ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของหน้ากากผี หรือเป็นคำพูดของพานปู้ถิง มันทำให้หัวใจของไป๋ยี่เฟยเจ็บปวดรวดร้าวมาก
เขาไม่ยอม!
เขาไม่อยากให้หลิวเสี่ยวอิงแต่งงานกับพานปู้ถิง!
ไม่อยากเลยสักนิด!
เขายิ่งไม่อยากรอให้ถึงจุดจบแบบนั้น!
ไป๋ยี่เฟยกัดฟันกรอด รีบลืมตาขึ้น เขามองไปที่หน้ากากผีอย่างเย็นชา“คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลิวเสี่ยวอิงต้องเสียสละและทุ่มเทให้ผมไปมากเท่าไร!”
“เพราะฉะนั้น เธอมีความสำคัญต่อหัวใจของผม คุณไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำ!”
“ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ผมก็ไม่มีทางให้เธอแต่งงานกับพานปู้ถิง!”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ก้มหน้าลง ใช้ปากคาบมีดสั้นไว้
พอเห็นฉากนี้ หน้ากากผีรู้ได้ในทันทีว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
วินาทีต่อมา เขามองเห็นไป๋ยี่เฟยคาบมีดสั้นกรีดไปที่แขนของตัวเอง
โซ่เหล็กที่พันธนาการเขาไว้เป็นโซ่เหล็กทั้งเส้น ขอเพียงแค่แขนข้างหนึ่งของเขาหลุดพ้นได้ เขาก็จะสามารถหลุดจากโซ่เหล็กนี้ได้
แต่เห็นได้ชัด ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายโซ่ด้วยมีดสั้น
ดังนั้น เขาจะต้องค่อยๆเฉือนกรีดแขนของตัวเองทีละนิด แบบนี้เขาก็สามารถหลุดพ้นจากโซ่เหล็กได้แล้ว
การกระทำของไป๋ยี่เฟยทำให้หน้ากากผีตกใจมาก
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าไป๋ยี่เฟยจะตัดสินใจทำแบบนี้ และเขาก็มีความแน่วแน่มาก
“นี่ นายเอาจริงเหรอ!”
พอเห็นไป๋ยี่เฟยใช้มีดสั้นที่คาบอยู่ในปากจะกรีดลงไปที่แขนของเขา หน้ากากผีจึงรีบก้าวไปข้างหน้าทันที เอื้อมมือออกไปคว้าด้ามมีดสั้นไว้ แล้วดึงมีดสั้นออกมา สุดท้ายโยนทิ้งไปบนพื้น
“แคร้ง!”
มีดสั้นตกลงไปบนพื้น
หน้ากากผีจึงมองไปที่เขา แล้วตะโกนเสียงดัง“นายโง่รึเปล่า?จะตัดแขนของตัวเองเพื่อผู้หญิงคนเดียวเนี่ยนะ?”
สายตาของไป๋ยี่เฟยจ้องมองไปที่หน้ากากผีด้วยความเย็นชา แล้วพูดว่า“คนอย่างคุณจะไปรู้อะไร”
“คนอย่างฉัน?”หน้ากากผีตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา“นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?ถึงมาเรียกว่าคนอย่างฉัน?”
ไป๋ยี่เฟยถลึงตามองไปที่เขาโดยไม่พูดอะไร
แต่หน้ากากผีก็หัวเราะอยู่ข้างๆ อีกด้านก็ค่อยๆถอดหน้ากากของเขาออกมา
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยมองเห็นใบหน้าที่อยู่หลังหน้ากาก มันทำให้เขาตกตะลึงในทันที
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า คือผู้หญิงอายุสามสิบกว่า ไป๋ยี่เฟยเคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ไม่กี่ครั้ง และตัวเองได้รับการช่วยเหลือจากเธอหลายครั้ง
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือหลิวจู๋ผู้ซึ่งเป็นน้ารองของหลิวเสี่ยวอิง
หลิวจู๋หัวเราะแล้วมองไปที่ไป๋ยี่เฟยพลางพูดขึ้นมาว่า“ไม่เลว นายผ่านบททดสอบของฉันแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยมึนงง
ต่อมาหลิวจู๋ก็ปลดโซ่เหล็กออก ไป๋ยี่เฟยนั่งอยู่บนเตียงมองไปที่หลิวจู๋อย่างเหม่อลอย
