ไป๋ยี่เฟยโจมตีไม่โดน หมุนกายอย่างรวดเร็ว ยกเท้าขึ้นมา โจมตีไปยังเมิ่งฉิงอีกครั้ง
เมิ่งฉิงหลบจนคับขันลำบากมาก ทั้งกลิ้งทั้งคลาน ไม่เหลือภาพพจน์ของหนุ่มหล่อสักนิดแล้ว มองเห็นไป๋ยี่เฟยยกเท้าขึ้น เมิ่งฉิงตื่นตระหนกกลิ้งไปยังข้างๆหลายรอบ นี่จึงหลบได้พ้น
“ตูม!”
และจุดที่เท้าของไป๋ยี่เฟยลงเหยียบออกมากลายเป็นหลุมลึกอันหนึ่งโดยตรง
เห็นสภาพ โดยจิตใต้สำนึกเมิ่งฉิงกลืนน้ำลายแล้วกลืนน้ำลายอีก มองเห็นไป๋ยี่เฟยยังจะโจมตีอีกครั้ง ตกใจจนรีบร้องเสียงดัง “เถ้าแก่ใหญ่ ช่วยผมเร็ว!”
เหลียงเหว่ยชาวอยู่ในความตื่นตะลึงมาโดยตลอด ได้ยินเสียงร้องช่วยของเมิ่งฉิงจึงคืนสติกลับมา ไม่สามารถสนใจมากมายขนาดนั้นแล้ว ก็พุ่งไปยังข้างหน้าไป๋ยี่เฟยอย่างรวดเร็ว ตบออกมาหนึ่งฝ่ามือ
ฝ่ามือนี้ มาอย่างลักษณะพลังที่ดุดัน แฝงไว้ด้วยแรงพลังที่ปะทุแตกอย่างสุดขีด น่าจะเป็นการควบคุมวิชามวยของไป๋ยี่เฟยแบบหนึ่ง
เหลียงเหว่ยชาวสีหน้าโหดเหี้ยม “ทำร้ายไปเลย!”
ไป๋ยี่เฟยเห็นสภาพสายตาสว่างขึ้นทันที จากนั้นยกแขนขึ้น สะบัดอยู่กลางอากาศหนึ่งทีอย่างตามใจ ก็สะบัดหนึ่งฝ่ามือนี้ของเหลียงเหว่ยชาวเพี้ยนทิศทางไปเลย
จากนั้นเขาออกดรรชนีเอกสุริยัน เล็งตรงตบไปยังเหลียงเหว่ยชาว
นี่แม้ว่าเป็นวิชาฝ่ามือที่เต้าจ่างเชี่ยวชาญ แต่ตอนนี้ถูกไป๋ยี่เฟยเรียกใช้ออกมา อานุภาพย่อมแข็งแกร่งกว่าเต้าจ่างมากโดยปริยาย
หลังจากเหลียงเหว่ยชาวมองเห็นในใจตื่นตกใจอย่างมาก ทั้งสองมือรีบสะบัดหนึ่งที แปรสลายแรงพลังส่วนมากอยู่กลางอากาศไป จากนั้นชกออกไปหนึ่งหมัดทันที ชกอยู่บนฝ่ามือของเขา
“ปั้ง!”
ทั้งสองคนถอยไปข้างหลังพร้อมกัน มองตามระยะห่างแล้วถึงขนาดมีฝีมือพอๆกัน
เมิ่งฉิงกับฉีฉีมองเห็นฉากนี้ ล้วนสะดุ้งตกใจ
แม้แต่เหลียงเหว่ยชาวเองก็มีความตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน
พลังความสามารถของไป๋ยี่เฟยที่เผยออกมาให้เห็นในปัจจุบันนี้เหนือกว่าความคิดของพวกเขาแล้ว ไม่เพียงแค่สามารถทำให้เมิ่งฉิงพ่ายแพ้อย่างสบาย แม้แต่เหลียงเหว่ยชาว ก็สามารถมีฝีมือพอๆกันได้
หลังจากเมิ่งฉิงกระอักเลือดแล้ว ตื่นตะลึงพูดว่า “นี่เป็นไปได้ยังไงหรือ?”
