“เขาจะไม่ทำเรื่องที่ไม่มั่นใจตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ก็จะไม่คิดวางแผนเรื่องแค่ด้านเดียวตั้งแต่ไหนแต่ไรเช่นกัน ดังนั้น นี่ก็เป็นสาเหตุที่ไม่ว่าปะทะกันกับเขามากขนาดไหน ล้วนจะพ่ายแพ้ให้กับเขา”
“คนอย่างเขาคนนี้จะไม่เป็นฝ่ายกระทำไปทำร้ายคนตั้งแต่ไหนแต่ไร นอกจากว่าคุณไปแส่หาเรื่องเขาก่อน และเขาก็ไม่ใช่เป็นคนที่รังแกได้ง่ายๆขนาดนั้น ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยหนามคนหนึ่ง”
พูดจบ ฉุงลี่หย่าหัวเราะแล้ว แต่ว่าหัวเราะไปหัวเราะมาก็โมโหร้องตะโกนพูดว่า “สิ่งที่คุณพูดล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล! เขาจะไม่เป็นฝ่ายกระทำไปทำร้ายคน งั้นพี่ชายของฉันถือว่าเป็นอะไรล่ะ? พี่ชายของฉันไม่ใช่เขาฆ่าเลยเชียวหรือ?”
หลินขวางตอบกลับอย่างเบาๆว่า “แต่ว่า เป็นพี่ชายของคุณไปแส่หาเรื่องเขาก่อน เขาป้องกันตัวจึง……”
“ป้องกันตัวอะไร?” ฉุงลี่หย่าโมโหร้องตะโกน “พูดอย่างน่าฟัง คนที่ตายก็ไม่ใช่เป็นพี่ชายคุณ!”
อยู่ที่เธอมาดูแล้ว ไม่ว่าไป๋ยี่เฟยมีสาเหตุอะไร ความจริงก็คือเขาฆ่าพี่ชายเธอ เธอสนใจแต่จุดนี้
เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า ทำไมไป๋ยี่เฟยต้องฆ่าพี่ชายเธอล่ะ?
อาจจะสิ่งแวดล้อมในการเติบโตตั้งแต่เกิดเขาไม่สนใจความรู้สึกของคนใต้ล่างเลยสักนิด พูดง่ายๆก็คือฉันอยากฆ่าคน ไม่ว่าสาเหตุอะไรล้วนได้ แต่ว่าถ้าคุณจะฆ่าฉันไม่ว่าสาเหตุอะไรล้วนไม่ได้
หลินขวางเห็นว่าไม่ว่าพูดยังไงล้วนไม่เข้าใจ จนใจส่ายหัว “ช่างเถอะ”
ฉุงลี่หย่าเห็นสภาพหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งพูดว่า “ไม่ว่าเป็นยังไง ฉันจะต้องฆ่าไป๋ยี่เฟยแน่ๆ!”
จากนั้นเย่ฮวนส่ายหัวต่อๆกันพูดว่า “น่าเสียดายมาก คุณไม่มีโอกาสนี้”
“คุณคิดว่าแค่อาศัยพวกเขาก็สามารถขวางฉันไว้ได้หรือ?” ฉุงลี่หย่าพูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขากล้ายิงฉัน ยิ่งกว่านั้นอีก คนที่อยู่ข้างกายฉันคนนี้เป็นหยางหงยอดฝีมือระดับที่สองชั้นสูงนะ”
ฉุงลี่หย่าพูดถูก เพราะว่าเขาเป็นคนของตระกูลฉุง คนเหล่านี้ไม่กล้ายิงใส่เธอเลยสักนิด
ถึงยังไงตระกูลใหญ่ทั้งสี่ถึงเวลานี้ก็ไม่ได้หักหน้ากันอย่างเปิดเผยโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าพวกเขายิงแล้ว เกรงว่าก็ไม่เพียงแค่เรื่องระหว่างพวกเขาเท่านั้นแล้ว
งั้นอยู่ภายใต้สภาพการณ์ที่คนเหล่านี้ไม่กล้ายิง เป็นยอดฝีมือระดับที่สองชั้นสูงคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องกลัวคนเหล่านี้เลยสักนิด
จากนั้น ผู้ชายที่ชื่อว่าหยางหงคนนั้น อยู่ดีๆส่ายหัวพูดว่า “คุณหนูใหญ่ คุณคิดง่ายเกินไปแล้ว”
ทันทีที่คำพูดนี้พูดออกมา ฉุงลี่หย่าหันไปจ้องมองหยางหงทันที ความตื่นตะลึงกวาดผ่านนัยน์ตาหนึ่งที
จากนั้นหยางหงพูดกับ ฉุงลี่หย่าว่า “ในช่วงเวลานี้ ท่านสามเชิญชวนยอดฝีมือเยอะมาก ผมก็ซาบซึ้งในบุญคุณท่านสามอย่างมาก หาผมได้มาจากตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ว่า……”
หลินขวางพูดต่อว่า “อยู่ก่อนหน้านี้ ผมเคยไปหาหยางหงมาก่อนแล้ว”
ฉุงลี่หย่าเบิกตาโพลงทั้งคู่ อึ้งงงคาที่
“นี่……นี่ทำไม? ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ? คุณทำไมต้องเลือกพวกเขาล่ะ?”
