หญิงสาวพยักหน้ารับคำ มองดูไป๋ยี่เฟยกับพวก ขึ้นบนเรือชูชีพ นั่งเรือมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทร
แม้ว่าเรือชูชีพจะดี แต่พวกเขาไม่รู้ทิศทางที่จะไป และไม่รู้จุดหมายที่ชัดเจน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นกัปตันเฒ่า ก็ไม่กล้าที่จะออกทะเลไป
ยังไงแล้ว ไม่มีทั้งทิศทางและยังไม่มีเป้าหมาย มีโอกาสหลงทางอยู่ในกลางมหาสมุทรมีมาก ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน
อีกทั้ง ยังมีโอกาสประสบกับสภาพอากาศที่เลวร้าย คลื่นทะเลลูกใหญ่ โหมซัดกระหน่ำทำให้เรือล่มได้
เหตุผลอีกอย่าง ใครจะไปรู้ว่า ใต้มหาสมุทรอันลึกลับแห่งนี้ จะมีสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ปรากฏออกมาหรือเปล่า หากวันใดวันหนึ่งประสบพบเจอ อย่าพูดถึงคนเลย แม้แต่เรือลำนี้อาจจะถูกกลืนกินเข้าไปก็ได้
ดังนั้น เต้าจ่างและลูกเรือ จึงไม่ใช้เรือชูชีพลำนี้ แต่กลับใช้โทรศัพท์เพื่อติดต่อประสานงานขอความช่วยเหลือ
แต่ไป๋ยี่เฟยกับพวกอับจนหนทาง แนวโขดหินใหญ่ขนาดนั้นเอง หากปล่อยเวลาผ่านไป ไม่รู้ว่าจะไปแอบซ่อนที่ไหนอีก?
ครั้นรอให้เต๋าจ่าง ขับพิษออกมาจนหมด ตราบใดที่พวกเขายังอยู่แนวโขดหินบนเกาะ ตามหาพวกเขาจนพบ ก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ฉะนั้น พวกเขาทำได้เพียงต้อง ออกจากแนวโขดหินบนเกาะ นั่งบนเรือชูชีพออกมากลางทะเล
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ทิศทางที่จะไป อีกครั้งยังค่ำมืดดึกดื่น การออกทะเลในตอนนี้ เท่ากับรนหาที่ตาย
หลังจากที่ เรือค่อยๆ ออกมาห่างจากแนวโขดหินบนเกาะ พวกเขาพึ่งจะได้รู้ว่า ใช้วิธีนี้ ยิ่งทำให้สะดุดตามากยิ่งกว่า แอบอยู่ในแนวโขดหินบนเกาะ
“ไอ้บ้า! เป็นเพราะแกแท้ ๆ! แกไม่มีสมองบ้างหรือไง? มันไม่ง่ายกว่าที่ฉันจะหลอกเต้าจ่างได้ พวกแกก็รอให้คนมาช่วยเหลืออยู่เงียบๆไม่ดีกว่า อยากจะแส่ไปหาเต้าจ่าง เป็นไงล่ะตอนนี้ เต้าจ่างล่วงรู้ทั้งหมดแล้ว เดิมทีฉันคิดว่าอาจจะมีชีวิตรอดอยู่ไปสักระยะหนึ่ง ตอนนี้คงจบเห่กัน……”
ล่ายเคอ เดือดดาลมาก สบถด่าลู่หยางไปคำโต “ตอนนี้ฉันอยากจะฆ่ามันให้ตายเสียตรงนี้เลย!”
มองเห็นสภาพการณ์ ลู่เหมียวเหมียว รีบเข้าไปปกป้องลู่หยางไว้
ลู่หยางกลับผลักตัวลู่เหมียวเหมียว ตะโกนด่าด้วยท่าทีไม่ยอมเช่นกัน: “ตำหนิฉันได้ยังไง พิษพวกแกทั้งสองก็เป็นคนลงมือ วางยาพิษแล้วไม่กล้าที่จะไปฆ่าเขา เกี่ยวข้องอะไรกับฉันด้วยละ?”
