“แต่ว่าน่าเสียดายมาก ครั้งนี้ไม่ว่ายังไงล้วนไม่ทันแล้ว”
ท่านทวดพูดไปพูดมาหัวเราะอีกเสียงหนึ่ง “อาชิว ท่านรู้ไหม? ผมชอบค้นคว้าวิจัยนิสัยของมนุษย์มาก”
ซินชิวกลับยิ้มบางๆอยู่พูดว่า “ใช่ แต่ว่าแกค้นคว้าวิจัยละเอียดลึกซึ้งไม่พอเหมือนเดิม”
“หมายความว่าอะไรหรือ?” ท่านทวดขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซินชิวพูดอย่างเย็นชาว่า “นิสัยของมนุษย์ไม่ใช่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิด”
……
ชายชราผมขาวถือมีดสั้นของเขาเข้าไปในห้องนอนของหลี่เสว่ เขามั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยมเปิดไฟขึ้นมา คิดที่จะพิฆาตในหนึ่งโจมตี
แต่ว่า คนที่อยู่ในห้องนอนไม่ใช่หลี่เสว่เลย แต่คือไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยขึงลับมากนั่งอยู่บนโซฟา ตาที่เย็นเยือกทั้งคู่ จ้องมองชายชราผมขาวตรงๆ
ชายชราผมขาวมึนงงอยู่กับที่
จากนั้นเขาตื่นตระหนกตกใจร้องพูดว่า “เป็นแกหรือ? เป็นแกได้ยังไงล่ะ? แกไม่ใช่ควร…..”
ไป๋ยี่เฟยตัดคำพูดของเขาน้ำเสียงเย็นเยือกถามว่า “พ่อบ้านรองของบ้านเก่าหรือ?”
บ้านเก่าตระกูลไป๋ทั้งหมดมีพ่อบ้านสามคน พ่อบ้านรองคนนี้รับผิดชอบบริหารคฤหาสน์แถวที่สอง เป็นชายชราคนหนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายท่านทวด
“ว่ากันว่าพลังความสามารถของพ่อบ้านรองใกล้จะถึงระดับที่หนึ่งแล้ว” ไป๋ยี่เฟยพูดเสียงเย็นชา
ในที่สุดพ่อบ้านรองก็คืนสติกลับมา เขาซ่อนมีดสั้นที่อยู่ในมือไว้ข้างหลังทันที สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติมากพูดว่า “คุณชาย ผมก็แค่……มาทักทายคุณชายแทนท่านทวด มาดูว่าคุณชายพักอยู่ที่นี่ยังมีความต้องการอะไรไหม?”
ใบหน้าไป๋ยี่เฟยไร้สีหน้าลุกขึ้นมา แฝงไว้ด้วยความเหน็บแนมจ้องมองเขา
พ่อบ้านรองเห็นแบบนี้โดยจิตใต้สำนึกถอยหลังก้าวหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นตอนที่ไป๋ยี่เฟยเอะอะอาละวาดโวยวายที่บ้านเก่าตระกูลไป๋ พ่อบ้านรองที่อยู่คฤหาสน์ข้างหลังแถวนั้น ก็มองเห็นแล้วเช่นกัน ปู่ใหญ่พูดว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งของเดนเทพยุทธ์ จากนั้นท่านทวดพูดว่าเพียงแค่ระดับหนึ่งชั้นกลาง
แต่ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนี้ ด้วยพลังความสามารถที่ยังไม่ถึงระดับที่หนึ่งของเขา เขาก็ล่วงเกินไม่ไหว
ดังนั้นเขาใจฝ่อมาก ทั้งหวาดกลัวมาก
สภาพการณ์เมื่อกี้แบบนั้นอธิบายยังไงล้วนไม่มีประโยชน์ ถึงยังไงก็เป็นเขาถือมีดเข้ามามืดๆ คนโง่ล้วนรู้ว่ามาทำอะไร
ยิ่งกว่านั้นอีกเดิมทีไป๋ยี่เฟยควรจะไปหานักฆ่าเหล่านั้น ตอนนี้กลับนั่งอยู่ที่นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการคาดเดาถึงแผนการของพวกเขามานานแล้ว
แต่แม้ว่าเขาหวาดกลัว ในใจยังคงสงสัยงงงวยมาก “เป็นไปได้ยังไงที่คุณจะอยู่นี่? คุณควรจะอยู่……”
“อู่ซ่อมรถนอกเมืองใช่ไหม?” ไป๋ยี่เฟยเสียงเย็นชาพูดต่อคำพูดเขา
ทันใดนั้นพ่อบ้านรองพูดไม่ออก จากนั้นเขาทั้งตื่นตระหนกตกใจส่ายหัวต่อๆกันพูดว่า “ตั้งแต่ไหนแต่ไรท่านทวดจะดูคนไม่ผิด เป็นอย่างนี้ได้ยังไงล่ะ? นี่เป็นไปไม่ได้!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินคำนี้ค่อยๆยกมือของเขาขึ้นมา
พ่อบ้านรองเห็นฉากนี้ ทันใดนั้นอึ้งชะงักอยู่กับที่
ไป๋ยี่เฟยวางมืออยู่ระหว่างคิ้วของพ่อบ้านรอง ยิ้มเย็นชาอยู่พูดว่า “ด้วยนิสัยของผมมากล่าวแล้ว ผมควรอยู่ที่นั่นจริงๆ แต่ว่า เขาตกหล่นไปจุดหนึ่ง”
“นั่นก็คือ ผมยังถือว่ามีความฉลาดบ้างเล็กน้อย”
หลังจากพูดคำนี้จบ ไป๋ยี่เฟยจิ้มอยู่ระหว่างคิ้วหนึ่งที ก็ถอยออกไป
“ปั้ง!”
