บทที่ 231 ป้ายชื่อให้พวกคุณแล้วไง?
จางซิ่วเฟิงสีหน้าไม่ดี ยังคงถือแก้วเหล้าในมือ รู้สึกเวียนหัว เหล้าเริ่มออกฤทธิ์ ทรงตัวไม่ค่อยอยู่
“พี่สาม พี่ใหญ่ ประธานทั้งสอง ขอโทษด้วยครับ เมื่อครู่ค่อนข้างแรงไปหน่อย” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างระมัดระวัง
“พ่อ ช่างมันเถอะ พวกเราไปกันเถอะ” จางฉีโม่ลุกขึ้นแล้ว ในใจรู้สึกโมโห เวลาเดียวกันก็รู้สึกเศร้า
แบบนี้มันเป็นการเหยียดหยามบนโต๊ะอาหารกันชัดๆ ไม่ได้เห็นครอบครัวเธออยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“แต่ว่า…..” จางซิ่วเฟิงยากพูดอะไรแต่ก็หยุด สีหน้าเอือมระอา
ถ้าหากทำให้คนใหญ่คนโตสองคนนี้โกรธบนโต๊ะอาหาร อีกหน่อยเขาจะอยู่ในเมืองชิงหยูนต่อไปยังไง
“น้องห้า อย่าพูดว่าฉันไม่ได้ให้โอกาสครอบครัวนายนะ แบบนี้มันให้โอกาสแล้วยังไม่รับอีก แม้แต่ประธานทั้งสองยังกล้าทำแบบนี้ พี่ว่า ต่อจากนี้ป้ายชื่อเครื่องประดับจางซื่อ จากนี้ไปพวกเธอก็ไม่ต้องใช้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้น อย่าโทษประธานทั้งสองคนบีบบังคับ ไม่เหลืออะไรให้พวกเธอกินเลยแม้แต่คำเดียว” จางหงจูนสีหน้าได้ใจ เหมือนพอใจกับสถานการณ์ตอนนี้มาก
“เห้อ ฉีโม่ พฤติกรรมของเธอแบบนี้ จะควบคุมบริษัทเครื่องประดับใหญ่โตอย่างจางซื่อได้ยังไง? ยังอยากเป็นตัวแทนตระกูลจาง? คนอื่นหัวเราะตายแน่” จางหงซวนก็พูดเสียดสี “ตอนแรก ก็เห็นแก่ว่าเป็นครอบครัวเดียว ยังพอให้ช่องว่างกันได้ แต่ว่าพวกเธอไม่ไว้หน้าแม้แต่ประธานสองท่านนี้ ก็อย่าไปโทษคนอื่นเลย อีกหน่อยไม่มีจุดยืนในแวดวงธุรกิจในเมืองชิงหยูน”
จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี ยังคงยืนหยัดสถานะตัวเอง ไม่คิดจะนั่งลง แม่ไม่รู้สถานการณ์จริงๆ ใครกันที่ไม่มีมารยาทแยกแยะไม่ออกเลยเหรอ
“พี่ใหญ่ พี่สาม ฉีโม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น เธอยังอายุน้อย พูดจาไม่รู้ระเบียบ” ลู่หย่าฮุ่ยเปิดปากพูดอย่างหงุดหงิด “ฉันว่า เรื่องเกี่ยวกับชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ พวกเราเจรจากันได้”
“เจรจาอะไร? ชื่อเสียงบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ บริหารมาตั้งแต่รุ่นปู่ ดูพฤติกรรมพวกเธอ อยากทำลายชื่อเสียงบริษัทเหรอ?” จางหงจูนพูดอย่างมีเหตุมีผล
“อยากเจรจา ก็ได้ ให้จางฉีโม่นั่งลงก่อน ดื่มเหล้าขาวที่เหลือให้หมด เพื่อแสดงความจริงใจ” จางหงซวนพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา สีหน้าสบายใจ
สามารถใช้อำนาจมาบีบบังคับคู่ต่อสู้ รู้สึกได้ใจมาก
“ชื่อบริษัทให้พวกคุณแล้วยังไง?”
