตต่อไปที่คุณจะยึดครองคือเขตที่สองและเขตที่สามใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มอย่างเดียวและไม่พูดอะไร
ในขณะที่พวกเขาจะเดินขึ้นเวที จู่ๆลู่เชี่ยนก็ปรากฏตัว
“เกิดอะไรขึ้น?”ไป๋ยี่เฟยอึ้งไปชั่วครู่
ฉางเชี่ยวมองลู่เชี่ยนด้วยความประหลาดใจ
ลู่เชี่ยนยิ้มและกล่าวคำขอโทษ:“พี่ไป๋ ฉันมาที่นี่เพื่อขอโทษคุณ”
“ขอโทษ?”ไป๋ยี่เฟยรู้สึกประหลาดใจมากๆ
สีหน้าของลู่เชี่ยนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“เมื่อก่อนเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฉันเอง ฉันคิดว่าพวกคุณทำไม่ได้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของทุกคนในวันนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าฉันคิดผิด ฉันเข้าใจพี่ไป๋ผิดเอง”
“ดังนั้นฉันมาที่นี่เพื่อขอโทษพี่ไป๋ ฉันขอคารวะพี่ด้วยไวน์หนึ่งแก้ว”
ขณะพูด เธอก็ยื่นแก้วไวน์ในมือของตัวเองให้ไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยก้มหน้ามองแก้วไวน์ที่อยู่ในมือของลู่เชี่ยน ทำให้จิตใจของเขาสับสน
เวลาที่ผ่านมา ลู่เชี่ยนกับน้องสาวและน้องชายทั้งสามคนได้กลายเป็นปมในจิตใจของไป๋ยี่เฟย ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเอง ลู่หย่วนและคนอื่นๆในตระกูลลู่ก็คงไม่เสียชีวิต เขาทั้งสามคนก็คงไม่ต้องเสียพ่อแม่ไป
ทำให้เขารู้สึกผิดต่อพี่น้องสามคนนี้มากๆ เมื่อเห็นสิ่งที่ลู่เชี่ยนทำในวันนี้ มันหมายความว่าพวกเขาทั้งสามคนปล่อยวางความแค้นและเดินออกมาจากความทุกข์จากการสูญเสียพ่อแม่แล้วใช่ไหม?
และไป๋ยี่เฟยก็สามารถคลายปมที่อยู่ในจิตใจตัวเองออกมาได้?
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจ แต่เขารู้ว่านี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะดื่มไวน์เลย เขาดื่มไวน์หมดแก้วในคราวเดียว
เมื่อเห็นไป๋ยี่เฟยดื่มไวน์จนหมด สีหน้าของลู่เชี่ยนมีรอยยิ้มที่จริงใจ และเธอก็รู้สึกตื่นเต้น
ไป๋ยี่เฟยดื่มไวน์จนหมดแล้วยื่นแก้วให้เธอ“ขอบคุณ คุณช่วย……”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ลู่เชี่ยนตื่นเต้นและหันหลังเดินจากไป
จู่ๆไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้คิดมาก เพราะมันเป็นการเริ่มต้นที่ดี
จากนั้น พวกเขาเดินขึ้นไปยังเวที ฉางเชี่ยวกระแอมและพูดกับทุกคนว่า:“สวัสดีทุกคน ฉันชื่อฉางเชี่ยว เป็นคนดูแลเขตที่สี่”
“ทุกคนคงคุ้นเคยกับกฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆที่เขียนขึ้นใหม่ในเขตที่สี่ และวันนี่ฉันขอประกาศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขตที่สี่จะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเจาหยาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่”
“ในเวลาเดียวกัน ฉันมาที่นี่เพื่อให้สัญญากับพวกคุณทุกคน จากนี้ไปเมืองเจาหยางของพวกเราจะเป็นเมืองที่มีแต่ความสุขและชีวิตชีวา และจะเป็นเมืองที่ไร้ซึ่งอำนาจมืดและการกดขี่ขมแหง เพราะว่าที่นี่ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันหมด!”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนยินดีและปรบมือ
เพราะนโยบายและกฎระเบียบเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป แต่มันจะไม่เป็นผลดีต่อผู้มีอำนาจและผู้มั่งคั่งบางคน
แต่ตอนนี้ตระกูลหงโดนล้มล้างไปแล้ว แน่นอนไม่มีผู้มีอำนาจคนไหนกล้าออกมาต่อต้านหรือปฏิเสธ
แน่นอนว่าไม่ร่วมทุกคน เพราะเวลานี้ มีคนออกมาต่อต้านจริงๆ
“พูดได้ดีมากแต่มันไม่ใช่ความจริงเลย มันเป็นการทำลายผลประโยชน์ของผู้อื่นเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง?”จู่ๆมีเสียงดังขึ้น
หลังจากมีหนึ่งเสียงดังขึ้น ก็มีเสียงที่สองและสามตามมา
“ใช่ บอกว่าให้ใช้ธนบัตร สุดท้ายเขาก็ต้องการทองคำที่อยู่ในมือทุกคน?”
