บทที่ 153 ถูกขวางทาง
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ก็ได้เดินออกจากร้านชาหยูนยู่น โดยหลินอิ่งยังคงสีหน้าเรียบเฉย แต่กงซุนชิวอวี่กลับออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอพูดไปยิ้มไป ราวกับเพิ่งได้รับข่าวที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
ภาพนี้ ทำให้บรรดาบอดี้การ์ดกับโจยู่ถานที่ยืนอยู่หน้าประตูถึงกับอึ้งตาข้างไปตามๆ กัน
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?
ตั้งแต่ลงจากเครื่องมา คุณหนูกงซุนก็เอาแต่ทำหน้าเย็นชา ทำตัวห่างเหิน แต่ทำไมตอนนี้เธอกลับมาทำหน้ากระตือรือร้นต่อหน้าเศษคนแบบนี้ด้วย?
มันมีคุณสมบัติอะไร? มันมีเสน่ห์ตรงไหน?
“คุณหนูกงซุนคะ คุณอยากไปเที่ยวไหนมั้ยคะ? ฉันรู้จักสถานที่ขึ้นชื่อของเมืองตุงไห่อยู่หลายที่เลย เดี๋ยวฉันพาคุณไป ไปเป็นไกด์ให้คุณนะคะ” โจยู่ถานพูดประจบประแจง
ไม่ต้องหรอก พวกเธอกลับไปได้แล้ว” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาด้วยความรำคาญ
“ห๋า คุณหนูกงซุนคะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ คุณท่านได้กำชับพวกเรามาแล้ว ว่าให้เราดูแลคุณอย่างเต็มที่ แถมคืนนี้เรายังได้จองอาหารชั้นเลิศที่โรงแรมชิงหยูนไว้แล้วนะคะ คุณควรให้เกียรติเราสักนิดนะคะ” โจยู่ถานพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เหลือบมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
“ที่สำคัญนะคะ คุณหนูควรรู้ไว้ว่า เมืองชิงหยูนที่ทั้งเล็กทั้งเน่าแห่งนี้ มีแต่พวกใจทราม คุณตัวระวังให้มากๆ นะคะ อย่าไปถูกพวกคนที่มีอะไรแอบแฝงหลอกเอาได้นะคะ” คำพูดของโจยู่ถานนั้นจงใจสื่อไปถึงคนๆหนึ่ง “ยกตัวอย่างเช่นหลินอิ่งคนนี้ เขามีชื่อเสียงที่ไม่ดีเอาซะเลย ไม่เพียงแค่เป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนของตระกูลจางแล้ว ได้ข่าวว่าเขายังชอบข้องเกี่ยวกับผู้หญิงไปทั่ว ชอบเขาหาผู้หญิงที่มีฐานนะ แล้วไปเกาะเขากิน คุณต้องระวังให้มากๆ เลยนะคะ”
พอกงซุนชิวอวี่ได้ยินอย่างนั้น เธอก็รู้สึกโกรธมาก เธอมองไปที่หลินอิ่งทีหนึ่งหลินอิ่งยังคงทำหน้าเรียบเฉย ตอนนี้เธอไม่มั่นใจแล้ว ไม่รู้ว่าพี่ชายจะโมโหจนระเบิดออกมารึเปล่า
“หุบปากเดี๋ยวนี้! ถ้ายังไม่หยุดฉันจะตบปากเธอ!” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยความโมโห พร้อมกับชูมือขึ้น
ต่อให้วันนี้เธอจะไม่ได้มาขอให้หลินอิ่งไปช่วยรักษาให้คุณปู่ของเธอก็ตาม แค่ฐานะของหลินอิ่ง มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเธอเลยนะ จะปล่อยให้ถูกคนที่ไม่เอาไหนแบบนี้มาด่าอย่างตามใจชอบได้ไง?