ทันใดนั้น ขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกำลังเคร่งเครียด ก็มีเสียงหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น
หลินอิ่งมาแล้ว
สีหน้าหลินอิ่งปกติ เดินเข้ามาในงานคนเดียว ส่วนฮาเดสยื่นรอที่หน้าประตูอย่างเคารพ
“หลินอิ่ง คุณมาแล้วเหรอ” จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่ง พูดด้วยสีหน้าดีใจ
พอได้ยินเสียงของหลินอิ่ง เธอก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที
“ให้ชื่อบริษัทกับพวกเราแล้วยังไง? หลินอิ่ง นายมันช่างกล้าพูดนะ นายรู้ฐานะตัวเองในตระกูลจางไหม? นายมีสิทธิ์พูดที่นี่ไหม?” จางหงจูนพูดตำหนิ มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจ
“โอ้ หลินอิ่ง นายกล้าดีแล้วนะตอนนี้ กล้าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าพวกเราเหรอ? คิดว่าตัวเองได้เกาะตระกูลหวางกิน เก่งมากเลยหรือ? นายไม่รู้สึกอายแม้แต่น้อยเลยเหรอ อยู่ข้างนอกทำให้ตระกูลจางขายหน้า” จางหงซวนพูดเสียดสี
เท่าที่เขาสองคนดูแล้ว หลินอิ่งเป็นแค่คนไร้น้ำยา ไม่มีความสามารถอะไรเลย อยู่ข้างนอกก็ทำได้แค่ไปเกาะคุณหนูลูกเศรษฐี ยังคิดว่าตัวเองมีความสามารถขนาดไหน?
แม้แต่ตระกูลผู้ดีเมืองรอบข้างยังให้คนมาจัดการเขา แค่คิดก็รู้ นี่มันผู้ชายที่ไร้ยางอายขนาดไหน
หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา พูดว่า “ผมไม่อยากเสียเวลาพูดไร้สาระกับพวกคุณ ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อพวกคุณอยากได้ใช่ไหม? เอาไปเลย”
จางหงจูนกับจางหงซวนทุ่มเทสร้างปัญหาทุกวิถีทางในบริษัท ตอนนี้ยังอยากได้ชื่อบริษัทจางซื่ออีก
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?
บริษัทเครื่องประดับจางซื่อจากการลงทุนมหาศาลของเขา ก็ขยายใหญ่โตขึ้น พัฒนาไปเมืองอื่น จนมีผลกระทบต่อแวดวงเครื่องประดับในประเทศหลุง ซึ่งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อในเมืองชิงหยูนเมื่อก่อนเปรียบไม่ได้เลย
ถึงจะไม่ใช่ชื่อนี้ ความสามารถที่มีอยู่ อยากพัฒนาขึ้นมาก็ง่ายดายมาก ไม่มีอะไรน่าห่วงเลย
ในทางกลับกันกับตระกูลจาง ต้องการแตกแยกกับฉีโม่ บริษัทเครื่องประดับจางซื่อภายใต้การดูแลของจางหงจูน จะมีผลยังไง?
“ออ เหรอ? แบบนี้ยิ่งดี คำพูดของหลินอิ่ง หมายถึงความคิดของครอบครัวพวกเธอใช่ไหม?” จางหงจูนพูดเย็นชา “ถึงแม้ว่าเราจะแย่งชิงชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ แต่ว่า เรื่องนี้ยังไม่ใช่สิทธิ์ของนายที่จะมาตัดสิน?”
“ไม่ใช่ หลินอิ่ง แกมาพูดอะไรที่นี่?” ลู่หย่าฮุ่ยกังวล รีบพูดต่อว่า “ใครให้แกมาที่นี่? ที่นี่กำลังคุยเรื่องงานกัน แกพูดอะไรไปเรื่อย?”
“ฉีโม่ พวกเราไปกันเถอะ” หลินอิ่งมองไปที่จางฉีโม่ ไม่ได้สนใจคำพูดของคนอื่นแม้แต่น้อย
“อืม” จางฉีโม่พยักหน้าเห็นด้วย อยากจากไปอยู่แล้ว
“เดี๋ยวก่อน ไป?” ซูนเฉียงมองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจมาก “แกก็คือหลินอิ่งของตระกูลจางเหรอ? แกคิดว่าแกเป็นใคร? ทำตัวใหญ่ในสถานที่แบบนี้? ไม่ดูหน่อยว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นใครบ้าง ไม่ใช่สิทธิ์ของแกที่จะมาสั่งที่นี่?”
ซูนเฉียงเคยได้ยินเรื่องของหลินอิ่งจากปากของจางหงจูนแล้ว แค่ลูกเขยไร้น้ำยาคนหนึ่ง ยังกล้าอวดดีต่อหน้าพวกเขาบนโต๊ะอาหารอีก? ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง
“อยากไปก็ได้ ดื่มเหล้าบนโต๊ะให้หมด แล้วก็กราบขอโทษดีๆ คลานออกไป”
ซูนเฉียงพูดอย่างอวดดี “กล้าไม่ไว้หน้าฉันแบบนี้ อยากออกไปแบบนี้ ฉันกล้ารับรองว่า พวกเขาก้าวออกไปจากที่นี่ ก็เตรียมตัวล้มละลายได้เลย”
หลินอิ่งสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ มองเหล้าขาวสองแก้วใหญ่บนโต๊ะ แล้วมองไปที่จางซิ่วเฟิงที่ดื่มจนเมา
“หลินอิ่ง เรื่องก่อนหน้านี้…..” จางฉีโม่ที่อยู่ข้างหลินอิ่ง พูดเสียงเบา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้รอบหนึ่ง
“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งพยักหน้า เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาแล้ว
หลินอิ่งสายตาเย็นชามองไปที่พวกจางหงจูน
พวกจางหงจูน อวดดีเกินไป ไม่เห็นจางฉีโม่อยู่ในสายตา บังคับจางซิ่วเฟิงดื่มจนเมาขนาดนี้
ถึงแม้เขาจะคุยกับจางซิ่วเฟิงไม่ถูกคอ แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นพ่อตา ไม่ไว้หน้าจางซิ่วเฟิงขนาดนี้ ต่อหน้าฉีโม่แบบนี้ จะทำให้ฉีโม่สบายใจได้ยังไง?
“พวกคุณชอบดื่มเหล้าใช่ไหม?” หลินอิ่งถามอย่างใจเย็น “ไว้หาโอกาส ผมจะให้พวกคุณดื่มจนพอใจ”
“แกหมายความว่ายังไง?” ซูนเฉียงพูดอย่างไม่พอใจ โมโหสำหรับพฤติกรรมของหลินอิ่งมาก
“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน ทำไมขยะอะไรก็มาพูดบนโต๊ะอาหารของฉันได้? ยังจะหาโอกาส แกมีสิทธิ์ดื่มเหล้ากับพวกฉันเหรอ?” นายหลุยส์มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจ ฟังจางหงจูนแนะนำหลินอิ่งแล้ว ก็รู้สึกโมโห
เท่าที่นายหลุยส์ดูแล้ว คนไร้ฐานะไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง ต่อหน้าพวกเขาควรจะเคารพอย่างหมาที่เลี้ยงไว้ถึงจะถูก ทำไมถึงได้อวดดีขนาดนี้?
หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา นายสองคนนี้คงฟังความหมายในคำพูดเขาไม่ออก
เขาหยิบมือถือขึ้นมา โทรหานายคริส
ซูนเฉียงจะเป็นผู้มีอำนาจของตระกูลซูนก็ดี นายหลุยส์ที่เป็นรองประธานลาตินกรุ๊ปก็ช่าง สองคนนี้ ตอนนี้ต่อหน้าคริสแล้วก็เหมือนหมา