ฉุงลี่หย่ายากที่จะเชื่อซักถามหยางหงอยู่
หยางหงเพียงแค่ยักไหล่ต่อๆกันตอบกลับว่า “สำหรับผู้ใหญ่มากล่าวแล้ว ผลลัพธ์ผลเสียจึงจะเป็นปัญหาที่พวกเขาจะพิจารณา”
ฉุงลี่หย่ากลับยังไม่เข้าใจ “ผลประโยชน์ที่ตระกูลฉุงให้แก่คุณยังน้อยไปเชียวหรือ?”
หยางหงส่ายหัวต่อๆกันพูดว่า “ถ้ากล่าวเพียงแค่ผลประโยชน์ย่อมไม่น้อยอยู่แล้ว ท่านฉุงสามในตอนนี้ก็ไม่ใช่เจ้าบ้านตระกูลฉุง เขาจะได้นั่งอยู่ที่นั่งเจ้าบ้านหรือไม่ ยังไม่แน่นอน”
“แต่ท่านหลินเป็นเจ้าบ้านของตระกูลหลินแล้ว ยิ่งกว่านั้นอีก ท่านหลินสัตย์ซื่อจริงใจกับผมนะ ทุกครั้งก็จะเรียกผมว่าพี่หยาง เถ้าแก่แบบนี้ยากที่จะได้เจอ ดังนั้นผมจะเลือกท่านหลิน ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน”
ฟังคำพูดเหล่านี้จบ ฉุงลี่หย่ายากที่จะเชื่อถอยหลังสองก้าวคล้ายดั่งได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักใหญ่โตมโหฬาร ยืนโซเซ
จากนั้นฉุงลี่หย่าไม่มีลางบอกสักนิดก็ร้องไห้แล้ว ร้องไห้เสียใจมาก และร้องไห้หมดหนทางมากเช่นกัน
“พวกคุณ…..จะฆ่าฉันเลยหรือ?” ฉุงลี่หย่าทั้งร้องไห้ทั้งถาม
ในเวลานี้เธอหวาดกลัวมากนะ ก็มีใครที่จะไม่กลัวตายอีกล่ะ?
จากนั้นหลังจากหลินขวางกับเย่ฮวนสบตากันหนึ่งที เย่ฮวนพูดเบาๆว่า “วางใจเถอะ จะไม่ฆ่าคุณ ไป๋ยี่เฟยไม่เป็นคนที่จะทำร้ายผู้หญิงที่พี่น้องของตนเองชอบแบบนั้น”
พูดจบ อยู่ดีๆฉุงลี่หย่าเงยหน้าจ้องมองพวกเขา
พี่น้องของไป๋ยี่เฟยหรือ?
ฉางเชี่ยว!
เป็นฉางเชี่ยว!
แต่ว่าฉุงลี่หย่าโมโหร้องตะโกนพูดว่า “เขาทำร้ายฉันไปแล้ว!”