พ่อบ้านรองล้มอยู่กับพื้นโดยตรง ตายอยู่ในความตื่นตระหนกตกใจ
ไป๋ยี่เฟยเปิดประตูเดินออกไปเลย
……
อู่ซ่อมรถนอกเมือง
ศพสิบกว่าศพนอนอยู่ในลานบ้าน กลางอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
นักฆ่าที่ยังเหลือสิบกว่าคน พวกเขาล้วนตื่นตะลึงจ้องมองคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา
“สวีลั่ง!”
“เป็นคุณหรือ? เป็นคุณได้ยังไงล่ะ?”
นอกจากสวีลั่งแล้ว ไป๋หู่ เฉินอ้าวเจียวและจงเหลียน พวกเขาล้วนอยู่ทั้งหมด
สวีลั่งจ้องมองชายโพกหัวอย่างเย็นชาพูดว่า “ไม่ได้เจอกันมานาน เหล่าหลิว”
ชายโพกหัวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมๆเสียงหนึ่งพูดว่า “ที่แท้คุณติดตามไป๋ยี่เฟยแล้ว มิน่าล่ะ กลับสืบมาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้”
สวีลั่งเพียงแค่จ้องมองเขาหนึ่งทีอย่างเย็นชา จากนั้นมองไปยังในออฟฟิศพูดว่า “คนที่อยู่ข้างในคนนั้น ออกมาได้แล้วล่ะ?”
คำพูดนี้เพิ่งพูดจบ ก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมา เขาใบหน้าขึงลับอยู่จ้องมองสวีลั่งถามว่า “ไป๋ยี่เฟยอยู่ที่ไหนหรือ?”
สวีลั่งเหลือบมองเขาหนึ่งที หัวเราะเยาะเสียงหนึ่งพูดว่า “เขาย่อมอยู่ที่สถานที่ที่เขาควรอยู่อยู่แล้ว”
ท่านเฟยได้ยินคำพูดนี้สีหน้ายิ่งเพิ่มความขึงลับมากขึ้นแล้ว เพราะว่าเขารู้ว่าแผนการของท่านทวดล้มเหลวแล้ว
เฉินอ้าวเจียวเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ยิ้มเย็นชาอยู่ถามว่า “เมื่อกี้คุณไม่ใช่ยังมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยมหรือ? ยังคิดว่าตนเองสามารถบีบบังคับไป๋ยี่เฟยได้ จนกระทั่งยังคิดที่จะฉลองแล้วไม่ใช่หรือ?”
“คุณบอกกับพวกเขาว่าเพียงแค่พยายามถ่วงไป๋ยี่เฟย ก็ได้แล้วใช่หรือไม่?”
“แต่น่าเสียดายมาก คนที่มาไม่ใช่ไป๋ยี่เฟยเลยสักนิด แต่เป็นพวกเรา”
คำพูดเหล่านี้ก็เหมือนดั่งฝ่ามือทีละข้าง ตบหน้าท่านเฟยอยู่อย่างรุนแรง
ท่านเฟยพูดเสียงเข้มว่า “พวกคุณยังไม่รีบลงมือหรือ? ฆ่าพวกเขาเลย!”
แต่คนที่เหลือเหล่านั้นไม่มีสักคนขยับ แม้ว่าพวกเขาไม่รู้จักคนอื่นๆ แต่พวกเขาล้วนรู้จักสวีลั่ง
ถ้าจะพูดถึงสวีลั่งแต่ก่อนพลังความสามารถมีเพียงแค่ระดับที่สาม แท้ที่จริงนับไม่ได้ว่าเก่งมากขนาดไหน ความเก่งของเขาที่แท้จริงคือการลอบฆ่าของเขา
ยิ่งกว่านั้นอีกในคนเหล่านี้ที่เหลืออยู่ ยังมีทักษะการลอบฆ่าของหลายคนล้วนเป็นสวีลั่งสอนให้
ก็พูดได้ว่า ถึงแม้ในพวกเขามีคนสภาวะสูงกว่าสวีลั่ง เพียงแค่ฆ่าสวีลั่งไม่ได้ สวีลั่งก็จะหาโอกาสฆ่าพวกเขากลับไปได้
ยิ่งกว่านั้นอีก ในตอนนี้สวีลั่งเข้าสู่ระดับที่สองแล้ว ไม่ใช่สภาวะเมื่อก่อนเลย
ท่านเฟยเห็นพวกเขาต่างคนต่างล้วนไม่กล้าขยับ อดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนพูดว่า “ในตอนนี้พวกคุณไม่เชื่อฟังคำพูดของผมก็คือตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลไป๋อยู่ ถึงเวลานั้นสภาพของพวกคุณเพียงแค่จะยิ่งน่าเวทนากว่า!”
ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของคนเหล่านั้นล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
แต่พวกเขาลำบากใจจริงๆ ไม่กล้าล่วงเกินตระกูลไป๋เป็นเรื่องจริง ไม่กล้าล่วงเกินคนเหล่านี้ที่อยู่ต่อหน้าก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
และก็อยู่ในเวลานี้ อยู่ดีๆสวีลั่งถามว่า “เหล่าหลิว อาชีพนักฆ่านี้ถึงยังไงก็ไม่มั่นคงนะ คุณเคยคิดไหมว่าฉวยโอกาสกับอาชีพนี้เหมือนกับผมล่ะ?”
พูดจบ คนเหล่านั้นล้วนอึ้งชะงักไปหนึ่งที
“ถ้าหากพวกคุณยินยอมเปลี่ยนอาชีพ ผมสามารถให้พวกคุณติดตามผม ค่าตอบแทนจะไม่ได้แย่กว่าพวกคุณในตอนนี้” สวีลั่งพูดอย่างเย็นชา
ได้ยินคำพูดนี้ ชายโพกหัวมีความลังเลเล็กน้อย “นี่……”
สิ่งที่เขาลังเลก็เป็นเพียงกลัวว่าจะล่วงเกินตระกูลไป๋เท่านั้น ถึงเวลานั้นแม้ว่าถอยออกไปแล้ว สภาพก็เป็นเช่นเดิม
สวีลั่งย่อมดูออกแล้วอยู่ดี ก็เลยยิ้มอยู่พูดว่า “พวกคุณวางใจเถอะ เถ้าแก่ของพวกเราไม่เคยเอาไอ้แก่เหล่านั้นของตระกูลไป๋ไว้ในสายตาตั้งแต่ไหนแต่ไร ”
“คุณกำเริบเสิบสาน” พอได้ยินคำนี้ทันใดนั้นท่านเฟยก็โมโหขึ้นมาแล้ว เอ่ยปากชี้หน้าด่าสวีลั่งว่า “ผมตระกูลไป๋จะเป็นเช่นไรไม่ใช่คนนอกเหล่านี้อย่างคุณจะสามารถเข้าใจได้ล่ะ? ผมว่าคุณก็แค่อยากจะถูไถพวกเขา เหล่าหลิว คุณอย่าถูกพวกเขาหลอกแล้วล่ะ!”
“ผมรับรองได้ เพียงแค่พวกคุณฆ่าพวกเขาไป ก็รับรองว่าพวกคุณจะไม่เป็นอะไร!”
แต่ผลสุดท้ายคือ ชายโพกหัวกับคนที่เหลือทั้งหมดล้วนเอาอาวุธเล็งตรงที่ท่านเฟย
……
บนชั้นสูงสุดของตึกสูงบางแห่ง
ท่านทวดตระกูลไป๋จ้องมองซินชิวที่อยู่ต่อหน้าหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งพูดว่า “นี่ท่านหลอกผมอยู่หรือ?”
ซินชิวเยือกเย็นไม่พูด
ท่านทวดเห็นแบบนี้หัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง “อาชิว เห็นลักษณะท่าทีของท่านเกรงว่าแค่ภายนอกสงบในใจว้าวุ่นมานานแล้วล่ะ?”
“แม้ผมไม่รู้ว่าทำไมท่านจึงคุ้มครองไป๋ยี่เฟยไอ้หนุ่มนั่น แต่นี่ล้วนไม่เป็นไร ผมสามารถบอกกับท่าน นิสัยของมนุษย์เปลี่ยนไปได้จริงๆ แต่เขาหนีไม่พ้นธาตุแท้ของเขา”
“ดังนั้นท่านก็ไม่ต้องแกล้งทำอีกเลย”
แต่ว่าซินชิวก็ยังไม่ได้พูด
ท่านทวดจ้องมองเขาส่ายหัวถอนหายใจ “ผ่านไปหลายนาทีแล้ว คิดว่าฝั่งโน้นน่าจะลงมือสำเร็จแล้ว ในเมื่อท่านจะไม่ลงมือกับผม งั้นผมก็ลาก่อนแล้ว”
พูดจบเขาก็หมุนตัวจะไป
กลับอยู่ในเวลานี้ มีเงาคนคนหนึ่งลอยพุ่งจากตึกสูงที่อยู่ไกลๆมายังฝั่งนี้อย่างกะทันหัน
หลังจากท่านทวดได้เห็นในใจตื่นตกใจอย่างมาก ออกฝ่ามือตบไปยังคนนั้นทันที
“ปั้ง!”