หลังจากไป๋ยี่เฟยยืนนิ่งพูดเบาๆว่า “เจอกันอีกแล้ว”
หลิ่วจาวเฟิงหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “ใช่สิ เจอกันอีกแล้ว”
“ครั้งที่แล้วผมประเมินค่าคุณต่ำไป แต่ว่า วันนี้ผม……”
เพียงแค่คำพูดของเขายังไม่ได้พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ตัดคำเขาเลย อีกทั้งเดินไปยังเขา “น้ำครั้งที่แล้วยังอาบไม่พอหรือ?”
พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชั่วพริบตาเดียวหลิ่วจาวเฟิงโมโหสุดขีด “แม่มึงเอ่ย มึงหุบปาก!”
“ยังไงหรือ? คนมากมายขนาดนั้นย่อมมองเห็นคุณตกลงไปในทะเล ยังจะไม่ให้ผมพูดหรือ?” ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆ
หน้าตาหลิ่วจาวเฟิงโหดเหี้ยม ชี้ไปยังไป๋ยี่เฟยร้องตะโกนหนึ่งที “ไป๋ยี่เฟย! อย่าคิดว่าครั้งก่อนคุณสู้ชนะผม ครั้งนี้ก็จะชนะผมได้อีก ผมบอกกับคุณ วันนี้พวกเราก็สามารถจบกันสักหน่อย!”
พูดจบ หลิ่วจาวเฟิงยกมือขึ้นก็ตบไปยังไป๋ยี่เฟยหนึ่งที
เพียงว่าหนึ่งฝ่ามือของเขาตบออกไป ไม่ได้โดนคน เพียงแค่โดนอากาศ
หลิ่วจาวเฟิงอึ้งชะงักอยู่กับที่
ไป๋ยี่เฟยที่เดิมทียืนอยู่ข้างหน้าเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงขนาดโผล่ออกมาอยู่ข้างหลังเขา
“จบกันหรือ?” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างค่อยๆ “ควรจะจบกันจริงๆ”
หลิ่วจาวเฟิงตกตะลึงหมุนตัวมา จ้องมองไป๋ยี่เฟย “คุณ…….”
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองสีหน้าที่ตื่นตะลึงของเขา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเหยียดหยามเสียงหนึ่ง “ก่อนหน้านั้นคุณยังพูดเต็มปากเต็มคำว่าพวกเราเป็นศัตรูตั้งแต่กำเนิด แต่ตอนนี้เท่าที่ผมดูแล้ว คุณไม่คู่ควรเป็นศัตรูตั้งแต่กำเนิดของผมเลยสักนิด!”
คำพูดของไป๋ยี่เฟยกับสีหน้าตอนที่เขาพูดทำให้หลิ่วจาวเฟิงรู้สึกได้รับความอับอายขายหน้า ดังนั้นเขาโมโหโดยสิ้นเชิงเลย
“แม่มึงเอ่ย! กูจะทำให้มึงตาย!”
หลิ่วจาวเฟิงพุ่งไปยังไป๋ยี่เฟยโดยตรง จากนั้น เขาเพิ่งพุ่งเข้าไป ก็ถูกแรงพลังขนาดใหญ่ชน จากนั้นตีลังกาลอยออกไปทั้งตัว
“ปั้ง!”
เขาล้วนมองไม่ชัดว่าไป๋ยี่เฟยดำเนินการอย่างไรเลยสักนิด แรงพลังนั้นก็ชนเข้ามาเลย คล้ายดั่งดวงดาวมหาสมุทรแบบนั้น ทำให้คนไม่สามารถกระเทือน
หลังจากหลิ่วจาวเฟิงลอยออกไป ชนกิ่งไม้หลายกิ่งหักแล้วจึงตกลงกับพื้นเหมือนกัน
“พู่”
หลิ่วจาวเฟิงกระอักเลือดออกมา เจ็บปวดทรมานเหมือนดั่งถูกเหยียบผ่านทั้งตัว
และนัยน์ตาของเขาเต็มเปี่ยมด้วยความตื่นกลัว
อยู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน หลิ่วจาวเฟิงยังคำสาบานอย่างเต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงน่าเชื่อถือคิดว่าการเติบโตของไป๋ยี่เฟยอยู่ในบริเวณการควบคุมของตนเองอยู่เขามีความมั่นใจในตนเองที่จะสามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ได้
แต่ว่า นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน?
