บทที่ 229 คารวะเหล้าให้ลูกพี่เหล่านี้
พอลากไปถึงประตูทางเข้า เสียงก็ดังปัง
ฮาเดสโยนโจวยู่ถานทั้งสองคนเหมือนโยนถังขยะ ออกไปที่ประตูทางเข้า ช็อตนี้ถูกผู้หวังดีที่ตามมาตลอดทาง ถ่ายรูปเอาไว้
กำจัดสองคนนี้เสร็จ ฮาเดสหันกลับมาโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสี คิดจะไปรายงานให้หลินอิ่งทราบ
ส่วนที่ประตูทางเข้ายังมีพวกสนุกบนความทุกข์คนอื่น เดินตามมาด้วยเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดูตระกูลโจทั้งสองคน เอามือถือขึ้นมาถ่ายคลิป
นี่เป็นข่าวใหญ่เลยนะเนี่ย คุณหนูกับคุณชายแห่งตระกูลโจตระกูลจากสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองชิงหยูน นึกไม่ถึงว่าจะถูกคนซ้อมที่เมืองโลกแล้วโยนออกนอกงาน?ต้องดังแน่
“แม่งเอ้ย พวกแกใครกล้าถ่าย ข้าจะกลับไปเอาคนมาเล่นงานพวกแก!” โจตงข่มขู่คุกคามเหมือนคนเป็นฮิสทีเรีย จนเส้นเอ็นโผล่มาให้เห็น รู้สึกถูกสบประมาทครั้งใหญ่ในชีวิต
“ให้ตาย คุณชายโจ นี่บารมีคุณมากอย่างนี้เลยเหรอ?คนของลาตินกรุ๊ปสบประมาทคุณ เก่งนักก็ไปอวดเบ่งกับลาตินกรุ๊ปสิ? มาระบายใส่พวกเรา? คิดว่าพวกเรารังแกกันง่ายๆ เหรอ?” ชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งหัวเราะเยาะพูดขึ้นมา
“นั่นสิ พวกเราเป็นแขกของที่นี่ อยากทำอะไรที่นี่ก็ได้ ตรงข้ามกับพวกคุณ ถูกไล่ออกไปแล้ว ยังไม่รีบไสหัวไปให้ห่างๆ อีก จะได้ไม่โดนคนของลาตินกรุ๊ปเล่นงานอีก”
คนกลุ่มหนึ่งกำลังฉวยโอกาสถากถางอย่างเมามันต่อโจยู่ถานทั้งสองคน คนสองคนนี้ขึ้นชื่อว่าเย่อหยิ่งจองหองในแวดวงคนมีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนมาตลอด ล่วงเกินคนอื่นไว้ไม่น้อย ไม่รู้มีคนตั้งเท่าไหร่ที่อยากจะตีให้เหมือนหมาตกน้ำ
“พวกเราไปกัน!” โจวยู่ถานกัดฟันพูด สีหน้าอับอายและโกรธมาก
ทั้งสองคนแบกความอัปยศเดินออกจากลานอาคารโลก สีหน้าหม่นหมองเกินกว่าจะเปรียบเปรย
“โจตง แกรีบกลับไปหาคุณท่าน เล่าเรื่องนี้ให้คุณท่านได้ฟัง กบฏแล้วจริงๆ เศษสวะหลินอิ่งมันกล้าให้บอดี้การ์ดอัดพวกเรา!” โจยู่ถานพูดอย่างไม่ยอมใจ “ไม่รู้ว่าเขาไปสอพลอมหาอำนาจนั่นอย่างไร บอดี้การ์ดฮาเดสถึงได้ไม่เห็นพวกเราในสายตา เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่!”