……
ในเวลาเดียวกัน คนเสื้อดำชุดหนึ่งแอบเข้าไปในเขตที่สามมาถึงตระกูลจ้าวที่ดั่งเปลือกที่ว่างเปล่าแล้ว
คนที่นำหน้าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของฉางเชี่ยว เขามีเส้นผมสีเหลืองที่เด่นชัดมาก และบนแขนสักลายภาพแมงป่องที่เห็นได้ชัดมากตัวหนึ่ง
และคนเสื้อดำที่ติดตามอยู่ข้างหลังย่อมเป็นคนในองค์กรขวางซาของไป๋ยี่เฟย
พวกเขาเข้าไปในเขตที่สามอย่างง่ายดาย และยึดกุมบ้านเก่าของตระกูลจ้าวไว้อย่างรวดเร็วเช่นกัน อีกทั้งยังยึดกุมทางอาวุธของตระกูลจ้าว ข้างในมีอาวุธปืนมากมาย
ชายเส้นผมสีเหลืองหลังจากได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ตื่นเต้นดีอกดีใจมาก ตื่นเต้นดีอกดีใจจนเขาเสียสติเล็กน้อย
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในห้องโถงของตระกูลจ้าว และคนเหล่านั้นของตระกูลจ้าวล้วนถูกจับไว้อยู่ที่นี่
ชายเส้นผมสีเหลืองมองเห็นสาวรับใช้ของตระกูลจ้าวคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นดีอกดีใจเดินเข้าไป จับคางของสาวคนนั้นไว้ นัยน์ตาส่งแสงที่ไม่ชัดเจนระยิบระยับหนึ่งที
กำลังอยู่ในเวลานี้ คนเสื้อดำในนั้นคนหนึ่งหลังจากมองเห็นเข้าใจทันทีว่าเขาอยากจะทำอะไร ก็เลยเอ่ยปากกล่าวเตือนว่า “ท่านเหลย ลูกพี่ไป๋เคยบอกไว้ หลังจากยึดกุมตระกูลจ้าวห้ามทำเรื่องที่เหนือกว่านี้”
ท่านเหลยที่พูดอยู่ในปากเขาเป็นคนที่ติดตามฉางเชี่ยว ชื่อว่าเหลยหมิง พลังความสามารถอยู่ที่ระดับที่สามชั้นกลาง
เหลยหมิงได้ยินคำพูดนี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเหยียดหยามเสียงหนึ่ง “เรื่องที่เหนือกว่านี้หรือ? อะไรคือเรื่องที่เหนือกว่านี้ล่ะ?”
คนคนนั้นตอบกลับว่า “อย่างน้อยห้ามฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่เมืองเจาหยางตั้งไว้”
เหลยหมิงยิ้มเย็นชาพูดว่า “กฎเกณฑ์หรือ? ที่นี่คือหลันเต่านะ ใครมีกำลังอำนาจใหญ่คนนั้นก็คือกฎเกณฑ์ ”
“แต่ว่า……” คนคนนั้นเหมือนดั่งอยากจะพูดอะไรอีก กลับถูกเหลยหมิงตัดคำเลย
“ถึงยังไงคนเหล่านี้ล้วนต้องตาย ก่อนที่พวกเขาจะตาย ทำไมจะให้รางวัลแก่ตนเองดีๆสักหน่อยไม่ได้ล่ะ ทำให้ตนเองสุขใจๆหน่อยล่ะ?” เหลยหมิงพูดอย่างยิ้มมิจฉา
หลังจากพูดจบ เหลยหมิงก็กระชากสาวคนนั้นที่อยู่ข้างเขาขึ้นมาทันที จากนั้นเบียดไว้อยู่บนไหล่ และพูดกับคนอื่นๆอีกว่า “พวกคุณอยากจะหาความสุขใจก็ตามใจได้เช่นกัน ถึงเวลานั้นกล่าวโทษออกมา ก็บอกว่าคือผมพูดเอง”
จากนั้นเขาก็แบกสาวที่ดิ้นรนกรีดร้องไม่หยุดยั้งคนนั้นไว้ เข้าไปในห้องห้องหนึ่งอย่างตามใจ
อยู่ในห้องโถงคนขององค์กรขวางซาสบตากันหนึ่งที
มีคนคนหนึ่งพูดว่า “พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ?”