หลิวจู๋ที่เห็นเขาเป็นแบบนั้น จึงตบไหล่ของเขาอย่างอดไม่ได้“นายวางใจเถอะ ฉันสามารถค่อยๆปรับสมดุลย์ร่างกายของเธอให้ฟื้นฟู เพื่อที่เธอจะได้กลับมามีสิทธิ์เป็นแม่คนอีกครั้ง”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินแล้วก็เกิดหวั่นไหว จริงด้วย หลิวจู๋มีทักษะทางการแพทย์ดีมาก ตอนนั้นหลี่เสว่ไม่สามารถมีลูกได้ และเป็นเธอที่เป็นคนดูแลเรื่องนี้
เวลานี้เอง หลิวจู๋ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า“พี่ชายและพี่สาวของฉันพวกเขาอยู่ต่างประเทศตลอด แต่พวกเขายังคงมีแนวคิดหัวโบราณ และไม่สามารถยอมรับความคิดแบบนี้ในระยะเวลาอันสั้น”
ไป๋ยี่เฟยอยากพูดว่า:เรื่องนี้ดูไม่เกี่ยวอะไรกับแนวคิดหัวโบราณเลย ไม่ว่าความคิดจะล้ำยุคขนาดไหน กลัวว่าจะไม่สามารถยอมรับเรื่องแบบนี้ได้
แต่ทว่า ในใจของไป๋ยี่เฟยไม่สามารถยอมให้หลิวเสี่ยวอิงแต่งงานกับพานปู้ถิงได้
ไป๋ยี่เฟยครุ่นคิด แล้วถามออกไปว่า“งั้นน้ารอง……”
หลิวจู๋หัวเราะแล้วพูดว่า“ฉันก็หัวโบราณเหมือนกันย่ะ”
พอได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของไป๋ยี่เฟยถึงกลับเปลี่ยนไป
แต่วินาทีต่อไป หลิวจู๋ก็หัวเราะแล้วพูดว่า“หัวโบราณแต่ไม่ได้แปลว่าฉันจะสับสน”
“เนื่องจากเสี่ยวอิงเป็นคนรุ่นหลังในครอบครัว ในฐานะที่เป็นอาวุโส ฉันหวังว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ไม่ใช่การรักษาความอนุรักษนิยมนั่น”
“นายน่ะ ผ่านการทดสอบของฉันเมื่อกี้ ถือว่าไม่เลวเลย”
เมื่อกี้ไป๋ยี่เฟยไม่ลังเลแม่แต่น้อยที่จะตัดแขนของตัวเองทิ้ง เพื่อไปหยุดยั้งไม่ให้หลิวเสี่ยวอิงแต่งงานกับพานปู้ถิง ลำพังแค่ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นจุดนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้
หลิวจู๋รู้สึกชื่นชมมาก เธอปลอบใจไป๋ยี่เฟยว่า“ถึงสถานการณ์จะค่อนข้างคาดไม่ถึง แต่ในใจของเสี่ยวอิงยังมีนายอยู่นะ”
แต่แล้วเมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าเขากลับเศร้ามากยิ่งขึ้น“ผมไปหาเธอมาแล้ว เธอบอกว่า……มันผ่านไปแล้ว”
หลิวจู๋ที่เห็นอย่างนั้นจึงส่ายหัวไปมาเบาๆ หลังจากนั้นก็อธิบายให้กับไป๋ยี่เฟยว่า“นายต้องเข้าใจพ่อแม่ของเสี่ยวอิงนะ”
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลิวจู๋
หลิวจู๋จึงพูดต่อไปว่า“ในตอนนั้นพานปู้ถิงสืบได้ว่านายมีภรรยาและลูกแล้ว จึงรีบไปบอกพี่ชายและพี่สะใภ้ของฉันทันที”
“หลังจากที่พวกพี่ชายและพี่สะใภ้รู้เรื่องก็โกรธทันที แต่พวกเขายังต้องร่วมงานกับเฟยเสว่หรุ๊ป จึงไม่สามารถแตกคอกันได้ ดังนั้นพวกเขาจึงโทรหาเสี่ยวอิง บอกว่าพ่อของเธอป่วยกะทันหัน หลอกให้เสี่ยวอิงกลับไป”
“หลังจากที่เสี่ยวอิงกลับไป พี่สะใภ้ใช้ชีวิตของเธอบีบบังคับเสี่ยวอิง ให้เธอแต่งงานกับพานปู้ถิง นายก็รู้ว่า เสี่ยวอิงเธอเป็นคนกตัญญูมาก ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถปฏิเสธได้”
หลังจากที่ฟังจบแล้ว ไป๋ยี่เฟยดูเหมือนจะรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ตราบใดที่เสี่ยวอิงไม่ได้ตั้งใจจะจบกับเขาจริงๆ ก็ยังมีที่ว่างสำหรับสิ่งเหล่านี้
แต่ว่า……
“ตอนนี้ผมควรจะทำยังไง?”ไป๋ยี่เฟยถาม
หลิวจู๋หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า“นี่มันเรื่องง่ายนิดเดียวไม่ใช่เหรอ?แน่นอนว่าต้องใช้ความจริงจังของนายทำให้พวกเขาประทับใจ”
ไป๋ยี่เฟย“?”
……
ณ ภายในห้องชุดเพรสซิเดนเชียล สวีทของโรงแรมเทียนเป่ย
หลิวเสี่ยวอิงก้มหน้าก้มตานั่งอยู่บนโซฟา ฟังหลิวโก๋จงตำหนิโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ทำไมตระกูลหลิวถึงมีลูกสาวแบบนี้นะ?ถึงได้ทำแต่เรื่องน่าขายหน้าแบบนี้!”
อู๋หยุนนั่งอยู่ข้างๆหลิวเสี่ยวอิง มองดูหลิวเสี่ยวอิงแล้วพูดปกป้องเธอว่า“จนถึงป่านแล้ว คุณอย่าพูดอีกเลย เสี่ยวอิงสำนึกผิดแล้ว อีกสองวันก็จะแต่งงานกับพานปู้ถิงแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
หลิวโก๋จงที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วจึงทำเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วหันหน้าออกไป ถ้าไม่เห็นก็ไม่นึกถึง
มือข้างหนึ่งของอู๋หยุนจับมือของหลิวเสี่ยวอิงไว้ อีกข้างวางไว้บนไหล่ของหลิวเสี่ยวอิง แล้วพูดเกลี้ยกล่อมว่า“เสี่ยวอิง เหตุการณ์ในวันนี้ลูกก็ได้เห็นแล้ว ปู้ถิงเอาการ์ดแต่งงานไปให้อย่างหวังดี แต่กลับถูกไป๋ยี่เฟยทำร้าย”
“ลูกว่าการกระทำของเขาแคร์ลูกจริงๆเหรอ?เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นแก่ตัว ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของลูกด้วยซ้ำ ถ้าลูกคบกับเขาไป จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร?”
“ลูกดูปู้ถิงสิ ถึงแม้ตำแหน่งของเขา ฐานะ กังฟู กระทั่งภูมิหลังทางครอบครัว ไม่สามารถเทียบกับไป๋ยี่เฟยได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่มีภรรยาและลูกไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดนี้พูดไม่ผิดเลย แต่กลับทำให้สีหน้าของพานปู้ถิงถึงกับเงียบขรึมไป
หลังจากที่อู๋หยุนพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด จึงรีบพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า“ทุกเรื่องต้องคำนึงถึงความเหมาะสม ครอบครัวของเรากับปู้ถิงเหมาะสมกันพอดี”
“ลูกว่าถูกไหม?”
“อีกอย่างนะ พ่อกับแม่ไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผลแบบนั้น ถ้าไป๋ยี่เฟยยอมหย่า มันก็ไม่มีอะไร แต่เขาไม่ยอม อีกทั้งเขายังรักภรรยาของเขามาก จุดนี้ลูกน่าจะเข้าใจมากกว่าพวกเราถึงจะถูกสิ”
ในตอนนี้หลิวเสี่ยวอิงรู้สึกเสียใจมาก เธอเอาแต่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน
ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองไม่มีความหวังใดๆแล้ว แต่เพราะว่าอุบัติเหตุ ทำให้เธอกับไป๋ยี่เฟยมีความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามา
แต่พวกเขากำลังอยู่ในวังวนความทุกข์ทรมาน มันจึงทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวัง
แต่หลี่เสว่ยื่นมือให้กับเธอ ให้ความหวังเธอ ทำให้เธอพบกับแสงสว่าง
ในเวลานี้เอง เธอคิดว่าสามารถรับความหวังใหม่การเริ่มต้นใหม่ของตัวเองได้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในที่สุดก็ต้องแพ้ให้กับโลกแห่งความเป็นจริง
แต่ในเวลานี้เอง พานปู้ถิงทำเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จึงรีบคุกเข่ากับพื้น พูดสัญญากับหลิวเสี่ยวอิงอย่างจริงจัง“เสี่ยวอิง คุณวางใจเถอะ จากนี้ไปผมจะดูแลคุณอย่างดี!”
หลิวเสี่ยวอิงกะพริบตาปริบๆ เธอรู้สึกเหนื่อยมาก ไม่อยากดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว
“หนูขอกลับห้องพักผ่อนก่อนนะ”หลังจากที่หลิวเสี่ยวอิงพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนจะเดินกลับเข้าห้อง
แต่แล้วพานปู้ถิงที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น จึงทำพานปู้ถิงรู้สึกอับอายมาก
หลิวโก๋จงจึงตะคอกขึ้นมาว่า“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
หลิวเสี่ยวอิงหยุดยืนนิ่ง