อยู่ในเวลาสั้นๆขนาดนี้ไป๋ยี่เฟยถึงขนาดเติบโตอีกครั้งแล้ว อีกทั้งเติบโตถึงขั้นที่เขามุ่งหวังที่จะไล่ไม่ทัน
ตอนครั้งที่แล้วที่อยู่ทะเล พูดได้ว่าคือเขาประเมินค่าไป๋ยี่เฟยต่ำไป
และในครั้งนี้ ข้ออ้างอะไรล้วนไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะว่าพลังความสามารถห่างกันมากเกินไป ไม่ว่าพูดยังไงล้วนซีดขาวไร้เรี่ยวแรง
แต่เขาเหมือนดั่งที่ไป๋ยี่เฟยพูดจริงๆ ไม่คู่ควรเป็นศัตรูตั้งแต่กำเนิดของเขา
หลิ่วจาวเฟิงยากที่จะเชื่อ เขาดิ้นรนอยากจะลุกขึ้นมา แต่ว่าความเจ็บปวดทั้งตัวทำให้แม้แต่แรงที่จะลุกขึ้นเขาก็ไม่มี เขาได้เพียงแต่จับหน้าอกของตนเองไว้ เงยหน้าจ้องมองไป๋ยี่เฟย ถามว่า “เป็นไปได้ยังไงหรือ?”
“คุณกลายเป็นร้ายกาจขนาดนี้ได้ยังไงหรือ?”
“อาจารย์เคยพูดมาก่อนแล้ว พรสวรรค์ของคุณสู้ผมไม่ได้! ผมจึงเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนนั้น!”
“ทำไม?”
คำพูดสุดท้ายของหลิ่วจาวเฟิงคือร้องตะโกนออกมาโดยตรง
สีหน้าไป๋ยี่เฟยเย็นชา เดินไปยังข้างหน้าสองก้าว หลังจากยืนนิ่งแล้วจ้องมองเขาพูดเบาๆว่า “คนล้วนมีนิสัยชั่วร้ายที่ฝังรากลึก”
“อะไรนะ?” คำพูดที่ไม่มีหัวไม่มีหางนี้ ทำให้หลิ่วจาวเฟิงอึ้งชะงักไปหนึ่งที “คุณหมายความว่าอะไรหรือ?”
น้ำเสียงของไป๋ยี่เฟยราบเรียบเหมือนเดิม “คนมีนิสัยชั่วร้ายที่ฝังรากลึก ถึงแม้เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาก็มีด้านที่ชั่วร้ายเช่นกัน เพียงแค่ความชั่วของเขาเล็กมาก เล็กจนสามารถมองข้ามได้”
“แต่คนคนหนึ่งถ้าหากว่าขยายนิสัยชั่วร้ายที่ฝังรากลึกของเขาใหญ่ขึ้น ดังนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนร้ายคนหนึ่ง คนร้ายคนหนึ่งที่ก่อกรรมทำชั่วไปหมด”
“เขาไม่มีน้ำใจใดๆกับคนและเรื่องราวรอบๆ ย่อมจะไม่ไปรับรู้สัมผัสรอบๆทั้งหมดโดยปริยาย”
“จากตัวคุณมากล่าวแล้วมีพรสวรรค์จริงๆ แต่พรสวรรค์ของคนคือมีขีดจำกัด หลังจากตอนที่พรสวรรค์ของตัวคุณบรรลุถึงขีดสุดแล้ว คุณคิดอยากจะก้าวหน้าอีกเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
“และคุณในตอนนี้ก็เป็นสภาพการณ์แบบนี้ พรสวรรค์ของตัวคุณถึงขีดสุดแล้ว”
“ดังนั้น คุณเอาอะไรมาสู้กับผมล่ะ?”
