“ว้าว ดูความเอิกเกริกนี่สิ!”
“เกิดอะไรขึ้น? ที่นั่นดูเหมือนจะเป็นท่าเรือที่เรือของเราจะไปเทียบท่า”
“ใช่แล้วๆ!”
ทุกคนมองไปที่นั่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผูชิ่งก็เดินตามไปด้วยเช่นกัน
เพียงเห็นแต่คนสองแถวยืนเรียงกันอยู่อย่างเรียบร้อยบนท่าเรือ แต่ละคนสวมสูทสีดำและรองเท้าหนังสีดำดูหรูหรา
และท้ายสุดของแถวยังมีรถเบนท์ลีย์จอดอยู่อีกหลายคัน
เมื่อเห็นฉากนี้ผูชิ่งตกใจและงงงวย
นี่มันเอิกเกริกมาก เป็นไปได้ไหมว่ามีคนใหญ่คนโตอยู่บนเรือลำนี้?
แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้!
ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือของผูชิ่งดังขึ้น
ในเวลาเดียวกัน จางหรงซึ่งสวมชุดสูทก็เดินวนไปวนมาด้วยรอยยิ้ม และมาพบผูชิ่งบนดาดฟ้าทันที
ชายวัยกลางคนบนเรือที่ได้รับเงินจากผูชิ่งไปสองหมื่นหยวนรีบเข้าไปรับหน้าทันที เมื่อเขาเดินผ่านผูชิ่ง เขาก็ผลักผูชิ่งออกไป “ให้ตายเถอะ ไสหัวไปซะ อย่างมาขวางทาง!”
ล้อเล่นน่ะ มีเบนท์ลี่ย์จอดอยู่หลายคัน หลังจากดูบรรยากาศที่เอิกเกริกนี้แล้วก็น่าจะรู้ว่าพวกเขาเป็นคนใหญ่โตที่ไม่สามารถไปหาเรื่องได้
จากนั้นชายวัยกลางคนก็รีบเดินไปที่ด้านข้างของจางหรงและพูดด้วยท่าทางประจบประแจง “คุณผู้ชายท่านนี้ มีอะไรให้กระผมรับใช้ก็รีบบอกมาเลยครับ”
รอยยิ้มของจางหรงแข็งค้างไปครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาอีกครั้งและเริ่มโทรศัพท์
จากนั้นโทรศัพท์มือถือของผูชิ่งก็ดังขึ้นและเขาก็สงสัยว่า “นี่ใครครับ?”
เมื่อชายวัยกลางคนเห็นดังนั้นเขาก็รีบด่าผูชิ่ง “ผูชิ่ง นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่? ยังไม่รีบวางสายอีก ไม่เห็นเหรอว่าคุณชายใหญ่ท่านนี้กำลังโทรศัพท์อยู่?”
ผูชิ่งตกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้และรีบวางสายโทรศัพท์ด้วยความตื่นตระหนก
ในเวลาเดียวกันโทรศัพท์ของจางหรงก็ถูกวางสายไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นจางหรงก็มองไปที่ผูชิ่งด้วยความประหลาดใจ เขาคิดว่าคนที่ไป๋ยี่เฟยสั่งให้มารับเป็นคนพิเศษสถานะจะไม่ได้ต่ำมาก ใครจะคิดว่าเป็นคนงานบนเรือบรรทุกสินค้า?
สายตาของจางหรงวางอยู่บนร่างของผูชิ่งและเขากำลังจะเดินไปหา แต่ถูกชายวัยกลางคนขวางไว้และพูดด้วยรอยยิ้มประจบ “คุณผู้ชาย คุณว่า… “
“หลบไป!” เขามารับคนแต่เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาจะมารับอย่างแน่นอนแล้วยังเดินวนไปมาอยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกน่ารำคาญ
ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ถูกตะโกนก็บึ้งลง แต่เขาทำได้เพียงแค่โกรธในใจและไม่กล้าพูดอะไรออกมา
จางหรงผลักชายวัยกลางคนออกไปข้างๆ เขาเดินตรงไปที่ผูชิ่งยิ้มขึ้นและพูดว่า “ขอโทษครับ นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของคุณหรือเปล่า?” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและยื่นให้ผูชิ่งดู
“ห้ะ?” ผูชิ่งค่อนข้างตกใจจ้องไปที่หมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่ได้รับสองครั้งและพยักหน้า
“เป็นเบอโทรศัพท์ของผม? คุณมีได้ยังไง…”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือคนที่โทรหาเขาคือนายใหญ่คนนี้เหรอ?