อารมณ์ของเขาในตอนนี้เหมือนกันกับสวี่เต้าจ่าง หลิ่วจาวเฟิง เมื่อก่อนหน้านี้ ล้วนตื่นกลัวกับยากที่จะเชื่อขนาดนั้น
หลังจากไป๋ยี่เฟยประคองรูปร่างของตนเองไว้แล้ว สีหน้าเย็นชาจ้องมองพวกเขาหนึ่งที สำหรับสีหน้าของพวกเขาไม่ประหลาดใจเลย พูดได้ว่าอยู่ในความคาดเดา
เขาเอ่ยปากพูดเบาๆว่า“ตอนนี้สามารถให้ผมเจอกับฉินหัวได้หรือยัง?”
เมิ่งฉิงคลานขึ้นมาจากพื้นอย่างลำบาก เช็ดเลือดที่อยู่มุมปากหนึ่งที จ้องมองไปยังเหลียงเหว่ยชาว
เมื่อกี้เหลียงเหว่ยชาวยังขมวดคิ้วต่อๆกันอยู่ ตอนนี้อยู่ดีๆกลับยืดออกไป เขามีความทอดถอนใจด้วยความหดหู่เล็กน้อยพูดว่า “ครั้งก่อนตอนที่อยู่หลันเต่า คุณก็เพียงแค่พลังความสามารถระดับที่สามชั้นกลางเวลาสั้นขนาดนี้ก็เข้าสู่ขบวนยอดฝีมือระดับที่หนึ่งแล้ว”
“ความเร็วในการก้าวหน้านี้มีความโอเวอร์เล็กน้อยจริงๆ”
“แท้ที่จริงคุณปกปิดพลังความสามารถเอาไว้โดยตลอดเลยเชียวหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเหลียงเหว่ยชาวอยู่ดีๆก็ใจเย็นแล้ว มีความประหลาดใจเล็กน้อย “เห็นลักษณะท่าทีของคุณ น่าจะยังมีไม้ตายถ้าไม่ตอนนี้ทำไมใจเย็นขนาดนี้ล่ะ?”
เหลียงเหว่ยชาวอมยิ้มหนึ่งที สีหน้าบนใบหน้าสบาย “ยังจำได้ว่าในตอนต้นตอนที่พบเจอกับคุณครั้งแรก คุณยังเป็นเด็กโง่คนหนึ่งที่จิ๊บจ๊อยอยู่”
“ปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งแล้ว เป็นทิวทัศน์ยังคงอยู่แต่คนกลับต่างกันแล้วจริงๆ”
เหลียงเหว่ยชาวทั้งพูดทั้งเดินเข้าใกล้ไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยรู้สึกความห่างใกล้เกินไปเล็กน้อย โดยจิตใต้สำนึกถอยออกไปสองก้าว “คนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว”
เหลียงเหว่ยชาวกลับส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก พูดว่า “คนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วจริงๆ แต่ความเร็วของคุณเร็วเกินไปแล้ว เร็วจนคุณล้วนดีใจจนเหลิงเล็กน้อยแล้ว!”
“หมายความว่าอะไรหรือ?” ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วขึ้นมา
เหลียงเหว่ยชาวอมยิ้มอีกหนึ่งที “พลังความสามารถของคุณเหนือกว่าความคาดคิดของพวกเราจริงๆแต่ดูจากปัจจุบันนี้ระดับของคุณใกล้เคียงกันกับผม อย่างนั้นผมร่วมมือกันกับเมิ่งฉิง คุณยังแน่ใจว่าคุณจะสู้ชนะได้หรือ?”
หลังจากไป๋ยี่เฟยได้ยินก็ยิ้มแล้วเช่นกัน “ไม่ลองดูจะรู้ได้ยังไงล่ะ?”
แท้ที่จริงในใจของเขารู้อยู่แล้ว แม้ว่าสภาวะในปัจจุบันนี้ของเขายกระดับแล้ว แต่เขาก็ได้แต่บังคับให้สู้เสมอกับเหลียงเหว่ยชาว ถ้าหากเขาร่วมมือกับเมิ่งฉิงละก็ เขาจะไม่มีโอกาสชนะเลยจริงๆ
แต่ฉินหัวในตอนนี้อยู่ในมือของพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ช่วย ถึงแม้ว่าสู้ไม่ชนะ ก็ได้แต่แข็งกร้าวเท่านั้น
เหลียงเหว่ยชาวยิ้มแล้วยิ้มอีกอย่างแท้จริง วางสายตาอยู่บนกายฉีฉีที่อยู่ข้างๆ “ดูแล้วคุณน่าจะลืมการคงอยู่ของเธอล่ะ ไม่ต้องลองเลยสักนิด คุณแพ้แน่นอน”
ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา พวกเขาวางสายตาอยู่บนกายฉีฉีเลย
ฉีฉีอึ้งชะงัก อยู่ดีๆ ถูกพวกเขาจ้องมองขนาดนี้ มีความโมโหเล็กน้อย “มองฉันทำไมล่ะ? แม้แต่คนเดียวฉันก็สู้ไม่ได้!”