หลิ่วจาวเฟิงล้วนนิ่งอึ้งไปเลยทั้งตัว
สำหรับคำพูดของไป๋ยี่เฟย เขาเหมือนเข้าใจดั่งไม่เข้าใจ ทันใดนั้นถึงขนาดไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรบ้าง
ไป๋ยี่เฟยพูดสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากการสัมผัสของตัวเขาเอง สำหรับเขาสามารถเข้าใจหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องเขาแล้ว
“ไป๋ยี่เฟย!” หลังจากหลิ่วจาวเฟิงคิดไม่ตกมีความโมโหเล็กน้อย “ตกลงคุณหมายความว่าอะไรกันแน่?”
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองเขาพูดเบาๆว่า “เดิมทีควรจะจบกันสักหน่อย แต่ว่าลูกของผมทั้งสองคนเพิ่งคลอดออกมา ผมยังจะรีบกลับไปดูพวกเขาอยู่ วันนี้ก็ปล่อยคุณไปก่อน”
หลังจากพูดจบเขาก็เดินก้าวใหญ่เข้าไปในวัด
ผ่านลานแห่งหนึ่ง ไปถึงห้องโถงใหญ่ของวัด
อยู่ในห้องโถงใหญ่ ทั้งหมดมีสามคน
เมิ่งฉิงนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งหวายก้มหัวเล่นมือถืออยู่ ส่วนฉีฉีนั่งอยู่ขั้นบันไดดูเหมือนกำลังเหมอลอยอยู่ ส่วนเหลียงเหว่ยชาวยืนอยู่ข้างเสากลมใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือว่าจ้องมองพระพุทธรูปอยู่
มองเห็นทั้งสามคนนี้ ไป๋ยี่เฟยไม่แปลกใจเลย
ในเวลานี้ เมิ่งฉิงเก็บมือถือของเขาไว้ เงยหน้าจ้องมองไป๋ยี่เฟยแล้วจ้องมองอีก “สายเลือดของตระกูลไป๋นี้พิเศษมากจริงๆมิน่าล่ะพวกเขาล้วนจะถูกใจคุณ”
พวกเขาที่พูดอยู่ในปากของเขาบ่งชี้ถึงจื่ออีกับซินชิว
“คุณดูสิก่อนหน้านั้นทั้งๆที่คุณก็จะตายแล้ว นี่เพิ่งไม่นานก็ฟื้นฟูแล้ว?”
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองเมิ่งฉิงหนึ่งที เขาตัวคนเดียวเผชิญหน้ากับเมิ่งฉิง ไม่กล้ารับรองว่าสามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ ยิ่งกว่านั้นอีกที่นี่ยังมีเหลียงเหว่ยชาวคนหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่าอีก
ในใจไป๋ยี่เฟยไม่มีความมั่นใจเล็กน้อยเป็นเวลาชั่วคราว แต่เขายังคงถามว่า “ฉินหัวล่ะ?”
“ไอ้หยะ!” เมิ่งฉิงยิ้มอยู่ลุกขึ้นมา “ร้อนใจอะไรล่ะ?”