คนอื่นๆต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้
และดวงตาของชายวัยกลางคนก็เบิกกว้างและรู้สึกผิดเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับผูชิ่ง? ไม่เห็นเหรอว่าเขาเป็นคนใหญ่คนโต?
เขาได้รับเงินสองหมื่นหยวนจากผูชิ่งมาก่อนหน้านี้ เมื่อครู่ก็เพิ่งผลักเขาด่าเขา ถ้าผูชิ่งเป็นคนใหญ่คนโตล่ะก็เขาแย่แน่
ในตอนนี้เอง เมื่อจางหรงเห็นผูชิ่งพยักหน้า สีหน้าของเขาก็ดีใจมาก “ดีจังเลย ในที่สุดผมก็พบคุณแล้ว ได้โปรดตามผมมา”
ผูชิ่งตะลึง
ชายวัยกลางคนรู้สึกท้อแท้เมื่อเห็นฉากนี้
ผูชิ่งตะลึงและจากนั้นก็พูดอย่างประหม่าเล็กน้อย “เอ่อ ฉัน… บนเรือ… ของฉัน … “
“ประธานของเราบอกไว้ว่าถ้ามีอะไรก็ให้บอกว่า พวกเราจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
ผูชิ่งมองด้วยความงุนงงเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “พวกคุณเป็นใคร? ทำไมถึงมาหาฉัน? จริงสิ พวกคุณไม่ใช่คนจากตระกูลเฉียวแห่งเป่ยไห่ใช่ไหม?”
ตระกูลเฉียวคือบ้านของภรรยาเขาและยังเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองเป่ยไห่
อย่างไรก็ตามจางหรงขมวดคิ้วพลางพูด “ขออภัย ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลเฉียวเลย และคนเดียวที่สามารถเข้าตาประธานของเราได้ในมณฑลเป่ยไห่ได้ก็มีเพียงเย่ซื่อกรุ๊ป”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นพวกเขาก็แทบหยุดหายใจ
หนึ่งปีก่อนพอดีที่เย่ซื่อกรุ๊ปเป็นกลุ่มธุรกิจอันดับหนึ่งในมณฑลเป่ยไห่ แต่หลังจากนั้นหนึ่งปีผ่านไป อันดับหนึ่งนี้ก็ได้กลายเป็นของเฟยเสว่กรุ๊ปแห่งเทียนเป่ยแทน
โดยธรรมชาติแล้วคนที่เห็นเพียงแค่เย่ซื่อกรุ๊ปในสายตาก็คงมีแค่คนเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นผูชิ่งก็ยังดูตกตะลึงและถึงกับตกใจ “ฉันไม่รู้จักประธานของคุณเลย”
จางหรงไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดแต่เขายิ้ม “ประธานบอกไว้ว่า แค่คุณไปก็จะรู้เอง”
ผูชิ่งอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเมื่อได้ยินเช่นนี้
ดูเหมือนเขาจะได้ยินคำนี้ที่ไหนมาก่อน?
……
ผูชิ่งที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็น พาภรรยาและลูกๆของเขาเข้าไปในเบนท์ลีย์คันหนึ่งที่พวกของจางหรงขับรถมารับ
หลังจากที่ทุกคนขึ้นรถแล้ว เบนท์ลีย์หลายคันก็ขับรถออกไป
พนักงานคนอื่นๆบนเรือส่ายหัวและถอนหายใจเมื่อเห็นฉากนี้
“ไอ้หนุ่มนี่ต้องได้ดิบได้ดีแน่”
“ใช่แล้ว ได้รับเชิญจากผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเป่ยไห่ เขาอาจจะไม่กลับมาทำงานกับเราอีกในอนาคต”
“เขารู้จักคนที่ใหญ่ขนาดนั้นได้อย่างไรนะ?”
