และพอชายหนุ่มคนนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็จับคอเสื้อของไป๋ยี่เฟยเอาไว้ทันที พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ไอ้แก่ ไหนแกลองพูดอีกครั้งสิ?”
“พี่!” เจิ้งหยู่ยานรีบพุ่งเข้ามาทันที กอดแขนชายหนุ่มไว้
ชายหนุ่มโกรธจนแทบทนไม่ไหว “หยู่ยาน เธอถึงกับปกป้องไอ้แก่นี่เชียวเหรอ!”
หลังพูดเสร็จก็ชี้ไป๋ยี่เฟยพลางด่าทอเสียงดัง “ไอ้แก่อย่างแก รังแกหยู่ยานของเราไปแล้วใช่ไหม? วันนี้ฉันจะจัดการแกอย่างสาสมเลย หยู่ยานของเราใช่ให้แกมารังแกได้เหรอ?”
เจิ้งหยู่ยานกอดแขนชายหนุ่มไว้ ร้องขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “พี่ พี่ใจเย็นหน่อย ไม่ใช่อย่างนั้น”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว อย่าบอกว่ารังแกหรือไม่รังแกดีกว่า เพราะเราสองคนเข้ากันได้ดี รักกันด้วยใจจริง”
“รักแม่แกสิ!” ชายหนุ่มผลักเจิ้งหยู่ยานออกด้วยความโกรธ คว้ามีดเล่มหนึ่งมาจากในมือบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง ทำท่าจะแทงไป๋ยี่เฟย
ในเวลานี้เอง เจิ้งซงก็เปิดประตูเดินออกมา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้?”
“พ่อบุญธรรม” หลังชายหนุ่มเห็นเจิ้งซง ก็รีบโยนมีดไปให้บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างทันที ก่อนจะก้มศีรษะเรียกออกมา ดูท่าทางหวาดกลัวเจิ้งซงอย่างมาก
มารดาเจิ้งหยู่ยานรีบถามเจิ้งซงว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ?”
เจิ้งเซิงเพียงแค่กวาดตามองพวกเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “ต่อไปสวีลั่งก็คือลูกเขยของตระกูลเจิ้งเรา ครอบครัวเดียวกันอย่าทำเหมือนเป็นศัตรูกันสิ”
“อะไรนะ?” มารดาเจิ้งหยู่ยานกับชายหนุ่มต่างชะงักไป
เจิ้งซงโบกมือ “เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
หลังมารดาเจิ้งหยู่ยานได้สติกลับมา ก็ถลึงตาใส่เจิ้งหยู่ยานแวบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ส่วนชายหนุ่มพอเดินผ่านข้างตัวไป๋ยี่เฟย ก็ขู่เสียงต่ำว่า “หากแกกล้าแตะต้องเธอ แกได้เห็นดีแน่!”
หลังพูดจบก็เดินจากไปอย่างเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ไป๋ยี่เฟยมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถามต่อหน้าเจิ้งซงว่า “เขาเป็นใคร? ดูท่าทางเขาจะชอบคุณมาก?”
“คุณ……” เวลาที่เจิ้งหยู่ยานคิดจะอธิบายก็จะถูกไป๋ยี่เฟยขัดจังหวะไปเสียทุกครั้ง ตอนนี้จึงทั้งโกรธทั้งร้อนใจ แถมเจิ้งซงดันมาอยู่ตรงหน้าอีก เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา สุดท้ายเธอก็เลยโกรธจนหมุนตัวเดินจากไป
เหลือเพียงเจิ้งซงที่ยังอยู่หน้าประตู เขาเอ่ยกับไป๋ยี่เฟยว่า “เขาเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ชื่อว่าเจิ้งหมิง”
“เขาชอบหยู่ยานจริงๆ แต่คุณเองก็อย่าสนใจเกินไปนัก เพราะอย่างไรหลังเรื่องนี้ผ่านไป คุณกับหยู่ยานก็ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว และฉันก็ไม่มีทางยกหยู่ยานให้แต่งงานกับเขาเช่นเดียวกัน”
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่อย่างไม่ยี่หร่ะพลางพูดว่า “อันที่จริงผมก็แค่อยากจะรู้ว่าเขาเป็นใครเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับผมหรอก”
หลังพูดจบเขาก็เดินจากไปเช่นกัน
หลังยี่เฟยลงมาหยุดที่ชั้นหนึ่งก็มองเห็นเจิ้งหยู่ยานรออยู่หน้าประตู
หลังเจิ้งหยู่ยานมองเห็นเขาก็เดินเข้ามาหา พูดอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “ขอโทษด้วย คุณมาช่วยฉันแท้ๆ แต่ฉันยังจะไปต่อว่าคุณอีก”
“ไม่เป็นไร” ไป๋ยี่เฟยกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็เดินออกมาข้างนอก