“ห๊ะ? คุณหนูคะ คุณอย่าเพิ่งโกรธนะคะ ฉันจะไม่พูดแล้วค่ะ” โจยู่ถานรีบหลบไป เธอกลัวแทบตาย กลับตัวเองจะถูกตบปาก
“ไสหัวไป อย่ามากวนฉันอีก” กงซุนชิวอวี่นั้นรู้สึกสุดทนกับคนอย่างโจยู่ถานแล้ว หลังสั่งสอนเสร็จ เธอก็ขึ้นไปนั่งบนรถไม่บัคของตัวเอง คนขับที่เป็นหญิงวัยกลางคนก็ได้สตาร์ทรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลินอิ่งเองก็เข้าไปนั่งตรงที่นั่งหลังคนขับเหมือนกัน บลื้น คนขับเหยียบคันเร่ง รถคันนั้นก็ถูกขับออกไปยังถนนที่แสนคึกคัก
“ไอ้คนไร้ค่านั่น! มันมีสิทธิ์อะไรถึงได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูกงซุนขนาดนั้น? หน้าด้าน” โจยู่ถานโกรธจนต้องกระทืบเท้า
“เศษเดนอย่างมัน ช่างหน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน แม้แต่คุณหนูกงซุนยังกล้าไปเกาะแกะด้วย สักวันฉันจะเอามันให้ตาย” โจตงที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยสีหน้าที่ทั้งหึงทั้งอิจฉา เขาอยากให้คนที่ได้นั่งอยู่ในรถคันนั้นเป็นตัวเองมากๆ
ตั้งแต่ที่โจตงไปรับคุณหนูกงซุนมาจากสนามบินนานาชาติแห่งเมืองชิงหยูน เขาก็เอาใจเธออย่างเต็มที่ ให้การต้อนรับอย่างดี แต่เธอก็ยังไม่เคยทำหน้าดีๆ ให้เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว มองยังไม่ยอมมองเลย เขายังคิดอยู่เลยว่าจะได้รับการยอมรับจากคุณหนูคนนี้หรือเปล่านะ
เขาคิดว่าตัวเองก็เป็นคนมีความสามารถที่หน้าตาดีคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ทำไมเธอถึงไม่สนใจเขาเลย? ส่วนคนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งกลับเข้าตาคุณหนูกงซุนซะอย่างนั้น ช่างไร้เหตุผลจริงๆ
“นี่ยู่ถาน เธอกับหวางหงหลิงสนิทกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” โจตงพูดด้วยแววตาที่เย็นชา “ได้ยินมาว่าหลินอิ่งกับหวางหงหลิงเป็นคู่นอนกันนี่ เธอเอาเรื่องนี้ไปบอกหวางหงหลิงสิ”
“ให้ไปบอกหวางหงหลิงเหรอ? แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรเหรอคะ? คิดว่าหวางหงหลิงจะกล้าไปวุ่นวายกับกงซุนชิวอวี่รึไงกัน?” โจยู่ถานถามออกมาด้วยความสงสัย
“นี่เธอไม่เข้าใจเลยรึไง? คุณหนูกงซุนคงไม่อยู่ในเมืองชิงหยูนไปตลอดหรอกจริงมั้ย?” โจตงพูดด้วยแววตาที่แฝงด้วยความนัย “ด้วยนิสัยที่ชอบอาละวาดอย่างหวางหงหลิงนะ เธอไม่ได้เป็นเหมือนคุณหนูเอาแต่ใจอย่างคนทั่วๆ ไปหรอกนะ เธอมีคนที่ร้ายกาจอยู่ใต้บัญชา ไม่แน่เธออาจจะกล้าก่อเรื่องขึ้นในเมืองชิงหยูนเลยก็ได้ อย่างน้อยก็คงพอทำให้หลินอิ่งสูญเสียที่พึ่งไปได้”
“พอหลินอิ่งไม่มีที่พึ่ง พอกงซุนชิวอวี่กลับตี้จิงไปแล้ว เราก็สามารถเล่นงานไอ้เศษเดนนั่นได้ตามใจชอบแล้วไม่ใช่เหรอ? ระบายความแค้นในวันนี้ออกมาให้หมดจริงมั้ย? เป็นแค่เศษเดน ยังกล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าเราอีก ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวบ้างเลย!” โจตงทำท่ามั่นใจในความฉลาดของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม
“จริงด้วย! ฉันจะโทรหาหวางหงหลิงเดี๋ยวนี้เลยค่ะ บอกเธอว่า ผู้ชายที่เธอชอบกำลังทำเรื่องอะไรอยู่” โจยู่ถานพูดด้วยความสนุกสนาน
พวกเขาสองคนคิดว่า คนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งกล้ามาดูถูกตระกูลโจแบบนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ จำเป็นต้องสั่งสอนให้หลาบจำสักครั้ง แถมยังทำให้พวกเขาขาดโอกาสที่จะเข้าหาคุณหนูกงซุนไปหมดเลย!
