บทที่ 211 นายมีฐานะอะไรมานั่งบนตำแหน่งนี้?
“เข้าไปก่อนเถอะ” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ
“ครับ!” ฉินฝู้กุ้ยกล่าว ภายในใจรู้สึกโล่งขึ้นมา
ไห่หยางกรุ๊ปกลายเป็นแบบนี้ ในฐานะผู้รับผิดชอบเขากลับไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ ภายในใจของเขารู้สึกหวาดผวาไม่น้อย
เช่นนั้น ฉินฝู้กุ้ยเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เสิ่นซานและหลินอิ่งเดินเข้าห้องประชุมคณะกรรมการผู้บริหารไปด้วยกัน
บนโต๊ะประชุมที่กว้างยาว หญิงชายวัยกลางคนสวมชุดสูทอย่างเป็นทางการนั่งอยู่ราวสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนดูมีสง่าราศี
สิบกว่าคนนี้ล้วนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไห่หยางกรุ๊ป แต่ละคนเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินเก้าหลักขึ้นไป ล้วนมีภูมิหลังในแวดวงธุรกิจของเมืองชิงหยูน
หลังจากที่เจียงฉีได้ขยายกิจการของไห่หยางกรุ๊ป ให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับทุกแขนงอาชีพ ตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป ในฐานะบริษัทใหญ่ชั้นนำที่ไม่เป็นสองรองใครแห่งเมืองตุงไห่ แน่นอนว่าจะต้องมียักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจจากทุกแขนงอาชีพร่วมลงทุนด้วย
เงินทุนที่หลินอิ่งลงทุนกับเจียงฉีนั้น มากพอที่จะครอบครองหุ้นส่วนของไห่หยางกรุ๊ปกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เขามีอำนาจควบคุมอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า หลังจากที่ลาตินกรุ๊ปเข้ามาตั้งรากฐานที่เมืองตุงไห่ ตำแหน่งบริษัทชั้นนำในแวดวงธุรกิจของไห่หยางกรุ๊ปก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้แต่ธุรกิจในแต่ละแขนงอาชีพล้วนพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
อีกทั้งในตอนนี้เจียงฉีก็ได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้บริหารจัดการงานอยู่ที่บริษัท ทั้งยังมีการบีบบังคับกดดันจากลาตินกรุ๊ป เป็นธรรมชาติที่เหล่าคณะกรรมการคิดจะเปลี่ยนพรรค ถึงแม้จะไม่มีสิทธิผู้ถือหุ้นอย่างเต็มที่ควบคุมบริษัท แต่ทว่าข้างหลังมีลาตินกรุ๊ปคอยสนับสนุน พวกเขาก็สามารถทำให้บริษัทแตกแยกล่มสลายได้เหมือนกัน
ถึงจะยังไง ธรรมชาติของนักธุรกิจเหล่านั้นก็คือแสวงหาผลกำไร
“ประธานฉิน เวลาของพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่มีไม่มาก ผมคิดว่า ถ้าหากคุณตัดสินใจไม่ได้ล่ะก็ ก็เอาเอกสารมอบให้กับประธานเจียงเถอะ” ชายวัยกลางคนนายหนึ่งมองฉินฝู้กุ้ย กล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ใช่ ประธานฉิน ทุกคนล้วนต้องกินข้าว เป็นไปไม่ได้ที่จะทนลำบากไปกับประธานเจียงหรอกใช่ไหม? ตอนนี้พวกเราเรียกร้องให้มีการเลือกประธานกรรมการบริหารคนใหม่ การเรียกร้องนี่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก อีกอย่างคณะกรรมการทั้งหมดล้วนเห็นด้วย ยกเว้นคุณเพียงคนเดียว”
“ใช่ ประธานฉิน คุณได้แนะนำกับประธานเจียงหรือเปล่า อย่าคัดค้านอีกเลย ประนีประนอมร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปถึงเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด หรือจะให้เพียงเพราะความดึงดันของเขาคนเดียว ทำให้ทุกคนต้องพลอยสิ้นเนื้อประดาตัวไปด้วยเหรอ?”