“ไม่ ผมร้อนใจมาก” ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างจริงจังมาก
เมิ่งฉิงหยุดชะงักหนึ่งที จากนั้นยิ้มแล้วยิ้มอีกอยู่ เดินสองก้าวไปยังข้างหน้าเขา ตบไหล่ของเขาตบแล้วตบอีกพูดว่า “งั้นก็ช่วยไม่ได้ สถานที่นี้เข้ามาแล้วก็ออกไปไม่ได้เลย”
หลังจากพูดจบเขาก็ถอยออกไปข้างหลังหลายก้าว บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม “ในเมื่อก็ต้องตายแล้ว งั้นก็ต้องตายให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ? พวกเราค่อยๆพูดจากต้นจนจบ”
ไป๋ยี่เฟยอารมณ์ไม่หวั่นไหวไปด้วยกับการบอกเป็นนัยในคำพูดของเมิ่งฉิง สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกทั้งยังจุดบุหรี่ม้วนหนึ่ง จากนั้นพูดว่า “งั้นก็เริ่มเลยเถอะ”
เวลานี้ ตลอดเวลามาไป๋ยี่เฟยล้วนคิดไม่ออกกับเรื่องนี้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
“คลังเก็บทองคงอยู่มาตลอดเวลา ไม่มีคนรู้ว่ามันสืบทอดลงมาตั้งแต่ยุคไหน แม้แต่คนที่รับผิดชอบเฝ้ารักษาคลังเก็บทองก็ล้วนไม่รู้เช่นกัน”
“และในใต้หล้านี้ทั้งหมดมีคลังเก็บทองห้าแห่ง ได้รับเพียงหนึ่งในนั้นใดๆ ดั่งได้รับใต้หล้านี้ก็เป็นเรื่องง่ายดาย”
“แต่ว่า จนถึงสุดท้ายจึงรู้อย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่ได้รับหนึ่งในนั้นเลย แต่เฉพาะแค่คลังเก็บทองที่หนึ่ง”
“จำนวนเก็บสต๊อกของคลังเก็บทองที่หนึ่ง มากกว่ายอดรวมจำนวนเก็บสต๊อกของคลังเก็บทองทั้งสี่อีกสิบกว่าเท่า”
เมิ่งฉิงพูดถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องอยู่อย่างเบาๆ แต่เหลียงเหว่ยชาวพิงอยู่ที่นั่นตลอด ก็เป็นลักษณะท่าทีที่ฟังอยู่แบบสนใจมากขนาดนี้
แต่ฉีฉี ล้วนไม่มีปฏิกิริยาใดๆโดยตลอด ดูเหมือนยังงงงันอยู่
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้โดยจิตใต้สำนึกพูดต่อว่า “ด้วยเหตุนี้ พวกคุณตั้งแต่เริ่มก็ชี้ไปยังคลังเก็บทองที่หนึ่ง”
“แต่ว่าคลังเก็บทองที่หนึ่งมีผู้ที่รับผิดชอบเฝ้ารักษาสองคน อีกทั้งพลังความสามารถล้วนเหนือกว่าพวกคุณ พวกคุณไม่สามารถฝืนแย่งมา ดังนั้นก็ยอกย้อนวางแผนหลุมพรางที่สลับซับซ้อนมากอย่างหนึ่ง ทำให้พวกเขาคิดว่าพวกคุณจะอยากได้เพียงคลังเก็บทองที่สาม”
เมิ่งฉิงยิ้มอยู่พยักหน้า “เป็นอย่างนี้จริงๆ จื่ออีร่วมมือกับซินชิว ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้”
“ถึงแม้ว่าแยกออก อยากจะสู้ชนะหนึ่งในนั้นของพวกเขา ก็ยากเหมือนดั่งปีนขึ้นฟ้าเช่นกัน”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดมีความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย “งั้นพวกคุณทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไรล่ะ? ถึงแม้ว่าพวกคุณแยกพวกเขาออกจากกันอยู่ในสองสถานที่ ก็ไม่มีประโยชน์เช่นกันไม่ใช่หรือ?”
“ก็ใช่สิ?” เมิ่งฉิงจนใจส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก จากนั้นเปลี่ยนน้ำเสียงทันที “แต่ว่า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ยังไงก็ต้องลองดูสักหน่อย ถ้าหากสำเร็จแล้วล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นดูดบุหรี่หนึ่งที ก็เลยก้มหัวนับนิ้วอยู่
เมิ่งฉิงเห็นเขาเป็นแบบนี้ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่สิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้จำเป็นต้องมีผู้ฟังอย่างเขาคนนี้ ดังนั้นกระแอมสองเสียงพูดว่า “ตั้งใจฟัง อย่าใจลอย”
ไป๋ยี่เฟยก้มหัวนับนิ้วอยู่เหมือนเดิม “อย่ารบกวนผม ผมกำลังนับอยู่”