ภรรยาของผูชิ่ง ถิงถิงก็ตกใจเช่นกัน
ก่อนที่จะหนีตามผูชิ่งไป เธอไม่เคยได้ยินชื่อเฟยเสว่กรุ๊ปมาก่อน และเฟยเสว่กรุ๊ปที่เธอเห็นในตอนนี้นั้นไม่มีอะไรเทียบได้กับตระกูลเฉียวของเธอ และตระกูลเว่ยที่พ่อของเขาต้องการให้เธอแต่งงานก็หาที่เปรียบมิได้เช่นกัน
หลังจากที่หวังโหลวรู้สึกประหลาดใจเสร็จแล้ว เขาก็เดินเข้ามาหาผูชิ่ง กอดและตบหลังเขา
ผูชิ่งตกตะลึงถูกหวังโหลวตบบ่าสองสามครั้ง จากนั้นเขาก็ผลักหวังโหลวออกไป ใบหน้าของเขาสับสน “ไม่สิ นี่มันอะไรกัน? นายเป็นประธานเหรอ? นี่… “
ผูชิ่งยังคงตื่นเต้นมากในตอนนี้
หวังโหลวยิ้มและกล่าวว่า “ที่แท้นายนี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่ไป๋ยี่เฟยอ้อมค้อมไม่ยอมบอก”
“แย่แล้ว!” เมื่อพูดถึงไป๋ยี่เฟย ผูชิ่งก็เพิ่งนึกถึงไป๋ยี่เฟยได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หวังโหลวก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีอะไรเหรอ?”
ผูชิ่งถอนหายใจและพูดว่า “ฉันเจอไป๋ยี่เฟยบนเรือ เขาไปหลันเต่ามาเพื่อหาทอง นายเคยได้ยินเรื่องหลันเต่าหรือเปล่า? มันเป็นสถานที่ที่เข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้ โชคดีที่ไป๋ยี่เฟยแอบอยู่บนเรือของเรา”
“แต่พอถึงท่าเรือแล้ว ฉันก็ไม่เห็นไป๋ยี่เฟยอีก ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหนแล้ว?”
หวังโหลวฟังจบก็ตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันจะบอกนายให้นะ แม้ว่าฉันจะเป็นประธานกรรมการ แต่จริงๆแล้วฉันทำงานให้ไป๋ยี่เฟย”
“อะไรนะ?” ผูชิ่งตะลึงค้าง
หวังโหลวยิ้มออกมาอีกครั้ง “นายได้ยินไม่ผิดหรอก ตอนนี้โหวจวี๋กรุ๊ป เสี่ยวตงกรุ๊ป คริสตัลกรุ๊ป… แล้วยังมีอีกสิบกว่าบริษัทเป็นบริษัทในเครือของเฟยเสว่กรุ๊ป และเจ้าของที่แท้จริงของเฟยเสว่กรุ๊ปก็คือไป๋ยี่เฟย”
ผูชิ่งนิ่งค้างไป
เห็นได้ชัดว่าไป๋ยี่เฟยเพิ่งตามเขาไปเก็บปลาเมื่อวานนี้ วันนี้กลับบอกเขาว่าไป๋ยี่เฟยเป็นเจ้านายใหญ่ของเฟยเสว่กรุ๊ป นี่มันราวกับความฝันเลย!
ผูชิ่งแทบไม่เชื่อ “เป็นไปได้ยังไง?”
หวังโหลวเห็นดังนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วให้เขาดู มันเป็นข้อความที่ไป๋ยี่เฟยส่งมา
“หวังโหลวพอรับคนมาแล้วต่อไปเขาก็จะเป็นพี่น้องของเรา อย่าลืมเตรียมของขวัญให้เขา และบอกเขาว่าห้ามปฏิเสธเพราะเขาสมควรได้รับมัน”
ตอนอยู่บนเรือผูชิ่งไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงของไป๋ยี่เฟย นอกจากนี้เขายังคิดว่าเขาไม่มีที่จะไปและยื่นมือช่วยเหลือไป๋ยี่เฟย ในมุมมองของไป๋ยี่เฟยหัวใจของเขามีค่าควรแก่การตอบแทน
หลังจากอ่านข้อความผูชิ่งก็ตะลึง
หวังโหลวมองไปที่ท่าทางของผูชิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “ต่อไปพวกเราก็เป็นเหมือนพี่น้องกันแล้ว อย่าเกรงใจเลย นอกจากนี้ไป๋ยี่เฟยดูคนแม่นมาก หากเขาบอกว่าต้องการช่วยนายก็แสดงว่าเขายอมรับนายแล้ว”
” เขายังบอกด้วยว่านายจะปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่เขาจะไม่ปล่อยให้นายปฏิเสธเพราะเขาต้องการให้นายทำบางอย่างเพื่อเขา”
ลูกผู้ชายอย่างผูชิ่งพอได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็น้ำตาคลอ
ถิงถิงที่อยู่ด้านข้างก็ขอบตาแดงเช่นกัน
ผูชิ่งหันไปมองถิงถิง ถิงถิงก็มองกลับมา จากนั้นทั้งสองก็กอดกันโดยมีลูกอยู่ในอ้อมแขนและเริ่มร้องไห้ด้วยกัน
หวังโหลวมองไปที่พวกเขาและไม่ได้ขัดจังหวะ แต่รอจนกว่าพวกเขาระบายอารมณ์จนเสร็จแล้วจึงพูดว่า “ไปเถอะ ไปสู่ขอเธอกันเถอะ”
……
ณ ท่าเรือที่หัวซ่าง
หลิ่วจาวเฟิงและไป๋ยี่เฟยยืนอยู่ตรงข้ามกัน
มีเพียงหลิ่วจาวเฟิงเท่านั้นที่ค้นพบการมีอยู่ของไป๋ยี่เฟย และความแข็งแกร่งของเขาก็เกินจินตนาการของไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยพร้อมที่จะเริ่มก่อน เขาตบหลิ่วจาวเฟิงด้วยท่าฝ่ามือเอกสุริยันของเต้าจ่าง
หลิ่วจาวเฟิงก็ใช้ฝ่ามือเอกสุริยันเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือดรรชนีเอกสุริยันของหลิ่วจาวเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าเต้าจ่างเสียอีก
เกิดเสียงดังขึ้นหลังจากที่ทั้งสองประมือ
ไป๋ยี่เฟยถอยกลับไปหลายก้าว กุมปิดหน้าอกของเขาโดยไม่รู้ตัวแล้วกระอักเลือดออกมาพร้อมกับเสียง “อั่ก”
และหลิ่วจาวเฟิงซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเขาไม่แม้แต่จะขยับตัว พร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยามบนใบหน้าของเขา
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็สามารถรู้ได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน
ในขณะเดียวกันไป๋ยี่เฟยก็เดาได้เช่นกันว่าอาจารย์ของเขาคือใคร
“ไป๋ยี่เฟย บอกความจริงกับนายก็ได้ ตอนที่นายดวลกับเต้าจ่าง มีคนของฉันอยู่ที่นั่นด้วย พรสวรรค์ในการเข้าใจของนายแข็งแกร่งมากจริงๆ และฉันต้องชื่นชมมัน” หลิ่วจาวเฟิงหัวเราะเยาะ “แต่พูดกันตามจริงนะ นายก็แค่แอบเรียนมา ของที่แอบเรียนมาจะดีกว่าคนที่เรียนรู้มันอย่างจริงจังได้อย่างไร?”
“เหตุผลที่นายเอาชนะเต้าจ่างได้เพียงเพราะว่าเขาประมาทเกินไป ฉันจะไม่มีวันทำพลาดเช่นเดียวกับเขา!”
หลังจากพูดจบ หลิ่วจาวเฟิงก็ใช้ฝ่ามืออีกครั้ง ฝ่ามือพร้อมพลังอ้านจิ้งแข็งแกร่งกว่าเต้าจ่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถึงขั้นยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง
แล้วไป๋ยี่เฟยจะกลัวไปทำไม?
ไป๋ยี่เฟยจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วจาวเฟิง จากนั้นผมของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา หลิ่วจาวเฟิงก็ตกใจ แต่เขาได้ส่งฝ่ามือนี้ออกไปแล้วและไม่สามารถนำมันกลับมาได้เขาจึงยังคงพุ่งไปข้างหน้าต่อไป
ไป๋ยี่เฟยเป็นผู้มีความแข็งแกร่งดับที่สองชั้นต่ำในสภาวะปกติ เมื่อเข้าสู่สภาวะนี้จะเปรียบได้กับยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง
“ปัง!”
เสียงดังคราวนี้น่าตกใจยิ่งกว่าเมื่อครู่
และคราวนี้ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ใช้ฝ่ามือดรรชนีเอกสุริยันที่เขาเรียนรู้มาจากเต้าจ่าง แต่ใช้ทักษะที่ฉินหัวสอนเขาแทน
ในช่วงเดือนแห่งการฝึกฝนพิเศษ ฉินหัวกล่าวว่ากังฟูของเขายังต้องฝึกฝนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเขาจึงได้เรียนรู้เฉพาะจุดที่ง่ายๆเท่านั้น
แต่ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยมีการบรรลุในระดับที่แตกต่างออกไป
เขาได้พบกับผูชิ่งบนเรือ ทำการคัดแยกปลาที่ง่ายที่สุดกับผูชิ่งและเห็นผูชิ่งช่วยเหลือเขาและสายตาที่แน่วแน่ของถิงถิง
สิ่งเหล่านี้ทำให้สภาพจิตใจของเขาเปลี่ยนไปและเขาเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้นโดยธรรมชาติ
หลังจากเสียงดังนั้น หลิ่วจาวเฟิงรู้สึกได้ทันทีว่ามีพลังมหาศาลพุ่งเข้ามาหาเขา
“อั่ก!”