ทันทีที่ฉินฝู้กุ้ยเดินเข้ามา เหล่าคณะกรรมการผู้ถือหุ้นก็เริ่มพูดจาตำหนิติเตือนเสียงดังเซ็งแซ่ น้ำเสียงหนักแน่นเป็นอย่างมาก
“ทุกท่านอย่าพึ่งร้อนใจไป เรื่องราวเหล่านี้ค่อย ๆ พูดทีละเรื่อง…” ฉินฝู้กุ้ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ประธานฉิน มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น จริง ๆ แล้วมีเรื่องที่สำคัญเพียงเรื่องเดียว พวกเราได้เลือกตัวแทนออกมาแล้ว ลู่หยวนประะานลู่ เขาเหมาะสมพอที่จะรับตำแหน่งตัวแทนประธานกรรมการคนใหม่ อีกทั้งการเจรจาระหว่างประะานลู่และลาตินกรุ๊ปเป็นไปด้วยดี สามารถนำผลประโยชน์มาให้กับทุกคนได้” กรรมการที่สวมแว่นสายตายาวคนหนึ่งกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ถูกต้อง! ลู่หยวนรับตำแหน่งตัวแทนประธานกรรม พวกเราล้วนเห็นด้วย สำหรับประธานเจียง ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เหมาะที่จะบริหารจัดการเรื่องราวในบริษัท หุ้นส่วนในส่วนของเขา ยังคงมีผล และประะานลู่ก็ได้จัดเตรียมเงินลงทุนเพียงพอที่จะลงทุนกับบริษัทแล้ว มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะแทนที่ประธานเจียง”
กรรมการสองคนแสดงความคิดเห็นออกมา เห็นได้ชัดว่าต้องการยึดตำแหน่งของฉินฝู้กุ้ย แล้วให้พวกเขามาวางแผนจัดการบริษัท และแผนการของพวกเขาก็เป็นที่ชัดเจนแล้ว ก็คือยอมอ่อนข้อให้ลาตินกรุ๊ปบริษัทคู่แข่ง
เมื่อได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลินอิ่งได้แต่ส่ายหัวอยู่ในใจ ในการแข่งขันทางธุรกิจระหว่างไห่หยางกรุ๊ปและลาตินกรุ๊ป นี่ก็คือกลุ่มตัวอย่างของผู้ยอมจำนน ที่อยากจะไปคุกเขาเลียขาเพื่อรับผลประโยชน์จากลาตินกรุ๊ป
ฉินฝู้กุ้ยกดขมับ หันไปมองหลินอิ่งและเสิ่นซานแวบหนึ่ง แล้วหันหน้ากลับมา กล่าวอย่างเคร่งเครียด: “ลู่หยวน และทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ เรื่องเลือกประธานกรรมการคนใหม่ ผมมีไม่อำนาจตัดสิน เรื่องที่บริษัทจะร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปหรือไม่ ผมก็ไม่มีอำนาจตัดสิน…”
“เดี๋ยวนะ! ประธานฉิน!” ลู่หยวนขัดจังหวะฉินฝู้กุ้ย กล่าวอย่างไม่พอใจ “คุณเป็นตัวแทนประธานกรรมที่ประทานเจียงนำเสนอ คุณตัดสินใจไม่ได้? ทำไมถึงพูดคำพูดที่ไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ออกมาได้? หรือว่าจะต้องให้เราไปที่โรงพยาบาลเชิญประธานเจียงออกมาประชุมหรือยังไง?”
“วันนี้ จะต้องให้คำตอบที่ชัดเจน!”
