ไป๋ยี่เฟยเห็นแล้วพูดเบาๆ ว่า: “ที่นี่ฉันยังมีตัวเลือกอีกข้อหนึ่ง”
เต้าจ่างขมวดคิ้ว มองไปที่ไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยพูดว่า: “พวกเรากลับหลันเต่าด้วยกันแล้วค่อยคุยรายละเอียดเป็นอย่างไร?”
เต้าจ่างส่ายศีรษะอย่างมั่นใจแล้วพูดว่า: “ไม่ได้”
เมื่อกลับถึงหลันเต่า อาศัยอิทธิพลของไป๋ยี่เฟยในเวลานี้ กับกลุ่มคนพวกนั้นที่อยู่ข้างกายเขา เป็นงานหนักสำหรับเต้าจ่าง ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เต้าจ่างก็เหลือเขาเพียงตัวคนเดียว
หลังไป๋ยี่เฟยครุ่นคิด ยิ้มให้เต้าจ่างพูดว่า: “ฉันรู้สึกว่าได้ อีกทั้งคุณต้องเห็นด้วยแน่ ๆ ”
“เหตุผล?” เต้าจ่างถาม
ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆ ว่า: “พวกเราทำข้อตกลงเรื่องหนึ่ง”
“พวกเรากลับหลันเต่าด้วยกันอย่างสงบ หลังจากกลับถึงหลันเต่าแล้ว พวกเราต้องหยุดพักรบหนึ่งเดือน หลังจากนั้นค่อยนัดแนะจัดหาสถานที่แห่งเพื่อสู้กันตัวต่อตัว”
“หากคุณชนะแล้ว ก็สามารถฆ่าฉันได้เลย หรือว่าจะทรมานฉันให้หนักเพื่อให้ฉันพูดในสิ่งที่คุณอยากรู้ แต่ถ้าเป็นฉันที่ชนะแล้ว ฉันก็จะฆ่าคุณ”
เต้าจ่างเหล่มองไปที่ไป๋ยี่เฟย และไม่ได้รีบตอบอะไร
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ร้อนใจ เพียงแค่พูดเสริมว่า: “หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนสถานที่ให้คุณเป็นผู้กำหนด ถึงเวลาคุณก็สามารถแจ้งข่าวออกไป ให้คนอื่นมาดูแลพวกเรา สู้กันตัวต่อตัวเป็นอย่างไร?”
ไป๋ยี่เฟยพูดข้อความเหล่านี้ด้วยความจริงใจ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็สบายใจได้ ไม่ต้องเปลืองสมองไปคิดแผนสมรู้ร่วมคิดอะไรนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เต้าจ่างอยู่ในเขตอื่นก็ยังนับว่ามีชื่อเสียง เขาจะไม่ทำลายความน่าเชื่อถือต่อหน้าผู้มีอำนาจในพื้นที่เหล่านั้น
อีกทั้งไป๋ยี่เฟยเองก้เป็นผู้สร้างเมืองเจาหยาง แน่นอนว่าจะต้องรักษาคำพูด
เมื่อถึงเวลานั้น ไป๋ยี่เฟยก็ต้องอาศัยฝีมือของตัวเอง
พลังของเต้าจ่างกำลังเข้าใกล้พลังในระดับที่หนึ่งแล้ว สูงกว่าไป๋ยี่เฟยมาก ความจริงแล้วข้อเสนอนี้เป็นวิธีที่ดีมากสำหรับเต้าจ่าง
อย่างไรก็ตาม เต้าจ่างก็ยังไม่ได้เอ่ยปากตอบรับคำ
ไป๋ยี่เฟย อดยิ้มแล้วไม่ได้และพูดว่า “คุณคงไม่ได้กลัวแล้วใช่ไหม?”
เต้าจ่างได้ยินแล้ว ยิ้มเย็นชาพูดว่า: “ตกลง!”