ครั้งนี้หลิ่วจาวเฟิงถูกบีบให้ถอยหลังไปเรื่อยๆและเขายังกระอักออกมาเต็มปาก
หลังจากที่เขาทรงตัวได้แล้ว เขาก็มองไปที่ไป๋ยี่เฟยด้วยความไม่อยากเชื่อและตะโกนว่า “ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้!”
ก่อนหน้านี้เขาแพ้ไป๋ยี่เฟยครั้งแล้วครั้งเล่ามันเป็นเพราะเขาจงใจ แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความแข็งแกร่ง เขาไม่ยอม เห็นได้ชัดว่าไป๋ยี่เฟยไม่ได้เก่งไปกว่าเขาแล้วนี่เป็นไปได้อย่างไร?
ในตอนนี้ไป๋ยี่เฟยมองไปที่หลิ่วจาวเฟิงด้วยสีหน้าเฉยเมยและพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจ อาจารย์ของนายเลือกคนอื่นแล้วทำไมนายถึงไม่ช่วยเขา แต่กลับให้นายช่วยให้ฉันเติบโต?”
จื่ออีและซินชิวทั้งคู่จะเลือกผู้ถูกเลือกคนละหนึ่งคน จื่ออีเลือกเขาและสอนกังฟูให้เขาก็แปลว่าเธอเลือกไป๋ยี่เฟยและซินชิวก็เลือกคนอื่นโดยธรรมชาติ
ดังนั้น เหตุใดซินชิวจึงขอให้ศิษย์ของเขาช่วยให้เขาเติบโต นี่ไม่ใช่เป็นการช่วยจื่ออีหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่าเขาต้องการให้จื่ออีชนะเกมนี้?
หลิ่วจาวเฟิงไม่ตอบคำถามของเขา แต่จ้องมาที่เขาอย่างดุร้าย “ฉันยังไม่ได้แพ้!”
พูดจบ เขาก็พุ่งใส่ไป๋ยี่เฟยอีกครั้ง
ยังมีคนจำนวนมากอยู่ในท่าเรือนี้ ในช่วงแรกเมื่อเห็นพวกเขาต่อสู้ หลายคนก็หยุดดูและบางคนถึงกับโทรเรียกผู้รักษาความปลอดภัย
แต่เมื่อพวกเขาเห็นไป๋ยี่เฟยและหลิ่วจาวเฟิงต่อสู้กัน ทุกคนก็ตะลึง
นี่คือการถ่ายทำละครเหรอ?
ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรู้ได้ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงที่ได้เห็นภาพนี้
……
ไป๋ยี่เฟยตกใจกับการปรากฏตัวและความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลิ่วจาวเฟิง แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว
เนื่องจากพี่น้องตระกูลลู่ทำให้กลยุทธ์ของเต้าจ่างสำเร็จ จากนั้นพวกเขาก็ไปติดเกาะร้างด้วยกันและเห็นพระจันทร์สีเลือด บนทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนไปและทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
และครั้งนี้เขาได้พบกับผูชิ่งอีกครั้งในทะเล แม้ว่าเขาและผูชิ่งจะมีเวลาเพียงสองวันในการดื่มและทำงานด้วยกัน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมอารมณ์ของเขายังเปลี่ยนไปและดีขึ้นอีก
เดิมทีหลิ่วจาวเฟิงพุ่งใส่เขาเร็วมากจนคนส่วนใหญ่มองไม่ชัด แต่ในสายตาของไป๋ยี่เฟยดูเหมือนว่าจะเห็นเป็นการเคลื่อนไหวแบบสโลว์โมชั่น เขาสามารถเห็นทุกการเคลื่อนไหวที่หลิ่วจาวเฟิงพุ่งเข้ามาได้อย่างชัดเจน
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเรียบนิ่ง “แม้ว่านายจะแข็งแกร่งกว่าเต้าจ่างนิดหน่อย แต่นายก็ยังเป็นระดับที่สองชั้นสูงและยังไม่ถึงระดับที่หนึ่ง”
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็วาดมือในอากาศอย่างสบายๆ
หลิ่วจาวเฟิงฟาดฝ่ามือลงมา “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”
หลังจากพูดแบบนั้นฝ่ามือของหลิ่วจาวเฟิงก็เปลี่ยนทิศทางทันทีและฝ่ามือของเขาก็เอียงขึ้นดูเหมือนมีดคม
“ปัง!”