ลู่หยวนมองฉินฝู้กุ้ยด้วยสายตาที่แรงกล้า จากนั้นเขาก็หยิบซิการ์ขึ้นมาดูด
ในใจของฉินฝู้กุ้ยรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นในเวลาปกติเขาคงเดินเข้าไปต่อยลู่หยวนสักสองหมัดตั้งนานแล้ว
แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น เดิมทีลู่หยวนเป็นเพียงนักธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากมาย ไม่นับว่าเป็นบุคคลเก่งกาจอะไร แต่ทว่าในวันนี้เขาได้ไปเลียแข้งเลียขาลาตินกรุ๊ป และความสัมพันธ์ของเขากับเซียวจวงแห่งลาตินกรุ๊ปไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ยังตีสนิทกับพวกกรรมการภายในของบริษัทอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉินฝู้กุ้ยก็ไม่กล้าที่จะตะคอกลู่หยวน ถ้าหากพูดไม่ดีก็อาจจะทำให้เรื่องของบริษัทยุ่งเหยิงขึ้นมาได้
“เอาอย่างนี้ ทุกท่าน ผมเชิญคุณหลินอิ่ง และคุณเสิ่นซานมา มีพวกเขาสองคนเป็นทำหน้าที่ประธานจัดการการประชุมคณะกรรมการในครั้งนี้” ฉินฝู้กุ้ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม เอ่ยแนะนำเสิ่นซานและหลินอิ่ง
“ท่านเสิ่นซานมาเหรอ?” ลู่หยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบไปมองเสิ่นซาน และพิจารณาหลินอิ่งสักพัก บนใบหน้าของเขามีแววสงสัยปรากฏขึ้นมา
ณ ตอนนี้ สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่เสิ่นซานและหลินอิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนล้วนรู้จักท่านเสิ่นซาน หัวมังกรของกลุ่มอิทธิพลมืดแห่งเมืองตุงไห่ บุคคลมีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของตุงไห่ ทุกคนล้วนทราบดีว่า เขาเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับเจียงฉี
แต่หลินอิ่งคนนี้ เป็นใครกัน? มีสิทธิ์อะไรที่จะพูดแทนประทานเจียง
“ที่แท้เป็นท่านสามมานี่เอง เชิญท่านสามนั่ง” ลู่หยวนกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ “แต่ว่า ท่านสาม ครั้งนี้เป็นเรื่องธุรกิจภายในของไห่หยางกรุ๊ปของพวกเรา ถ้าหากท่านจะเข้ามาแทรกแซง เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่”
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เมื่อลู่หยวนได้เผชิญหน้ากับเสิ่นซานจะต้องให้ความเคารพเป็นอย่างมากแน่นอน แต่ในตอนนี้เขาได้พึ่งพิงเซียวจวงแห่งลาตินกรุ๊ป เบื้องหลังมีที่พึ่งใหญ่อย่างลาตินกรุ๊ปคอยสนับสนุน เขาเลยไม่ได้เกรงกลัวเสิ่นซานอีกต่อไป
ตอนนี้แม้แต่เจียงฉียังถูกลาตินกรุ๊ปทำให้ล้มลงได้ เสิ่นซานแล้วยังไง? ยังไงซะเสิ่นซานกับพวกเขาก็ไม่ได้มีผลประโยชน์ไปมาหาสู่อะไรมากมาย เพียงแค่ไว้หน้าบ้างก็พอแล้ว
“ประะานลู่พูดได้ถูกต้อง ท่านสาม ท่านเป็นเพื่อนของประธานเจียง มาช่วยประธานเจียงเป็นประธานจัดการการประชุมคณะกรรมการพวกเราสามารถเข้าใจได้” กรรมการอีกคนเอ่ยปากพูด สายตาที่ไม่เป็นมิตรมองไปยังหลินอิ่ง “แต่ว่าหลินอิ่งท่านนี้ถือว่าเป็นตัวอะไรกัน? สามารถทัดเทียมนั่งโต๊ะเดียวกันกับพวกเรา? ยังจะมาทำหน้าที่ประธานจัดการการประชุมคณะกรรมการของไห่หยางกรุ๊ป?
“ใช่แล้ว นี่กำลังล้อเล่นอะไรกัน? ในวงการฉันพอจะเคยได้ยินชื่อหลินอิ่งอยู่บ้าง เป็นเขยสวะของตระกูลจาง คนแบบนี้ ให้มาเป็นประธานการประชุมงานให้พวกเรา? อยากให้เป็นเรื่องตลกหรือไง?” กรรมการผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเขยสวะของตระกูลจาง ผู้ถือหุ้นทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจและสงสัย เห็นได้ชัดว่าล้วนเคยได้ยินชื่อนี้ ทันใดนั้นบนใบหน้าล้วนปรากฏแววไม่พอใจมากออกมา และสายตาไม่เป็นมิตร
หลินอิ่งหัวเราะเยาะหนึ่งครั้ง เขาดึงเก้าอี้ที่เป็นที่นั่งของประธานออกมา แล้วนั่งลงไปอย่างอาจหาญ จากนั้นส่งสายตาให้กับฉินฝู้กุ้ย ฉินฝู้กุ้ยรีบไปปิดประตูห้องประชุมลงทันที จากนั้นก็เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
“นี่? หลินอิ่ง นายมีฐานะอะไรกล้านั่งบนตำแหน่งนี้?” ลู่หยวนซักถามอย่างบันดาลโทสะ จ้องมองหลินอิ่งด้วยท่าทางโมโห