“ไม่เป็นไร พี่ยู่ถาน พวกเรากลับไปแล้วก็ขอให้คุณท่านออกหน้าไปหานายคริสที่ลาตินกรุ๊ปกัน ต้องมีหนทางแน่ จะปล่อยเจ้าเศษสวะหลินอิ่งนั่นไปไม่ได้!” โจตงพูดด้วยความเคียดแค้น
พวกเขาสองคนไม่ยอมใจอย่างยิ่ง เกลียดหลินอิ่งเข้ากระดูกดำ วันนี้ขายหน้าซะขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องกลับมาแน่
ขอแค่คุณท่านออกหน้า ต่อให้เป็นคริสก็ต้องไว้หน้าบ้าง ไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเศษสวะหลินอิ่งอย่างโหดเหี้ยมไม่ได้
พูดเสร็จ ทั้งสองคนก็ขึ้นนั่งบนรถ รอไปจากเมืองโลก กลับไปยังตระกูลโจเพื่อจะยกกำลังมาแทบไม่ไหวแล้ว
ไม่กี่นาทีต่อมา หลินอิ่งก็เดินออกมาจากอาคารเมืองโลก ฮาเดสตามติดอยู่ข้างกาย
หลินอิ่งรออยู่ริมถนนสักพัก ฮาเดสไปเอาลินคอล์นสีดำสไตล์ย้อนยุคจากลานจอดรถมา เปิดประตูด้วยความคล่องแคล่ว
หลินอิ่งขึ้นนั่งเบาะหลังอย่างสงบนิ่ง ไม่นาน ฮาเดสก็สตาร์ทรถขับไปที่ใจกลางเมือง
ทางฉีโม่เหมือนเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว เขาจึงไม่มีเวลารอให้งานฉลองโครงการเมืองโลกเสร็จงาน ตอนนี้ต้องรีบไปจัดการ
ในสายตาของหลินอิ่ง เรื่องของฉีโม่สำคัญที่สุด ต่อให้โครงการเมืองโลกจะสำคัญอย่างไร ก็เป็นแค่โครงการทรัพย์สินพันล้านเท่านั้นเอง
ณ ใจกลางเมือง อาคารจางซื่อ พิธีเปิดกำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก
จางฉีโม่กับครอบครัวนั่งประจำที่VIP บนโต๊ะเรียงรายไปด้วยสุราอาหารอย่างดี แต่ไม่มีอารมณ์จะกิน
จางฉีโม่ลองเสนอสวัสดิการ ว่าด้วยเหตุผลอย่างจริงจัง แต่คนตระกูลจางกลับไม่มีความจริงใจเลย
สิ่งที่เธอเจรจาด้วยความจริงใจกลับไม่ได้ผลอะไรเลย
คนตระกูลจางบอกว่าต้องให้กองทุนสวัสดิการกับพวกเขาทุกคน พอจางฉีโม่ไตร่ตรองแล้ว ก็พยักหน้ารับปากเรื่องนี้ จางฉีโม่เจรจาให้สวัสดิการเป็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนทุกคน กะว่าจะเอาเงินสองล้านจากบริษัทมาสงบจิตใจคนตระกูลจาง รักษาชื่อเสียงของบริษัท
ปรากฏว่า คนตระกูลจางรีบรวมตัวกันกลับคำทันที บอกว่าน้อยเกินไป ต้องเพิ่มเงิน
จางฉีโม่พอจะเข้าใจแล้วว่า คนตระกูลจางกลุ่มนี้เห็นตัวเองเป็นของเล่น อีกทั้งตรรกะความจริงอยู่ที่ความรู้สึกคน
ทุกครั้งที่เธอรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่ง เหมือนว่าจะเจรจาเรื่องแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อได้แล้ว คนของตระกูลจางต่างรู้สึกว่าพวกเขาเสียเปรียบ จากนั้นก็ฉีกสัญญา เรียกร้องให้เพิ่มเงื่อนไขอีกข้อ สถานการณ์แบบนี้ จะตกลงธุรกิจกันได้อย่างไร
“นี่ ฉีโม่ เธอนี่ไม่มีความจริงใจเอาซะเลย ฉันรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเจรจาอีกแล้ว เครื่องประดับจางซื่อแบรนด์นี้ ให้พวกเรากับลุงสามมาจัดการดีกว่า”
ท่าทางจางหงจูนกับจางหงซวนสบายอกสบายใจ เที่ยวเดินไปรอบงาน แล้วก็กลับไปที่โต๊ะกินเลี้ยงอีกครั้ง ข้างกายยังมีเด็กหนุ่มวัยกลางคนแต่งตัวแบบพิเศษมาด้วย
“จริงสิ ขอแนะนำแขกคนสำคัญสองท่านในพิธีเปิดงานครั้งนี้ให้ทุกคนรู้จักหน่อย นายซูนเฉียงกับนายหลุยส์” จางหงจูนพูดด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ที่ได้แนะนำบุคคลผู้ยิ่งใหญ่สองท่านข้างกายอย่างเอิกเกริก “นายซูนเฉียงทุกคนคงรู้จักแล้วสินะ ตัวแทนวงการค้าของตระกูลซูน ก็คือญาติสนิทของฉัน นายหลุยส์น่ะ เป็นรองประธานรับผิดชอบการค้าเครื่องประดับหยกของลาตินกรุ๊ป!”