“มีทองคำถึงจะสามารถซื้อตั๋วเรือได้ ตอนนี้พวกเราไม่มีความหวังอะไรเลย!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ทำให้ฉางเชี่ยวขมวดคิ้วทันที เมื่อเขามองลงไป เขาก็พบวัยรุ่นอายุยี่สิบถึงสามสิบปี เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาเพื่อก่อกวนและสร้างปัญหา
ชายที่มีตุ้มหูอันใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆฉางเชี่ยวรู้สึกไม่ค่อยพอใจ“คนพวกนี้มันโง่ เห็นได้ชัดว่าชีวิตของตัวเองดีกว่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังมาก่อกวนและสร้างปัญหาอีก”
เมื่อไป๋ยี่เฟยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดเบาๆ:“มันไม่สามารถเป็นข้อสรุปได้ เพราะมันไม่ใช่เสียงของทุกคน”
“คุณรู้ได้ยังไง?”ชายที่ใส่ตุ้มหูอันใหญ่มองไป๋ยี่เฟยด้วยความไม่เข้าใจ
ไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฉางเชี่ยวก็รีบพูดทันที:“คนที่มาก่อกวนพวกนี้เป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบถึงสามสิบปี พวกเขาส่วนใหญ่มาถึงหลันเต่าตั้งแต่เด็กหรือไม่ก็เกิดที่หลันเต่าเลย พวกเขาไม่เคยเห็นโลกภายนอกเป็นยังไง แล้วพวกเขาจะเข้าใจได้ยังไง?แล้วพวกเขาจะจากไปทำไม?”
เมื่อชายใส่ตุ้มหูอันใหญ่ได้ยินคำพูดของฉางเชี่ยว เขาก็เชื่อทันที จากนั้นเขามองไปยังด้านล่างเวที และพบว่าคนส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น
จู่ๆไป๋ยี่เฟยก็พูดขึ้นมา:“คนเหล่านี้อาจจะมีการวางแผนมาก่อนแล้ว”
เมื่อพูดจบ พวกเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงเดินขึ้นมาด้านหน้าสุด
เป็นเพราะมันเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้ทุกคนมองมาที่เขา
“เขาเป็นใคร?”
“ไม่รู้!”
“ฉันเห็นเขายืนอยู่ด้านหน้าของท่านฉางเชี่ยว!”
“พวกเจ้าไม่รู้อะไรจริงๆเหรอ?”
“เขาคือคนที่ล้มล้างตระกูลหง!”
“แม่งเอ๊ย คือเขาจริงเหรอ?”
……
ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ทำให้พวกเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจและยืนอยู่หน้าเวที แล้วมองผู้คนที่อยู่ในห้องโถงทีละคนๆ
ในที่สุด เขาก็มองไปที่คนๆหนึ่ง แล้วจ้องมองคนๆนั้นและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการก่อกวนครั้งนี้ใช่ไหม?”
เพราะคำพูดนี้ ทำให้ทุกคนสนใจขึ้นมาทันที
ทุกคนมองไปในทิศทางที่ไป๋ยี่เฟยกำลังมองอยู่ พวกเขาพบว่ามีคนสวมเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่ตรงนั้น
มองจากรูปร่างน่าจะเป็นผู้ชาย
เมื่อชายคนนั้นได้ยิน ร่างกายของเขาก็สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นเขาก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนอีกต่อไป เขาดึงเสื้อคลุมออก