พูดคำนี้แท้ที่จริงแล้วยังมีความไม่ยอมเล็กน้อย เพราะว่าก่อนหน้านั้นฉีฉีสามารถที่จะรังแกไป๋ยี่เฟยตามใจนะ แต่ตอนนี้ ไป๋ยี่เฟยก้าวหน้าเร็วเกินไป เร็วจนเธอไล่ไม่ทัน ได้แต่เงยหน้ามองเท่านั้น
ความต่างมาเร็วเกินไป คาดว่าไม่ว่าเป็นใครในใจก็จะมีความไม่พอใจเล็กน้อย
แต่ในเวลานี้ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆว่า “ฉีฉี พวกเราไม่ควรเป็นศัตรูต่อกัน”
ฉีฉีได้ยินคำพูดนี้ได้เพียงแค่ตอบกลับอย่างเบาๆว่า “ผิดแล้ว เดิมทีพวกเราก็เป็นศัตรูต่อกัน”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วขึ้นมา
เมิ่งฉิงเดินไปยังข้างกายฉีฉี จากนั้นจับมือของเธอไว้ ยิ้มพูดว่า “คุณเป็นผู้ถูกคัดเลือกเฝ้าคลังที่จื่ออีเลือก แต่ฉีฉีเป็นผู้ถูกคัดเลือกที่ซินชิวเลือก พวกคุณเหลือไว้เพียงแค่คนเดียว ดังนั้นล่ะ ความสัมพันธ์ของพวกคุณเป็นศัตรูต่อกันโดยชะตาฟ้าลิขิต”
“ผมไม่เข้าใจ” ไป๋ยี่เฟยพูด
ฉีฉีอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ยังไม่มีอะไรไม่เข้าใจหรือ?”
“ผมคิดว่า คุณจะใส่ใจพี่ชายคุณมากกว่า แต่ไม่ใช่สถานะที่เป็นผู้เฝ้าคลังอะไรนี่” ไป๋ยี่เฟยพูด
ได้ยินคำพูดนี้ ฉีฉีหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความจนใจเล็กน้อยกับความอาฆาตแค้นเล็กน้อย “นี่ล้วนไม่ใช่พวกคุณบีบบังคับหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจถามว่า “ใครบีบบังคับคุณล่ะ?”
“คุณรู้ไหมว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ฉันถูกลอบฆ่ามามากมายเท่าไหร่ล่ะ? ถ้าหากว่าไม่ใช่เมิ่งฉิงที่ปกป้องแต่ละครั้ง คุณคิดว่าคุณยังสามารถมองเห็นฉันในวันนี้หรือ?” หลังจากฉีฉีพูดจบหยุดชะงักหนึ่งวินาที ถามอีกว่า “คุณอยากจะรู้ไหมว่าใครเป็นคนที่อยากจะฆ่าฉันล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยถามด้วยจิตใต้สำนึกว่า “ใครหรือ?”
อยู่ดีๆสายตาของฉีฉีกลายเป็นเย็นเยือก ยังหยิบรูปถ่ายหลายใบออกจากกระเป๋าของตนเอง โยนไปยังไป๋ยี่เฟยอย่างดุเดือด จากนั้นร้องตะโกนพูดว่า “พวกคุณตระกูลไป๋ ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ยังมีจื่ออี!”
“พวกเขาส่งคนมาลอบฆ่าฉันทีละครั้งๆ!”
รูปถ่ายไม่ได้โยนอยู่บนกายของไป๋ยี่เฟยเลย แต่ตกอยู่ข้างเท้าของเขากระจายออกมา
ไป๋ยี่เฟยก้มหัว มองเห็นเนื้อหาที่อยู่บนรูปถ่าย ล้วนเป็นศพ และหน้าตาของศพแต่ละศพล้วนชัดเจนมาก
ตาของฉีฉีแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้นพูดว่า “คนเหล่านี้คุณสามารถไปสืบด้วยตนเองเลย ดูสิพวกเขาเป็นคนของใคร!”