ทุกคนต่างอิจฉาริษยา
แต่ชายวัยกลางคนขาอ่อนยวบ
แต่ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นว่าไป๋ยี่เฟยคนใหญ่คนโตที่ทุกคนพูดถึง กลับอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่มามุงดู
หลังจากได้เห็นอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้ความรู้สึกผิดของไป๋ยี่เฟยก็สงบลง อย่างไรแล้วในความคิดของเขานี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาเหล่านี้ในตอนนี้
และเขาก็ซ่อนตัวปะปนไปกับฝูงชน ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครพบเขาได้
เมื่อรอฝูงชนเกือบจะแยกย้ายกันไปแล้ว เขาก็มาที่ด้านข้างของชายวัยกลางคนมองไปที่เขาและพูดอย่างนิ่งๆ “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายวัยกลางคนก็ได้สติขึ้น หลังจากเห็นไป๋ยี่เฟย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและเขาก็ตะโกนทันที “ให้ตายเถอะ…”
ไป๋ยี่เฟยไม่อยากฟังเขาและพูดแทรกขึ้นมาทันที “ถ้านี่เป็นอารมณ์ก่อนหน้านี้ของฉัน ตอนนี้คุณอาจถูกซ้อมจนลุกไม่ขึ้นแล้ว แต่ฉันไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว”
ชายวัยกลางคนมองไปที่ไป๋ยี่เฟยอย่างตกใจ
ในตอนนี้เขาไม่ได้กลัวภาพของไป๋ยี่เฟย แต่เพราะเขาคิดว่าไป๋ยี่เฟยได้รับการแนะนำจากผูชิ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผูชิ่งแน่ๆ ตอนนี้ผูชิ่งก็พัฒนาขึ้นแล้ว เขาจึงไม่สามารถระบายความโกรธกับไป๋ยี่เฟยได้ ไม่งั้นหากไป๋ยี่เฟยไปหาผูชิ่ง เขาจะไม่แย่เหรอ?
ไป๋ยี่เฟยแค่นเสียงหัวเราะมองไปที่เขาพลางพูดว่า “ฉันได้ยินเขาพูดว่าคุณเป็นคนแสวงหาผลกำไร”
เมื่อพูดจบชายวัยกลางคนก็รู้สึกผิดและกลัวเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยกล่าวต่อไปว่า “แต่คุณก็ทำสิ่งต่างๆด้วยเงินและมันก็ดูโอเค คล้ายกับเพื่อนไอ้หัวล้านหลิวที่ฉันเคยพบมาก่อน”
“เมื่อเห็นคุณยังสามารถปล่อยให้ภรรยาและลูกๆของเขาอยู่บนเรือมันก็หมายความว่าจิตใจของคุณยังไม่ได้ดำขนาดนั้น”
“แต่คุณไม่ต้องกังวลอะไร คุณก็รู้อยู่แล้วว่าผูชิ่งเป็นคนแบบไหนและเขาจะไม่ปฏิบัติต่อคุณแบบนั้น”
ชายวัยกลางคนได้ยินคำว่าไอ้หัวล้านหลิวอย่างไว เขารู้สึกตกใจในใจและก็ยิ่งกลัวไป๋ยี่เฟยมากขึ้นเรื่อยๆ “นายเป็นใครกันแน่?”
เมื่อเขาถามประโยคนี้เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้นข้างๆพวกเขา
“ใครน่ะเหรอ? ฉันจะบอกคุณให้”
“เขาเป็นประธานของเฟยเสว่กรุ๊ปและเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลไป๋ สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง และเขายังเอาชนะสวี่เต้าจ่างแห่งเขตคฤหาสน์สหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงและคนของเขา”
“ไป๋ยี่เฟย!”
ไป๋ยี่เฟยและชายวัยกลางคนมองไปในเวลาเดียวกันและพบว่าชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าของคนงานในเรือและหมวกด้วย
เมื่อคนๆนั้นถอดหมวกออกก็ทักทายไป๋ยี่เฟยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันนานนะ!”
หลังจากเห็นคนตรงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
เขาหลิ่วจาวเฟิงที่ไม่ได้เจอและไม่มีข่าวคราวมานานแล้ว
แต่ชายวัยกลางคนไม่รู้จักหลิ่วจาวเฟิง แต่เขาตกใจกับคำพูดของหลิ่วจาวเฟิง กลัวจนแทบจะทรุดเข่าลง
เขา… เขาคือไป๋ยี่เฟย!