จากนั้นเต้าจ่างก็บอกถึงสถานที่นัดหมาย “โรงเลื่อยในเขตที่สามและเขตที่สี่”
“ไม่มีปัญหา” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
ทั้งสองคนบรรลุข้อตกลงได้แล้ว แต่ว่าไป๋ยี่เฟย ยังไม่ได้โยนระเบิดในมือทิ้งไป ยังไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว ยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องเก็บของเหมือนเดิม
ไป๋ยี่เฟยพูดว่า: “บนเกาะยังมีคน พาพวกเขากลับไปด้วยกัน”
เต้าจ่างกลับพูดอย่างดูถูกว่า: “ไม่จำเป็น”
“ไม่! มันจำเป็นมาก” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกเขาก็เป็นคน พวกเขามีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนคุณนอกจากคุณเองแล้ว ใครก็ไม่สำคัญทั้งนั้น”
เต้าจ่างและไป๋ยี่เฟยมีความคิดที่ต่างกัน ขี้เกียจจะโต้แย้งกับเขา จึงหันหลังเดินออกจากห้องผู้โดยสารเรือไป ดูท่าทางเหมือนกำลังหาสถานที่สำหรับพักผ่อน
รอจนไร้เงาของเต้าจ่างแล้ว ล่ายเคอค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างระวังตัว จากนั้น พูดกับไป๋ยี่เฟยเบาๆ ว่า: “เห็นท่าทางของเขาแล้วเหมือนจะยังอ่อนล้า เอาอย่างนี้พวกเราก็อาศัยช่วงที่เขา……”
“ไม่จำเป็น” ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้า “แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ยังไม่เห็นโอกาสชนะ”
ล่ายเคอพูดด้วยความกังวลเล็กน้อย: “แต่หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ฉัน……”
หากการประลองหลังจากหนึ่งเดือนให้หลัง ไป๋ยี่เฟยตายไปแล้ว ตัวเองก็ไม่มีทางหลบซ่อนตัว เต้าจ่างจะต้องแก้แค้นตนเองอย่างแน่นอน
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าทางแล้วพูดเบา ๆ ว่า: “เดินไปก้าวหนึ่งแก้กันไปก้าวหนึ่ง”
เรือหันกลับไปทางเกาะปะการังอีกครั้ง เมื่อถึงชายฝั่ง ให้คนที่อยู่บนเกาะปะการังขึ้นเรือ หลังจากนั้นพวกเขาถึงจะแล่นเรือกลับ
ช่วงเวลานั้น ไป๋ยี่เฟยใช้โทรศัพท์ของล่ายเคอเหมือนกัน โทรไปหาฉางเชี่ยวบอกกับเขา ให้เขามาที่ท่าเรือหลันเต่ารับพวกเขาทันที
แต่ล่ายเคอกลับวิตกกังวลมาก เห็นชัดว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีอะไรอย่างนี้ เกรงว่าสิ่งที่ได้ทุ่มเทลงไป เมื่อเทียบกับหลังจากการประลองหนึ่งเดือนแล้วจะดีกว่ายุครุ่งเรืองของเต้าจ่าง
ดังนั้นเขาไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมจะต้องรอหลังจากหนึ่งเดือนไป๋ยี่เฟยจึงท้าประลองแบบตัวต่อตัวกับเต้าจ่าง
ที่จริงแล้วไป๋ยี่เฟยมีเป้าหมายของตัวเอง
สำหรับไป๋ยี่เฟยแล้ว ตอนนี้สถานการณ์อาจไม่ค่อยดี ยังไงความแข็งแกร่งของเต้าจ่างยังคงแข็งแกร่ง หนึ่งเดือนให้หลังการต่อสู้ตัวต่อตัวแทบไม่มีโอกาสชนะเลย
แต่ไป๋ยี่เฟยก็มีแผนการของตัวเอง
ตั้งแต่เริ่มต้นเขาก็ต้องการโค่นล้มหลันเต่าทั้งหมด และไม่เพียงแต่เป็นเขตที่สี่
อีกทั้ง เมื่อก่อนนี้เขาก็ได้ยินมาว่า เขตพื้นที่อื่นไม่กี่แห่งที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดก็คือเขตที่สอง ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะปราบเขตที่สี่และเขตที่สาม จากนั้นค่อยไปปราบเขตที่สอง
วันใดที่เขตที่สองถูกปราบไปแล้ว จะปราบเขตพื้นที่อื่นก็จะเป็นเรื่องง่ายมาก
ดังนั้นการต่อสู้ตัวต่อตัวครั้งนี้ แท้จริงเป็นการปูทางเพื่อให้เขาไปปราบเขตที่สาม
ยังมีอีกข้อหนึ่งคือ ตั้งแต่ที่เขาอยู่ริมทะเล มองเห็นพระจันทร์สีเลือดแล้ว เขาก็สามารถควบคุมตัวเองเข้าสู่สภาพนั้นได้ตามใจปรารถนา
อีกทั้งหลังจากที่อยู่ในสภาพแบบนั้นแล้ว พลังความสามารถก็เป็นอีกด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งนอกจากความเจ็บปวดของเขา ส่วนด้านอื่นกลับมีความว่องไวมาก โดยเฉพาะในด้านการรู้แจ้ง ซึ่งเหนือความคาดหมายของเขา
ดังนั้นเขายังมีอีกแผนการหนึ่ง หลังจากกลับไปแล้ว ไปที่คลังเก็บทองที่สาม เพื่อหาจื่ออี และฉินหัวก่อน ให้พวกเขาได้ฝึกฝนตัวเขาเองให้เก่งขึ้น