ระหว่างที่พูด โจยู่ถานก็รีบต่อสายออกไปทันที
อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งกำลังนั่งพักสายตาอยู่ตรงที่นั่งหลังคนขับ
“พี่คะ พี่นี่ช่างรู้จักเสพสุขจริงๆ เลยนะคะ? แถมยังซื้อเกาะเทียมไว้ด้วย ฉันอยากเห็นจริงๆ เลยค่ะ ว่าโครงสร้างของมันเป็นยังไงบ้าง” กงซุนชิวอวี่พูดไปยิ้มไป
เมื่อกี้พอได้ฟังพี่ชายบอกว่า เขาได้ซื้อเกาะเทียมเกาะหนึ่งที่แม่น้ำชิงหยูนไว้ด้วยตัวคนเดียว แล้วยังบอกให้เธอไปพักที่เกาะนั่นตามลำพังอีก มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก เป็นประสบการณ์การทัวร์ที่เยี่ยมมากๆ
“จริงสิ พี่คะ ได้ยินว่าพี่มีครอบครัวที่เมื่อชิงหยูนแล้วเหรอคะ? จริงรึเปล่าคะเนี่ย? เห็นเขาลือกันว่าพี่แต่งเข้าไปอยู่บ้านผู้หญิงด้วย สรุปนี่มันยังไงกันคะ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย ต่อมเผือกได้ถูกกระตุ้นขึ้นแล้ว
หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดว่า “เรื่องของฉัน เธอไม่ต้องถามให้มันมากนัก”
“ไม่ถามเรื่องของพี่แล้วก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามเรื่องของพี่สะใภ้แล้วกันนะคะ ได้ยินว่าพี่สะใภ้ของฉันจางฉีโม่เป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนเลยนี่ เมื่อไหร่พี่ถึงจะพาฉันไปหาเธอเหรอคะ?” กงซุนชิวอวี่ถามด้วยความสงสัย
เธอคิดว่า คนที่เหมาะสมจะยืนข้างพี่ชายนั้นต้องเป็นคนระดับนางฟ้าที่ลงมาจุติบนโลกแน่ๆ
“ต่อไปถ้ามีโอกาสเธอก็จะได้เห็นเองแหละ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา” หลินอิ่งตอบมาอย่สงเรียบเฉย
“ค่ะ” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า
“ทางที่ดีช่วงนี้เธอควรอยู่แต่ในเกาะไปก่อน อย่าตะลอนไปทั่ว รอฉันจัดการตารางเวลาเสร็จแล้วฉันก็จะไปหานายท่านกงซุนกับเธอทันที” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ตอนนี้เขาได้รู้จากปากกงซุนชิวอวี่แล้วว่า กงซุนฉงหลงนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านพักคนชราตี้จิง แต่เขาไปอยู่ที่บ้านเก่าในมณฑลเกาหยางแทน ส่วนเรื่องอาการป่วยของนายท่านก็ยังไม่ได้ถูกเผยแพร่สู่คนภายนอก มีเพียงแค่คนในตระกูลกงซุนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง
เดิมทีมณฑลเกาหยางนั้นก็เป็นรังเก่าของตระกูลกงซุนอยู่แล้ว เป็นกลุ่มเครือญาติขนาดใหญ่ที่คงอยู่มาเป็นร้อยปีตระกูลกงซุนที่อยู่ในมณฑลเกาหยางนั้นถือว่าไร้เทียมทานมากๆ มีอำนาจล้นฟ้า
แต่นายท่านกงซุนฉงหลงกลับถูกคนล้อบทำร้ายในมณฑลเกาหยางอย่างนั้นเหรอ? มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงรถที่ลากยาวดังขึ้น จู่ๆ ด้านหน้าก็มีรถสปอร์ตคันหนึ่งพุ่งมาขวางหน้าพวกเขาไว้ คนขับตกใจจนต้องเหยียบเบรกทันที
“เกิดอะไรขึ้น? นี่คุณขับรถประสาอะไรเนี่ย? มีใครเขาขับรถแบบนี้กันคิดจะชนกันรึไง?”
กงซุนชิวอวี่ลงจากรถไปด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด แล้วเริ่มตำหนิรถคันที่มาขวางทาง
ทำเอาตกใจหมดเลย คนที่ขับรถคันนี้นี่ช่างบ้าบิ่นเหลือเกิน
บูกัตติ เวย์รอนคันสีแดงจอดขวางอยู่กลางถนนอย่างดูสง่า ไอ้หกไอ้เจ็ดลงมาจากรถ เปิดประตู หวางหงหลิงที่มีเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงคลุมอยู่ มองมาที่กงซุนชิวอวี่ด้วยสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจ