“ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว นายสามารถฆ่าต๋านีตายอย่าสบายๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังของนายอยู่เหนือเขา”
“ยังมีอีกจุดหนึ่ง ตอนนั้นฉันโทรศัพท์หาหยุนอิงบอกเธอว่า ตอนที่ต๋านีอยู่ข้างกายของจีซือนั้น ตอนเธอแปลกใจมาก แต่ว่าเธอกลับบอกฉันทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
“ที่จริงแล้วเธอรู้มานานแล้วถึงการดำรงอยู่ของต๋านี นี่ก็คือเหตุผลที่เธอให้นายมาปกป้องฉัน”
เหลียนยินมองเขาเอ่ยอย่างเรียบง่ายว่า “มีปัญหาอะไรหรือ? ถึงแม้ว่าฉันจะรู้แผนการทั้งหมดในครั้งนี้ล่วงหน้าแล้ว นั่นยังจะมีปัญหาอะไรอีกเล่า?”
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ส่งเหอะออกมาเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “อย่าแสร้งโง่กับฉันเลย วิธีการทั้งหมดที่นายและหยุนอิงพบหน้ากันทั้งหมด ฉันล้วนเห็นหมดแล้ว”
“จากการมองวิธีการทั้งหมดนั้นไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ แต่ว่าตอนพวกนายประมือกันนั้นมีช่วงเวลาหนึ่งที่หลบเลี่ยงวงจรปิด”
“ฉันว่านะ นายน่าจะพูดอะไรบางอย่างในช่วงเวลานั้น หลังจากนั้นก็บรรลุข้อตกลงกัน”
“ผลลัพธ์สุดท้าย ก็คือให้ฉันมาแบกรับความผิด เป็นแพะรับบาปหรือ?” ไป๋ยี่เฟยเอ่ยมาถึงตรงนี้ แววตาก็เยียบเย็นมากขึ้น
แต่หลังจากเหลียนยินฟังไป๋ยี่เฟยเอ่ยประโยคสุดท้ายจนจบสีหน้าที่ไม่ใส่ใจในที่สุดก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว
เขามองไปที่ไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาตกตะลึง
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ กลับยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง
แต่ว่าไม่นาน เหลียนยินเขาก็กลับมามีท่าทางสงบเช่นเดิม ถึงขั้นยังยิ้มให้กับไป๋ยี่เฟย เอ่ยว่า “พี่ไป๋คิดมากไปแล้วจริงๆ ทำไมถึงเกี่ยวโยงไปถึงแพะรับบาป?”
“อีกสองชั่วโมงก็จะถึงหนานเหมินแล้ว ถึงตอนนั้นคุณชายใหญ่ของสหพันธ์วรยุทธหนานเหมินถูกฆ่าตาย เรื่องนี้ปิดไว้ไม่อยู่แน่นอน” ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเสียงเย็นเอ่ย “ก็จะต้องมีฆาตกรคนหนึ่งสินะ?”
“ตอนอยู่ที่หลันเต่าฉันก็ฆ่าจีเอร์ไปแล้ว และคนของหนานเหมินไม่น้อย ฆ่าคุณชายใหญ่อีกสักคนก็ดูเหมือนสมเหตุสมผลมากพอ”
“ดังนั้น ฉันจึงเป็นแพะรับบาปตัวนั้น”
“แต่ถ้าเป็นเพียงจุดที่เรียบง่ายเช่นนี้ จีไซอาจจะไม่เชื่อ ดังนั้นนายก็เริ่มลงมือเดินหมากลับที่บ้านเก่าตระกูลไป๋ จงใจให้พวกเขาบังคับให้ฉันตกลงเรื่องงานแต่งงานกับตระกูลฉุง”
“ก็เพื่อให้เพียงพอกับเหตุผลที่จะฆ่าจีซือได้แล้ว”
“ความแค้นที่ภรรยาถูกแย่งชิงไป!”
“เกรงว่าเป็นคนสักคนก็ต้องเชื่อเหตุผลนี้ ส่วนจีไซในตอนนั้นเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากมายด้วยซ้ำ แน่นอนว่าก็ต้องเชื่อ”
“เฮอะ! ฉันดูถูกหยุนอิงมากเกินไปจริงๆ แม้กระทั่งในสี่ตระกูลใหญ่เธอยังถึงกับมีหมากลับอยู่ ยอดเยี่ยมเสียจริง!”
เริ่มตั้งแต่ที่หยุนอิงมาหาเขา ก็แสดงความปรารถนาต่อสิทธิ์ในการสืบทอดต่อหน้าเขามาโดยตลอด และมักจะทำให้ไป๋ยี่เฟยคิดว่าเธอเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เพื่อไม่ให้จีไซและจีซือเกิดความสงสัย ข้างกายแม้แต่คนใกล้ชิดสักคนยังไม่มี อีกทั้งยังมีความอดทนอย่างมากคนหนึ่ง
ผ่านไปเนิ่นนาน จิตใจที่ระแวดระวังของไป๋ยี่เฟยที่มีต่อเธอก็ลดน้อยลงเป็นธรรมดา
แต่ว่าตอนนี้พอมานึกดู ถึงได้รู้ว่าหยุนอิงน่ากลัวมากแค่ไหน
ตอนนี้ดูแล้ว สำนักเฟยซิงจะต้องเป็นสำนักใต้บัญชาของหยุนอิงแล้วเป็นแน่
อีกทั้ง ในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง ยังมีหมากลับที่เธอวางเอาไว้
สิ่งเหล่านี้เมื่อคิดให้ละเอียด ก็ทำให้คนหลั่งเหงื่อเย็นได้
อย่างเช่นนายท่านใหญ่ของตระกูลไป๋ ท่าทีของเขามุ่งมั่นอย่างมากที่จะให้ไป๋ยี่เฟยสู่ขอฉุงลี่ซือ ถึงขั้นเพื่อเรื่องนี้ไม่เสียดายที่จะฆ่าหลี่เสว่
คิดๆดูอย่างละเอียด พวกเขาก็แค่เล่นละครเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถไปฆ่าหลี่เสว่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าไป๋ยี่เฟยจะต้องไปช่วย ถึงแม้จะไม่มีไป๋ยี่เฟย พวกเขาก็ฆ่าไม่ได้
อย่างไรเสีย จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขากลับไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่คือต้องการรอให้จีซือมาสู่ขอฉุงลี่ซือ
และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ นายท่านใหญ่ตระกูลไป๋ถึงกับไม่แยแสชีวิตของผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลไป๋ ดื้อดึงเล่นละครนี้จนให้สมบูรณ์แล้ว มองไม่เห็นข้อบกพร่องสักนิด
จนมาถึงตอนนี้ ในที่สุดพวกเขาก็มีเหตุผลที่สมบูรณ์แบบมาฆ่าจีซือแล้ว
อีกทั้งในท้ายที่สุด ทุกคนต่างก็จะคิดว่าฆาตกรคือไป๋ยี่เฟย
และเรื่องทั้งหมด ไม่มีใครคิดไปถึงว่าคือหยุนอิง
ถึงท้ายที่สุด หยุนอิงในฐานะลูกชายคนเดียวของจีไซ เธอก็จะสืบทอดสหพันธ์วรยุทธอย่างถูกจังหวะเป็นขั้นตอน
……
ฉุงลี่ซือได้สติอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เนื่องด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่กล้าส่งเสียงออกมาเท่านั้น
เธอฟังคำอธิบายทั้งหมดของไป๋ยี่เฟยจนจบ ตัวเธอก็ตกตะลึงแล้ว
ที่เธอตกตะลึงนั้นไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเพราะคนที่อุ้มเธออยู่ตอนนี้
เขาคือไป๋ยี่เฟยหรือ?
เขาคือไป๋ยี่เฟยจริงๆหรือ?
ส่วนเหลียนยินในตอนนี้ก็ไม่มีสีหน้าท่าทางใดอีกแล้ว เขาจับจ้องไป๋ยี่เฟยมองอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งเอ่ยว่า “ที่คุณชายรองพูดนั้นไม่ผิด นายเป็นคนที่รับมือยากจริงๆ”
“แต่ว่านายเดาได้แล้วจะอย่างไร? ตอนนี้นั้นอยู่ในทะเลกว้างใหญ่ นายอยากหนี แล้วจะหนีไปที่ไหนได้ล่ะ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นนายกล้าโดดหนีหรือ? นายอย่าได้ลืมไป ภรรยาและลูกชายของนายตอนนี้อยู่ในกำมือของคุณชายรอง”
เหลียนยินยิ้มอีกแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นนายก็อยู่บนเรืออย่างเชื่อฟังจะดีกว่า รอจนฉันพานายไปส่งถึงสหพันธ์ใหญ่ ถึงตอนนั้นนายอยากจะหนีอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋ยี่เฟยโกรธแค้นมาก ทุกข์ใจมาก แต่ก็ไร้ซึ่งหนทาง
ภรรยาและลูกชายของเขายังอยู่กำมือของหยุนอิง เขาให้ความสำคัญกับภรรยา ลูกชายของตนเองขนาดนั้น จะทอดทิ้งพวกเขาโดยไม่สนใจได้อย่างไร?
เหลียนยินเห็นสีหน้าท่าทางนี้ของเขา ก็มั่นใจกับเรื่องนี้มากขึ้น
เพียงแต่ว่าไป๋ยี่เฟยพลันหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง ทำให้เหลียนยินไม่ค่อยเข้าใจขึ้นมา
ต่อจากนั้นเขาก็เห็นไป๋ยี่เฟยหยิบไฟแช็กของเขาออกมาทันที เอ่ยกับเหลียนยินว่า “ในเมื่อหนีไม่พ้น งั้นก็ตายด้วยกันเถอะ!”
เหลียนยินขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่รอให้เขาได้พูดอะไร ก็เห็นไป๋ยี่เฟยโยนไฟแช็กในมือที่จุดแล้วเข้าไปในหน้าต่างบานหนึ่ง หน้าต่างนั้นเชื่องกับคลังสินค้าที่อยู่ชั้นใต้ดิน
เวลาผ่านไปประมาณสี่ห้าวินาที ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น
“ปัง!”
เหลียนยินรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติอย่างรวดเร็ว เขาตอบสนองกลับมาทันที จากนั้นก็คำรามว่า “ไป๋ยี่เฟย! นายทำอะไรลงไป?”
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เอ่ยถามฉุงลี่ซือที่สั่นเทาอยู่บนไหล่เขาว่า “สาวน้อย กลัวไหม?”
ฉุงลี่ซือตกใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้เธอมองเห็นควันดำและเปลวไฟสายหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากห้องโดยสารเรือ เดิมทีควรจะหวาดกลัว แต่ในเวลานี้อะไรก็ไม่กลัวแล้ว
“ฉันไม่กลัว”
ตอนที่พูดประโยคนี้ มือของเธอจับเสื้อผ้าของไป๋ยี่เฟยไว้แน่น
ในเวลาเดียวกันนี้ คนบนเรือพบว่าไฟไหม้แล้ว ดังนั้นจึงตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง คนหนึ่งตะโกนครั้งหนึ่ง
“ไฟไหม้แล้ว รับดับไฟ รีบดับไฟ!”
“รีบมาเร็วเข้า ไฟไหม้แล้ว!”
“ใครก็ได้….”
สีหน้าเรียบเฉยของเหลียนยินเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขึ้นมา “บ้าเอ๊ย ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้!”
แต่ทว่าไป๋ยี่เฟยกลับโบกมือให้เขาเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้นายลงมือแล้ว ฉันลงมือเอง”
หลังจากเอ่ยจบไป๋ยี่เฟยก็อุ้มฉุงลี่ซือ หมุนตัวครั้งหนึ่งก็กระโดดลงทะเลไปทันที
“ตูม!”
เงาร่างของไป๋ยี่เฟยและฉุงลี่ซือถูกคลื่นทะเลปกคลุมทันที
และตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง ไม่มีแสงไฟใดๆ ทั้งยังเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ ถึงแม้กำลังของเหลียนยินจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่กล้ากระโดดตามลงไป
เขามองทะเลที่กว้างใหญ่ ทุบราวบันไดบนดาดฟ้าด้วยความโกรธ ราวบันไดก็งอทันที “บ้าเอ๊ย!”
ต่อจากนั้น เหลียนยินรีบโทรศัพท์ไปหาหยุนอิงทันที
เสียงของหยุนอิงในโทรศัพท์ตื่นเต้นอย่างมาก “เรื่องสำเร็จแล้ว?”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” เหลียนยินเอาเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เล่าให้หยุนอิงฟังรอบหนึ่ง หลังจากเล่าจบยังคงด่าอย่างโกรธแค้นอีกประโยค “ฉันกลับไม่ได้สังเกตเลย เขาวางน้ำมันไว้ในโกดัง!”
หลังจากหยุนอิงฟังจบ เดินทีเธอนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ลุกนั่งขึ้นมาแล้ว สีหน้าตื่นเต้นก็ไม่มีแล้ว “ได้ ฉันรู้แล้ว”
“พอถูไถไปได้อยู่ อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่”
หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วเธอก็ยกผ้าห่มออก ทางหนึ่งสวมรองเท้าทางหนึ่งเอ่ยว่า “ในเมื่อตัวนายเองก็กระโดดทะเลไปแล้ว เช่นนั้นต่อมาฉันก็จะส่งภรรยาและลูกชายของนายไป”
หยุนอิงอาศัยอยู่ที่ชั้นสองของหลี่เสว่ พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่ชั้นสาม
หลังจากหยุนอิงเดินออกมา ก็เดินไปที่ชั้นสามอย่างสบายๆ
ชั้นสามมีระเบียงเล็กๆ ก่อนที่หยุนอิงจะเดินไปถึงประตูห้องของหลี่เสว่นั้น จำเป็นต้องผ่านระเบียงเล็กนี้
เดิมทีเธอไม่ได้สนใจสักนิด แต่ว่าตอนที่เธอเดินผ่านในใจกลับบีบรัดครั้งหนึ่ง ราวกับว่ามีความรู้สึกที่ถูกจับจ้องอยู่