ในเวลาหนึ่งเดือน ตราบใดที่เขาเพิ่มพลังได้ถึงระดับที่สองชั้นสูง อย่างนั้นแล้วไป๋ยี่เฟยก็สามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับเต้าจ่างได้
เรือกำลังกลับหัวเรือ ไป๋ยี่เฟยให้ล่ายเคอกลับไปพักผ่อน
และเขาเองยังถือระเบิดอยู่เหมือนเดิม นั่งอยู่ที่ประตูห้องเก็บของ เผื่อว่าจู่ ๆ เต้าจ่างจะเปลี่ยนใจ
……
ไป๋ยี่เฟยนั่งอยู่ที่ประตูห้องเก็บของมองไปทางทะเลตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
ทันใดนั้นข้างกายมีคนหนึ่งคนเดินมา
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเป็นลู่เหมียวเหมียว
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” ไป๋ยี่เฟยถาม
ลู่เหมียวเหมียวนั่งอยู่ที่ประตูอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดด้วยความสงสัยว่า: “พี่ไป๋ ฉันมาเพื่อขอโทษคุณ และมาขอโทษคุณแทนเสี่ยวหยาง”
หลังจากไป๋ยี่เฟยได้ฟังคำพูดนี้ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า: “หากว่าเขาคิดไม่ตก ขอโทษก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องนี้มีเพียงให้เขาคิดได้ด้วยตัว ถึงจะถูกต้อง”
“อีกทั้งคุณก็วางใจได้ เมื่อก่อนฉันได้พูดอะไรออกไป คำไหนคำนั้น”
ลู่เหมียวเหมียวก้มหน้าลง ไม่อยากให้ไป๋ยี่เฟยมองเห็นท่าทางตาแดงของเธอ “พี่ไป๋ ขอโทษ ความจริงแล้วเรื่องนี้โทษฉันจึงจะถูก”
หากซักไซ้จนถึงที่สุดแล้ว ลู่หย่วนอยากจะให้ไป๋ยี่เฟยพาลู่เหมียวเหมียวออกจากหลันเต่า
ดังนั้น ในใจของลู่เหมียวเหมียว กลับไม่คิดว่าไป๋ยี่เฟยเป็นศัตรูของตัวเอง
เธอยังเด็กเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ยังไม่สัมผัสกับโลกภายนอกมากนัก ในสถานการณ์แบบนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
ลู่เชี่ยนบอกว่าไป๋ยี่เฟยเป็นศัตรูของพวกเขา ลู่หยางยังเป็นเด็ก หุนหันพลันแล่น พูดจาไม่ยั้งคิด ดื้อดึงคิดว่าไป๋ยี่เฟยเป็นศัตรูของพวกเขา
ในใจของลู่เหมียวเหมียวไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่เธอไม่กล้าพูดออกมา เพราะกลัวว่าพี่สาวและน้องชายจะว่าตัวเองเป็นคนเนรคุณไม่แก้แค้นให้กับพ่อแม่
แต่ตอนนี้แม้แต่พี่สาวก็ตายไปแล้ว ลู่หยางเองก็ไม่รู้ความเสียอย่างนั้น ลู่เหมียวเหมียวยังคงสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไร
แต่หลังจากผ่านเรื่องราวของเกาะปะการังแล้ว เธอก็เข้าใจไป๋ยี่เฟยมากขึ้น ยังมีอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่าง
ลู่เหมียวเหมียวเงยหน้ามองไป๋ยี่เฟยพูดว่า: “พี่ไป๋ ฉันชอบคุณ”
ครู่หนึ่งไป๋ยี่เฟยมองไปที่ลู่เหมียวเหมียวด้วยความตกใจ
จากนั้นไป๋ยี่เฟยหันหน้ามองไปทางทะเลกว้าง อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน ๆ
ทันใดนั้นลู่เหมียวเหมียวก็พูดว่า: “พี่ไป๋ ขอโทษ”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าเล็กน้อยพูดว่า: “ฉันแต่งงานแล้ว ฉันรักภรรยาของฉัน และเรากำลังจะมีลูกด้วยกัน”
“ที่หลันเต่า เป็นผู้ชายคนหนึ่งมีทั้งกำลังและตำแหน่งแล้ว สามารถมีภรรยาหลายคนก้ได้ แต่ที่อาณาจักรภายนอกแล้ว ไม่สามารถทำได้”
“ตามหลักกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน เรื่องคู่สมรสเดียว”
“แน่นอน ที่สำคัญก็คือความรักของคนหนึ่งคนจะให้กับคนหลายคนได้อย่างไรกัน? หากเป็นอย่างนั้นสำหรับคนอื่น ๆ มันไม่ยุติธรรม ยังเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างหนึ่ง”
“เป้าหมายของฉันตลอดมาก็คือ อยากจะเปลี่ยนแปลงหลันเต่าให้เป็นแบบนั้น”
หลังจากพูดคำพูดเหล่านี้แล้ว ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “คุณเรียกฉันพี่ไป๋ งั้นเธอก็คือน้องสาวของฉัน พี่ชายก็ต้องปกป้องน้องสาวให้ดี”
ลู่เหมียวเหมียวมองดูเขาพยักหน้าแล้วยิ้ม “ที่จริงฉันก็แค่ล้อเล่น”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดอะไรมาก ยังไงแล้วเขารู้ดีว่าลู่เหมียวเหมียวไม่ใช่คนที่ชอบพูดล้อเล่น