เจิ้งหยู่ยานเดินตามมาพลางถามว่า “แล้วทำไมคุณต้องขัดจังหวะตอนที่ฉันจะอธิบายให้แม่ฉันฟังด้วยล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “อยู่ร่วมกับพ่อคุณพักหนึ่ง ก็พบว่าพ่อคุณไม่ธรรมดา ดังนั้นเรื่องแบบนี้อย่าให้คนรู้มากจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะถูกพ่อคุณมองพิรุธออกได้ง่ายๆ”
“หากพ่อคุณรู้เข้า ผมเกรงว่าความตายคงจะอยู่ไม่ไกลนัก”
พอเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ก็พลันเข้าใจขึ้นมา
อย่างไรเจิ้งซงก็เป็นบิดาของตน ต่อให้รู้ว่าเธอโกหก อย่างมากก็แค่สั่งสอนเธอชุดหนึ่ง แต่หากรู้ว่าไป๋ยี่เฟยร่วมมือกับเธอโกหกเขาล่ะก็ เขาจะต้องฆ่าไป๋ยี่เฟยอย่างแน่นอน
เจิ้งหยู่ยานยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม “อาลั่ง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันไม่คิดให้รอบคอบเอง”
ทั้งสองคนพูดไปพลาง เดินออกมาจากบ้านใหญ่ไปพลาง
เพียงแต่เพิ่งจะเดินออกมา สายตาก็ปะทะเข้ากับเจิ้งหมิงที่อยู่หน้าประตู
เจิ้งหมิงยืนอยู่หน้าประตูราวกับกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ หลังจากมองเห็นพวกเขา เจิ้งหมิงก็โบกมือ จากนั้นก็มีบอดี้การ์ดหลายคนวิ่งเข้ามา ในมือของแต่ละคนยังกอดถุงใบหนึ่งไว้ด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็โยนถุงลงตรงหน้าไป๋ยี่เฟย
เจิ้งหมิงมองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่งอย่างเต็มไปด้วยความเหยียดหยามก่อนจะพูดว่า “เอาเงินพวกนี้ แล้วไปจากหยู่ยาน ไปจากตระกูลเจิ้งซะ!”
ไป๋ยี่เฟยทำหน้าตางุนงงมองเจิ้งหมิง
เจิ้งหยู่ยานก็เปลี่ยนเป็นหน้างอง้ำขึ้นมา “พี่คะ พี่ทำอะไร?”
“หยู่ยาน หรือว่าเธอมองไม่ออกใช่ไหม? เขามาก็เพราะเงินของพวกเรา!” เจิ้งหมิงอธิบายกับเจิ้งหยู่ยานด้วยความร้อนใจ “คนอย่างเขาก็แค่อยากจะหลอกเธอ พอเข้ามาตระกูลเจิ้งแล้วก็จะได้เงินมากขึ้น!”
“หยู่ยาน มันเป็นแค่ไอ้แก่คนหนึ่ง เธอไปถูกใจมันได้ยังไง”
พอได้ยินคนเรียกว่าไอ้แก่อีกครั้งในใจไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกแปลกประหลาด
ตัวตนเดิมของเขาอายุยังไม่ถึงสามสิบ หลังแปลงโฉมก็ดูอายุเพิ่งจะสี่สิบเท่านั้น สมควรดูไม่แก่จนถึงกับต้องกลายเป็นไอ้แก่หรอกมั้ง?”
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ดังนั้น คุณก็เลยคิดว่าผมคบกับหยู่ยานเพื่อเงินใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” เจิ้งหมิงแค่นเสียงเย็น
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ ก็มองเจิ้งหยู่ยานแวบหนึ่งแล้วถามเขาว่า “ความหมายของคุณคือหยู่ยานเธอหน้าตาไม่สวยแล้ว?”
“ไม่ใช่แน่นอน!” เจิ้งหมิงรีบตอบทันที “นี่มันเกี่ยวอะไรกับหน้าตาเธอว่าสวยหรือไม่สวย?”
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดว่า “เกี่ยวอย่างแน่นอน หากเธอหน้าตาไม่สวย ผมจะตามจีบเธอไหม? ใครบอกกันว่าการคบหากับผู้หญิงสักคนจะต้องทำเพื่อเงิน คบกับเธอเพราะเธอหน้าตาสวยไม่ได้เหรอ?”
“แก……” เจิ้งหมิงถูกพูดจนไร้หนทางตอบโต้ ในดวงตาปรากฎแววเหี้ยมเกรียมสายหนึ่งวาบผ่าน
ไป๋ยี่เฟยย่อมจะมองเห็นแล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเช่นกัน แค่เพิ่งจะระดับสาม ยังห่างชั้นจากเขาอีกไกลนัก
อีกทั้งไป๋ยี่เฟยก็ไม่ใช่พวกตาสีตาสาเช่นกัน สีหน้าแบบนี้ของเจิ้งหมิง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกชอบสุรานารีเป็นที่สุด
ไป๋ยี่เฟยเห็นเขามีท่าทางพูดไม่ออก ก็ซ้ำอีกหนึ่งมีดว่า “ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ผมที่ตามจีบเธอ แต่เป็นเธอที่ตามจีบผม”
เจิ้งหมิงโกรธจนหน้าตาบิดเบ้ พร้อมกับเบิกตากว้าง “เหลวไหล!”
พอเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาด เธอคิดว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะไปตามจีบคุณอาวัยกลางคนคนหนึ่งแน่ แต่ตอนนี้ล่ะ ภายนอกเห็นเป็นเช่นนี้จริงๆ
อีกทั้งเธอยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากไป๋ยี่เฟย ดังนั้นเธอจึงยอมรับว่า “เขาพูดถูก ฉันเป็นคนตามจีบเขาเอง”
เจิ้งหมิงโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม อ้าปากหอบหายใจ แต่ต่อให้เขาโกรธแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาความโกรธไประบายใส่เจิ้งหยู่ยาน ทำเพียงถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันให้เวลาแกหนึ่งวัน รีบไสหัวออกไปจากตระกูลเจิ้ง ไปจากหยู่ยานซะ”
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันก็ไม่ถือสาที่จะทำให้แกหายไปจากโลกนี้!”
“พี่!” สีหน้าของเจิ้งหยู่ยานไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
เจิ้งหมิงไม่สนใจเจิ้งหยู่ยาน ทำเพียงถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยอย่างดุร้ายแวบหนึ่งในดวงตามีแววเข่นฆ่าสายหนึ่งวาบผ่าน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
เห็นเจิ้งหมิงจากไปแล้ว เจิ้งหยู่ยานก็เอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจอยู่บ้างว่า “แล้วนี่จะทำยังไงดี? พี่ชายฉันเป็นยอดฝีมือระดับที่สาม หากเขาคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ คุณต้องแย่แน่”
“ถ้าไม่อย่างนั้นเอาอย่างนี้ดีไหม วันนี้คุณก็รั้งอยู่ที่บ้านเราเถอะ อยู่ในบ้านเขาไม่กล้าแตะต้องคุณแน่”
ไป๋ยี่เฟยกลับส่ายหน้าเล็กน้อยพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร สู้ไม่ได้ก็ยังหนีได้ไม่ใช่เหรอ?”
หลังพูดจบก็โบกมือแล้วจากไป
เจิ้งหยู่ยานมองเงาหลังของเขายังคงกังวลใจอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ไป๋ยี่เฟยคิดจะเริ่มลงมือจากตระกูลเจิ้ง เพื่อมองหาคนของสำนักหนานเหมินเหล่านั้น พร้อมกับสืบหาข่าวบางอย่าง แต่เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ยังคงรอพรุ่งนี้ค่อยถามจะดีกว่า
ดังนั้นหลังออกจากตระกูลเจิ้ง ไป๋ยี่เฟยก็โทรหลิวเสี่ยวอิง
……
สถานีเก็บเศษเหล็กนั่นที่หลิวเสี่ยวอิงอยู่ก่อนหน้านี้ ไป๋ยี่เฟยเองก็มาแล้ว พร้อมกับมอบทองคำแท่งหนึ่งให้เถ้าแก่คนนั้น จึงทำให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว
หลิวเสี่ยวอิงป้อนยาเม็ดชนิดหนึ่งให้อู๋เฉียง เพื่อช่วยให้ร่างของอู๋เฉียงไม่เน่าเปื่อยเร็วเกินไป
หลิวเสี่ยวอิงพูดว่า “เหลือแค่เจ็ดวัน”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจแล้ว พวกเขามีเวลาอีกแค่เจ็ดวัน ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดกับหลิวเสี่ยวอิงว่า “เธอกินอะไรหรือยัง?”
หลิวเสี่ยวอิงหัวเราะแหะๆ แล้วกล่าวว่า “ฉันยังไม่หิวค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยไม่เชื่อคำพูดเธอ “ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร จะไม่หิวได้ยังไง? ฉันจะไปซื้อของกินหน่อยเดี๋ยวกลับมา”
หลังไป๋ยี่เฟยพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป หลิวเสี่ยวอิงกลับกำชับเขาที่ด้านหลังประโยคหนึ่ง “ระวังหน่อย รีบไปรีบกลับ!”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป ทำเช่นนี้รู้สึกเหมือนกับสามีจะออกไปข้างนอก แล้วภรรยากำชับให้ระวังตัวอย่างไรอย่างนั้น
หลิวเสี่ยวอิงทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง แต่ไป๋ยี่เฟยรู้สึกเกินความคาดหมายอย่างมาก
เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าในใจหลิวเสี่ยวอิงกำลังคิดอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้?
ไป๋ยี่เฟยอดหมุนตัวกลับมาถามไม่ได้ว่า “เธอ……เป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลิวเสียวอิงกลับพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววกระเง้ากระงอดว่า “ไม่เป็นไร ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”