พูดเสร็จ คนกลุ่มนี้ก็เข้านั่งประจำที่VIP
“ทุกคนตอนนี้คงเห็นศักยภาพของเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปของพวกเราแล้ว แขกVIPทั้งสองท่านนี้ต่างเป็นพันธมิตรความร่วมมือที่สำคัญของบริษัท!” จางหงจูนพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
“พี่ใหญ่นี่เก่งจริงๆ เชิญมาได้กระทั่งบุคคลใหญ่โตของลาตินกรุ๊ป”
“ผู้อาวุโสตระกูลจางพวกเราติดตามพี่ใหญ่กับพี่สาม นั่นถึงจะถูกทาง เครื่องประดับจางซื่อแบรนด์นี้ ต้องมอบให้พี่ใหญ่จัดการแล้ว พวกเราถึงจะวางใจนะ ไม่เหมือนคนหนุ่มสาวบางคนของตระกูลจาง ทำงานพึ่งไม่ได้ โดยเฉพาะเป็นลูกผู้หญิง น่าขายหน้าชาวบ้านจริงๆ พูดออกไปก็ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะตระกูลจาง”
คนกลุ่มหนึ่งก็โห่ขึ้นมาทันที พร้อมถากถางจางฉีโม่
ในเมืองชิงหยูน บริษัทใหม่ที่ก่อตั้งขึ้น สามารถเชิญบุคคลสองคนนี้มาได้ เท่ากับว่ามีอันดับทีเดียว
ซูนเฉียงเป็นผู้มีอำนาจเต็มของตระกูลซูน พ่อของซูนเหิงคุณชายซูน มีบารมีมากมายในแวดวงคนดังเมืองชิงหยูน ส่วนหลุยส์ถึงจะไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงคนดัง แต่ฐานะที่โชว์อยู่ รองประธานละตินกรุ๊ป คงจะนึกภาพอำนาจในมือออก ใครไม่รู้บ้างว่ากระแสลมในวงการค้าตุงไห่ก็คือลาตินกรุ๊ป?
“ฉีโม่อ่ะ อย่างไรเธอ ก็เป็นคนของตระกูลจาง ทั้งสองคนนี้ก็เป็นลูกพี่ในวงการการค้าตุงไห่ เธอก็ถือเป็นคนในวงการธุรกิจ ต่อไปถ้าอยากเจริญก้าวหน้าในเมืองชิงหยูน ก็ต้องดูสีหน้าของพวกเขา” จางหงซวนพูดอย่างล้อเลียน “มา รีบมาดื่มเหล้าคารวะลูกพี่ทั้งสองเร็ว”
พูดเสร็จ จางหงซวนก็เทเหล้าขาว50ดีกรีเต็มสองแก้ว วางลงต่อหน้าจางฉีโม่ตามความเหมาะสม
เหล้าขาวสองแก้วใหญ่วางอยู่ตรงหน้า จางฉีโม่หน้าตาถอดสีเล็กน้อย
อย่าว่าแต่เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยดื่มเหล้าขาวเลย นี่มันถึงขั้นเต็มแก้วไวน์ สองแก้วก็มีเหล้าขาวอยู่ 500 มิลลิลิตร พูดจาทำเรื่องอย่างนี้บนโต๊ะจัดเลี้ยง เห็นชัดๆ ว่าเป็นการดูถูกกันไม่ใช่เหรอ?