“ฉันอายุแค่สิบห้าปี จะให้ฉันรับผิดชอบหน้าที่อะไรมากมาย? พวกคุณมีความสามารถ ควรฉวยโอกาสวางยาพิษฆ่าเขา พูดออกมาตอนนี้มีประโยชน์อะไรล่ะ?”
เป็นเพราะแรงผลักลู่เหมียวเหมียวแรงไปหน่อย จนทำให้เหลือเล็กๆ โยกเยกไปมา
ล่ายเคอ ว่ายน้ำไม่เป็น ฉะนั้น เขาจึงรีบคว้ากาบเรือไว้ด้วยความรวดเร็ว ตกใจกลัวอยู่บ้าง
ในขณะนั้นเอง จู่ ๆไป๋ยี่เฟย ยื่นมือออกมา คว้าคอลู่หยางไว้ จากนั้นก็ยกเขาขึ้นทั้งตัว ยื่นออกไปกลางทะเล
ลู่หยาง ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด ไม่มีท่าที่เดือดดาลเหมือนเมื่อครู่ ทำได้เพียงร้องตะโกนเสียงดัง “พี่สาว พี่ช่วยผมด้วย คน ๆนี้ไม่เพียงแต่ทำร้ายพ่อแม่เรา ตอนนี้ยังคิดที่จะฆ่าฉันอีก!”
ลู่เหมียวเหมียวร้อนใจ ต้องการจะไปห้ามปรามไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟย แสดงสีหน้าถมึงทึงตะคอกใส่ลู่หยางเสียงดังว่า “แกหุบปากเดี๋ยวนี้!”
เสียงตะคอกนี้ ทำจนลู่เหมียวเหมียวและล่ายเคอตกใจ
อีกทั้งล่ายเคอ เห็นดวงตาของไป๋ยี่เฟยเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ใจคอเริ่มหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น
ไป๋ยี่เฟย จ้องหน้าลู่หยาง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า: “ตอนนี้แกมันยังไม่รู้จักกลับเนื้อกลับตัว!”
“แกรู้ไหม เป็นเพราะพวกแก จะทำให้พวกเราเกือบตายกันหมด?”
“ฉันเป็นศัตรูของแก ฉันตายไปสักคนก็ไม่เห็นมีอะไร แต่แกตาย พี่สาวของแกก็ตายไปด้วย?”
“ยังกล้าพูดว่าตนเองสิบห้าปี สิบห้าปีควรที่จะรู้เรื่องทำอะไรได้บ้างแล้ว อีกทั้งตนเองยังเป็นผู้ชาย ทำเรื่องผิดพลาด ยังไม่คิดจะสำนึกผิด กลับยังผลักความรับผิดชอบให้กับคนอื่น แกมันยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า!”
“อีกอย่าง ฉันอยากจะบอกแกว่า เรื่องพ่อแม่ของแก เป็นเพราะฉัน แกจะปฏิบัติต่อฉันเหมือนศัตรูคนหนึ่ง ฉันก็ยอมรับไม่เถียง แต่ไม่ได้แสดงว่าการเป็นศัตรูของแก และไม่ได้แสดงว่าฉันอยากที่จะทำ เพราะฉันมีเป้าหมายแค่เพียงให้พวกแกสองพี่น้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น”
“แกจำไว้ให้ดี เห็นแก่หน้าพ่อแม่ของพวกแก ฉันยอมใจกว้างให้อภัยแกสองพี่น้อง แต่ระดับความอดทนของฉันมีจำกัดนะ!”
“คราวก่อน พวกแกช่วยเหลือฉันให้ขึ้นมาบนเรือได้ ฉันก็เคยให้พวกแกได้เห็นกับตาว่าเค้าเป็นคนอย่างไร ผลสุดท้าย แกก็ยังคงโง่ที่จะไปหาเขาอีก!”
“อย่าพูดถึงล่ายเคอเลย ตอนนี้ฉันก็อยากจะฆ่ามันให้ตายเสียตรงนี้!”
ครั้งนี้ไป๋ยี่เฟย โมโหมากจริง ๆ
ครั้งสองครั้งทำพลาดไม่รู้ความก็ยังพอให้อภัย แต่เขาจะไม่มีวันอดทนต่อความโง่ของเขา!
อีกทั้งความไม่รู้ความของลู่หยางแบบนี้ เขาเรียกกันว่าโง่งี่เง่าที่สุด
ลู่เหมียวเหมียวกับลู่หยางถูกไป๋ยี่เฟยดุด่าเสียงดังจนนั่งอึ้ง
ลู่หยางยิ่งตกใจกลัวจนหน้าถอดสี
และล่ายเคอเองเห็นท่าทีของไป๋ยี่เฟยอยู่ฝั่งตนเอง ยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า “จะว่าไป……”
“หยุดพูด!”
เขายังไม่ทันพูดจบความ ไป๋ยี่เฟย หันหน้ามาตวาดเขา หนึ่งประโยคว่า “ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แกยังมีจิตใจหัวเราะเยาะอีกเหรอ?”
ล่ายเคอ อ้ำอึ้ง หดตัวลงไปด้านหลังไม่พูดออกมาอีกเลยสักคำ
ไป๋ยี่เฟย ไม่ได้คิดจริง ๆว่าจะโยนลู่หยางออกไปกลางทะเล เขาคิดแค่เพียงข่มขู่เขาไปเท่านั้น ดังนั้นพูดจบก็ดึงตัวเข้ามานั่งอยู่บนเรืออีกครั้ง
หลังจากนั้น ไม่มีใครพูดออกมาเลยสักคำ
สถานการณ์สงบอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ยี่เฟยเปิดปากพูดขึ้นมาช้า ๆว่า: “พ่อของคุณขอร้องให้ฉันพาพี่สาวคุณออกจากหลันเต่า เพื่อให้ได้มีชีวิตอย่างสงบสุข แต่ทว่า พ่อคุณไม่ได้บอกว่าจะให้พาคุณไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ชีวิตของคุณไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของฉัน แต่เป็นความรู้สึกที่ดีต่อกันระหว่างฉันกับพ่อคุณ”
“คุณจดจำให้ดี อย่าคิดว่าฉันปกป้องชีวิตคุณ คุณก็จะทำท่าทีอวดดีไร้ยางอายได้”
“หากฉันหมดความอดทนเมื่อไหร่ ฉันก็จะไม่ใจอ่อนลงมือกับคุณได้นะ!”
ตอนนี้ลู่หยางไม่เพียงมีสีหน้าซีดเผือด แม้แต่ริมฝีปากก็ไม่มีสีเลือด
เด็กอายุ15ปี มีชีวิตอยู่ในช่วงกบฏ ความคิดของเขาทั้งหมดมักจะมองอยู่กับตนเอง เสียงของโลกภายนอก เขาย่อมไม่ไปสดับฟัง
แต่ว่าตอนนี้ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตนเอง และยังมีชีวิตพี่สาวเขาอีกคน เขาไม่กล้าที่จะไปโต้เถียงอะไร เพราะว่าเขาเองก็รู้สึกว่าครั้งนี้ได้ทำผิดไปจริง ๆ
บนเรือเล็ก ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
อีกสักพัก ไป๋ยี่เฟยใช้โทรศัพท์ของล่ายเคอโทรไปหาฉางเชี่ยว บอกตำแหน่งที่ตั้งของตนเองให้กับเขาคร่าว ๆ จากนั้นก็รอให้พวกเขามาช่วยเหลือ
แต่ก่อนที่จะมีใครจะมาช่วยเหลือ พวกเขาต้องประสบพบเจอกับอะไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต
ในช่วงเวลาที่ค่ำมืด ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล เรือชูชีพลำน้อย ๆลอยอยู่กลางทะเล ไป๋ยี่เฟยเองก็กำลังนั่งจับเจ่า
เขาจึงถามล่ายเคอว่า “พวกคุณ คิดเห็นยังไงกับแนวโขดหินนั้น?”
ล่ายเคอ ได้ยินคำถามจึงยักไหล่เบา ๆและพูดว่า: “พวกคุณตกลงไปในทะเล ไม่ใช่เหรอ? เดิมทีพวกเราคิดว่าคุณตายไปแล้ว แต่เต้าจ่างพูดว่า คุณยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นพวกเราก็ออกทะเลตามหาคุณ”
“ตามหาเป็นเวลานานก็หาไม่พบ เต้าจ่างถึงจะเชื่อว่าคุณตายไปแล้วอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก จากนั้นพวกเราวางแผนที่จะกลับ”
“แต่ใครจะไปรู้ จู่ ๆเรือของเรากระแทกโดนอะไรก็ไม่รู้”
ไป๋ยี่เฟย ได้ยินคำพูดขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามด้วยความสนใจว่า: “โดนอะไรกระแทกเหรอ?”
ล่ายเคอส่ายหัว แต่ภายในดวงตาเห็นได้ชัดว่า มีความหวาดกลัว “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งของนั้นใหญ่มาก เหมือนเป็นตัวอะไรใหญ่มาก ๆตัวหนึ่ง ขนาดใหญ่เกือบเท่าเรือของพวกเรา
“อีกทั้ง ไอ้ตัวนั่นบนหัวของมันยังมีเขางอกมาด้วย ลำตัวคล้ายปลา แต่มีกรงเล็บ แปลกประหลาดมาก”
“พวกเราไม่เคยเห็นสัตว์ประเภทนี้มาก่อน จึงทำได้รีบ ๆ หนีไปให้พ้น ๆ”
“หลังจากนั้นคุณก็รู้อยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ ล่ายเคอดูเหมือนจะมีความกังวล กวาดสายตามองไปรอบๆ พูดว่า “พวกเราคงจะไม่เจอไอ้ตัวนั้นนะ? เรือเล็กนิดเดียว หากเจอมันเข้า เกรงว่าจะถูกมันกินไปคำเดียว”
พูดจบ ลู่เหมียวเหมียวกับลู่หยางตกใจกลัวมาก ใบหน้ากังวลใจสอดสายตามองดูไปรอบ ๆ
ไป๋ยี่เฟย กลับไม่มีท่าทีตอบสนองอะไร พูดเสียงเย็นชากลับไปว่า: “อย่าตกใจไปเอง ในเมื่อบรรดาลูกเรือก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าอย่างนั้น คงจะไม่พบเห็นบ่อย อาจจะเป็นการเจอมันระหว่างทาง”
ล่ายเคอ ได้ยินคำพูดพยักหน้ารับคำ เหมือนสบายใจขึ้นมาบ้างพูดว่า “ก็คงหวังไว้อย่างนั้น”
ถึงแม้ว่าท้องทะเลจะมืดสนิท แต่พวกเขาก็ยังโชคดี ไม่ได้เจอกับตัวประหลาดอะไร
พอฟ้าสว่างฝนก็ตก คนที่อยู่บนเรือชูชีพเปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำ
ลู่เหมียวเหมียว เพิ่งจะสร่างไข้ ตอนนี้โดนฝนอีกครั้ง ไป๋ยี่เฟยกังวลว่าเธอจะเป็นไข้ขึ้นมาอีก จึงนำเสื้อคลุมศีรษะเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอเปียกฝนไปมากกว่านี้
ไป๋ยี่เฟยกระทำเช่นนี้ส่งผลให้ลู่เหมียวเหมียวรู้สึกประทับใจมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ลู่หยาง เห็นพวกเขาสองคนเป็นแบบนั้น ขุ่นเคืองมาก ต้องการใช้เสื้อของตนเอง ไปเปลี่ยนกับของของไป๋ยี่เฟย แต่กลับถูกล่ายเคอดึงตัวไว้ ให้พวกเขาทั้งสองคนใช้เสื้อปิดหัวเพื่อกำบังฝน
พวกเขาทุกคนไม่รู้ว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน และไม่รู้ว่าลอยอยู่กลางทะเลนานแค่ไหนแล้ว
ในที่สุด ฝนก็ซาลง พวกเขาจึงเห็นเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง
แต่ละคน ตื่นเต้นสุดประดัง
ใช้มือจับเสื้อผ้าโบกสะบัด ไปมา โห่ร้องเรียก