คนคนหนึ่งในนั้นตอบกลับว่า “แต่ก่อนผมก็เป็นนักโทษคดีข่มขืนคนหนึ่ง หลังจากออกมาลูกพี่เฉินรับผมเอาไว้ พูดตามตรง ผมก็อยากได้ แต่ว่า ผมก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักดีร้าย ลูกพี่เฉินเชื่อฟังลูกพี่ไป๋ ลูกพี่ไป๋ห้ามพวกเราทำเรื่องเหล่านี้ ผมก็จะไม่ทำ”
คนอื่นๆเห็นสภาพต่างคนต่างพยักหน้า
“ผมก็ไม่ทำเช่นกัน”
“ใช่ ผมก็ไม่ทำเช่นกัน”
จากนั้นคนเสื้อดำทั้งหมดล้วนไม่ได้ขยับ
กลับอยู่ในเวลานี้ อยู่ดีๆมีคนร้องตะโกนเสียงหนึ่ง “รีบวิ่งหนีล่ะ ฆ่าคนแล้ว พวกเขาจะฆ่าล้างเมืองแล้ว รีบวิ่งหนีล่ะ!”
เนื่องเพราะคนของตระกูลจ้าวทั้งหมดล้วนถูกจับไว้อยู่ในห้องโถงใหญ่เสียงร้องตะโกนนี้ทำให้พวกเขาล้วนตื่นกลัวขึ้นมาแล้ว จากนั้น ไม่สนใจไยดีหนีกระเจิดกระเจิง
พวกคนเสื้อดำจ้องมองจนนิ่งอึ้งไปเลย
พวกเขาควรจะทำยังไงดีล่ะ?
คนเหล่านี้หนีกระเจิดกระเจิง ไม่เชื่อฟังเลยสักนิด ถ้าหากว่าใช้กำลังบังคับเชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย อาจจะควบคุมไว้ได้
แต่ว่าลูกพี่ไป๋เคยบอกว่า ห้ามฆ่าคนที่บริสุทธิ์ใจ ยิ่งห้ามฆ่าคนตามใจ
ในเวลานี้ เพราะว่าได้ยินเสียงวุ่นวายที่อยู่ข้างนอก เหลยหมิงวิ่งออกมาจากห้องนอน ทั้งยังดึงกางเกงของตนเองขึ้นไปด้วย มองเห็นคนเสื้อดำล้วนไม่ได้ขยับ อดไม่ได้ที่จะโมโหร้องตะโกนพูดว่า “อึ้งอยู่ทำไมล่ะ? ยังไม่จับขึ้นมาฆ่าอีก ฆ่าหนึ่งเพื่อเตือนคนร้อยคน เข้าใจหรือไม่?”
แต่ว่า ไม่มีคนเสื้อดำสักคนขยับเลย
เหลยหมิงเห็นสภาพ อดไม่ได้ที่จะร้อนใจแล้ว โมโหพูดว่า “แม่มึงเอ่ย พวกคุณคนเหล่านี้เชื่อฟังแต่คนแซ่ไป๋คนนั้นเหมือนอย่างที่คิดจริงๆ ไม่เห็นลูกพี่ของพวกเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด!”
หลังจากพูดจบตนเองก็ถือมีดด้ามหนึ่งพุ่งออกไป
ตอนที่เพิ่งเริ่มถูกคนสั่นสะเทือนสยบ ย่อมไม่กล้าต่อต้านอยู่แล้ว
แต่ว่ามีคนร้องตะโกนคำหนึ่ง ไม่ต่อต้านก็ต้องตาย งั้นพวกเขาย่อมจะไม่ยินยอมปฏิบัติตามต่อไปอยู่แล้ว กลับเพราะว่าต่อต้านไม่ได้งั้นก็มีแต่เลือกการวิ่งหนี
ทันทีที่วิ่งก็จะมีคนพูดว่า ห้ามวิ่ง ใครวิ่งก็ฆ่าคนนั้น!
จากนั้นก็จะยิ่งวิ่งยิ่งรุนแรง
เพราะว่าไม่ว่าวิ่งหรือไม่วิ่งล้วนต้องตาย แต่ว่าถ้าโชคดีวิ่งออกไปได้จริงๆล่ะ ยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่รอด ดังนั้นทำไมจะไม่วิ่งล่ะ?
เหลยหมิงถือมีดพุ่งออกไป มองเห็นคนที่วิ่งมั่วเหล่านั้นยกมีดขึ้นก็ฟันออกไป ไม่ว่าเขาร้องตะโกนยังไงคนเหล่านี้ก็ไม่หยุดลง
ถึงสุดท้ายเขาล้วนไม่รู้ว่าตนเองฟันคนไปมากเท่าไหร่แล้ว