“เดิมทีฉันก็แค่อยากจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ขาดแคลนสถานะที่เป็นผู้เฝ้าคลังอะไร แต่ว่า คนเหล่านั้นที่จะเฝ้ารักษาคุณ คนที่จะค้ำจุนคุณ พวกเขาไม่ได้คิดอย่างนี้เลย!”
“พวกเขาจะจัดการสิ่งกีดขวางอย่างฉันคนนี้ ดังนั้นก็ลอบฆ่าฉันทีละครั้งๆ!”
“เป็นคุณ กับคนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลังคุณ บีบบังคับฉันกลายเป็นฝั่งศัตรูต่อกันอย่างฝืนๆ!”
ฟังคำพูดเหล่านี้จบ ไป๋ยี่เฟยเงียบสนิทไม่พูด
อยู่ในเวลานี้ เขาสามารถเข้าใจความคิดและอารมณ์ของฉีฉีอย่างมาก เพราะว่าเขาเคยเป็นอย่างนี้เช่นกัน ไม่ใช่หรือ?
เขาก็เคยเป็นอย่างนี้เช่นกัน มีเรื่องมากมายเขาไม่อยากไปทำเลยสักนิด ล้วนถูกคนอื่นบีบบังคับ
เขาก็เคยประสบเจอมาก่อน ถูกคนลอบฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งมาจากการลอบฆ่าจากน้องชายแท้ๆของตนเอง ไม่ว่าเรื่องอะไร ทันทีที่จำนวนครั้งมากขึ้นแล้ว ยังไงก็จะโมโหมาก
เหลียงเหว่ยชาวเห็นสภาพยิ้มแล้วยิ้มอีกพูดว่า “ดังนั้น พวกเราทั้งสามร่วมมือกัน คุณไม่มีโอกาสชนะเลยสักนิด!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดยิ้มขมส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก “ไม่มีจริงๆ”
“แท้ที่จริงถึงแม้ว่าคุณสามารถทำให้พวกเราทั้งสามคนพ่ายแพ้ พวกเราก็สามารถใช้ฉินหัวมาคุกคามคุณ เช่นกันกับใช้คุณมาคุกคามฉินหัว ไม่ว่าเป็นยังไง หมากนี้คุณล้วนต้องแพ้อย่างไร้สงสัย”
ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกถึงแล้วเช่นกัน นี่เป็นหมากตายจริงๆ
ไป๋ยี่เฟยตกอยู่ในการครุ่นคิด คิดวิธีการแก้ไขอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน หลังจากไม่กี่วินาที ไป๋ยี่เฟยพูดว่า “ผมอยากเจอฉินหัวก่อนสักหน่อย”
เมิ่งฉิงได้ยินคำพูดยิ้ม ฮึ พูดว่า “พูดกับคุณตามตรง ฉินหัวก็อยู่ในนี้ ให้คุณดูหน่อยก็ได้”
หลังจากพูดจบเขาจ้องมองฉีฉีหนึ่งที
ฉีฉีก็เลยหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ จากนั้นมาถึงข้างหลังของพระพุทธรูป ดูเหมือนจับอะไรได้ ก็เลยมีเสียงเครื่องจักรดังตูมตามส่งมาพักหนึ่ง
ต่อจากนั้น พระพุทธรูปองค์นั้นก็ค่อยๆแยกออกจากกันไปยังสองข้าง
และอยู่ตรงกลางของพระพุทธรูป ก็ปรากฏฉินหัวที่ถูกโซ่ล่ามไว้ออกมา
มองเห็นฉินหัวที่เป็นแบบนี้ โดยจิตใต้สำนึกไป๋ยี่เฟยอยากจะเข้าไป แต่ว่าถูกเหลียงเหว่ยชาวกับเมิ่งฉิงยื่นมือขวางพร้อมกันไว้แล้ว
“ให้คุณดูสักหน่อยก็ดีแล้ว คุณยังอยากจะไปช่วยเขาเลยเชียวหรือ?” เมิ่งฉิงแสยะหัวเราะพูด
เหลียงเหว่ยชาวก็ยิ้มแล้วเช่นกัน “โซ่ที่ล่ามเขาไว้ไม่ใช่โซ่ทั่วไป อยากจะทำให้ขาดเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าเป็นซินชิวก็ทำไม่ได้เช่นกัน”