บทที่ 243 พาเธอเปิดโลกทัศน์
“ประธานหลิน ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้คุณ” กงซุนฉางเฟิงพูดพลางตบที่หน้าอก “ผมคุ้นเคยกับเมืองเกาหยางดี ผมมีลูกน้องที่ใช้ได้อยู่ลับๆ เรื่องอื่นผมไม่กล้าพูด แต่เรื่องสืบข่าวบางอย่างไม่มีปัญหาแน่”
กงซุนฉางเฟิงตัดสินใจปนเปไปกับหลินอิ่งแล้ว เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ใจของเขาก็รู้ดี ว่านี่เป็นบททดสอบของหลินอิ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะเป็นคนของตระกูลกงซุนแห่งเมืองตี้จิง แต่ไม่ได้เป็นคนในวงศ์ที่มีน้ำหนักภายในอะไรเลย อีกทั้งการมาเมืองตุงไห่ครั้งนี้ก็ทำเสียเรื่อง ถึงขั้นต้องหักหลังกงซุนเฟยเจี้ยน แม้อยากจะสวนกระแสทำงานให้ตระกูลกงซุน ก็ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ
ส่วนทางแก๊งหยางเหมิน กงซุนฉางเฟิงเป็นแค่มือต่อสู้ สถานะไม่สำคัญเท่าไหร่ ครั้งนี้ถ้าทำงานให้ประธานหลินได้ดี ได้รับความเชื่อถือ ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีจากเรื่องร้ายก็ได้ ต่อไปอนาคตไกลแน่
หลินอิ่งพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปทำงานให้ดีๆ เถอะ”
หลินอิ่งไม่กลัวว่าหลังจากกงซุนฉางเฟิงไปถึงเมืองเกาหยางแล้วจะเล่นตุกติก อย่างไรก็มีกลุ่มเฮยยิงช่วยจับตาดูคนผู้นี้แทน กลุ่มเฮยยิงอาจจะไม่ได้เก่งการต่อสู้ แต่เป็นมืออาชีพด้านการหาข่าว
ยิ่งไปกว่านี้ นี่เป็นกลุ่มสุดยอดจารชนที่เชี่ยวชาญการใช้ปืน ถ้าจะวัดกันที่การต่อสู้ก็มองข้ามกันไม่ได้
ในความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีฝีมือยิงปืนที่ยอดเยี่ยมได้
พอสั่งเสร็จ กงซุนฉางเฟิงกับกลุ่มเฮยยิงก็ไปจากสวนดอกไม้
หลินอิ่งจิบน้ำชา ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็โทรหากงซุนชิวอวี่
สถานการณ์ตระกูลกงซุนเมืองเกาหยางซับซ้อนเช่นนี้ กงซุนชิวอวี่อยู่กับวงศาคณาญาติ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ต่อให้เขารู้แล้ว จะมองดูกงซุนชิวอวี่ตาปริบๆ เกิดเรื่องไม่ได้ ไม่เช่นนั้น คงจะชี้แจงต่อคุณปู่ไม่ได้
“ฮัลโหล พี่ชาย วันนี้โทรมาหาฉันได้อย่างไร?” สายอีกฝั่ง เป็นเสียงประหลาดใจของกงซุนชิวอวี่ ราวกับไม่คิดว่าหลินอิ่งจะโทรหาเธอ
“หมู่นี้สถานการณ์ตระกูลกงซุนเป็นอย่างไรบ้าง?” หลินอิ่งถามอย่างตรงไปตรงมาก
“ดีทีเดียว หมู่นี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างมีความสุข “ต้องขอบคุณพี่ชายที่ช่วยรักษาคุณท่านหาย สุขภาพของคุณท่านดีกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาก”
“จริงสิ พี่ชาย คนที่ขวางพี่ระหว่างทางไปสนามบินคราวก่อน ภายหลังฉันสืบข่าวได้ว่า ลุงสองของฉันเป็นคนส่งไปเอง” กงซุนเสียวอวี่พูดด้วยความตื่นเต้น “ลุงสองของฉันยังส่งคนไปหาเรื่องพี่อีกเหรอเปล่า?”
เธอไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของพี่ชาย แต่ห่วงว่าคนตระกูลกงซุนจะทำเรื่องงี่เง่าหาเรื่องหลินอิ่งพี่ชายฝ่ายแม่ เกิดทำเขาเดือดเป็นไฟขึ้นมา เกรงว่าตระกูลกงซุนจะต้องบาดเจ็บปางตาย
“ไม่เลย เรื่องพวกนี้เธอไม่ต้องห่วง” หลินพูดแกมหัวเราะ
“เดิมทีฉันอยากจะข้ามไปหาพี่ชายที่เมืองตุงไห่ แต่ว่า ช่วงนี้คุณท่านให้ฉันอยู่กับกิจการของตระกูล งานก็เลยยุ่งมาก ไว้ว่างแล้วจะไปหาพี่ชายกับพี่สะใภ้ที่เมืองตุงไห่นะ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างคล่องแคล่ว
“อ้อ” หลินอิ่งพูดขึ้นมา “หมู่นี้พี่ได้ข่าวว่า ทางเมืองเกาหยางไม่ค่อยสงบ ถ้าเธอมีเรื่องอะไร ก็ให้โทรหาพี่”
“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่ชาย” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เรื่องที่พี่ชายพูดมา เธอไม่กล้าจะเบาใจ คนผู้นี้หลินอิ่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองตี้จิงที่ชื่อเสียงโด่งดังสะท้านประเทศหลุง
พี่ชายบอกว่าช่วงนี้เมืองเกาหยางไม่ค่อยสงบ ความหมายที่อยู่ในนั้นต้องมีความไม่ปกติแน่
“อืม”
หลินอิ่งวางสายลง ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากมอบหมายงานทั้งหมดเสร็จ คืนนั้นหลินอิ่งก็นอนหลับอยู่ที่เกาะเทียม
วันที่สอง พอเช้าตรู่ หลินอิ่งก็ให้ฮาเดสขับรถ รีบไปยังสนามบินนานาชาติเมืองชิงหยูน
การไปตี้จิงครั้งนี้ เขาคิดจะพาฮาเดสไปเป็นบอดี้การ์ดข้างกายเพียงคนเดียว ส่วนคนอื่นที่เหลือไม่ได้พาไป
เสินซานกับคริสก็มอบหมายงานชัดเจนแล้ว ให้พวกเขาในระยะนี้ทำงานตามขั้นตอนไป
หลินอิ่งให้เสินซานปรับอิทธิพลใต้ดินเมื่อก่อนของคริส ส่วนเจียงฉียังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โครงการเมืองโลกก็ให้คริสดำเนินการจัดการ อย่างไรเสียก็เป็นโปรเจ็คขนาดใหญ่ ต้องการคนที่มีความสามารถมารับผิดชอบ
ตอนมาถึงสนามบินนานาชาติ จางฉีโม่มารออยู่แล้ว
ทั้งสองคนขึ้นเครื่องไปพร้อมกัน ฮาเดสตามติดข้างกายหลินอิ่ง ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด ส่วนจางฉีโม่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายกับฮาเดสคนต่างชาติแปลกหน้าผู้นี้ สำหรับเธอแล้ว หลินอิ่งพาบอดี้การ์ดเดินทางไปด้วยก็เป็นเรื่องปกติ
หลินอิ่งนั่งลงที่นั่งบนเครื่องบิน หลังจากหลับตาพักผ่อนไม่กี่ชั่วโมง ก็มาถึงตี้จิง
เพิ่งจะลงจากเครื่อง จางฉีโม่ก็ได้รับโทรศัพท์
“หลินอิ่ง เมื่อครู่หัวหน้าสมาคมจูโทรหาฉัน บอกว่ามีการกินเลี้ยง ให้ฉันไปกินเลี้ยงที่โรงแรมจงเทียนที่เขตจงเทียน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าฉงน “เห็นหัวหน้าจูบอกว่า มีคนดังในงานมาก อยากแนะนำให้รู้จัก งานเครื่องประดับตี้จิงยังไม่เริ่ม จะไปกินข้าวกันก่อนไหม?”
หลินอิ่งคิดสักพักก็ตอบว่า “ไปด้วยกันเถอะ”
เดิมทีเขาคิดจะให้หยูจื๋อเฉิงจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับ ทว่าในเมื่อฉีโม่มีกินเลี้ยง ก็ทำตามที่เธอต้องการก็แล้วกัน
และหัวหน้าสมาคมจูของสมาคมเครื่องประดับเมืองตุงไห่ ก็ได้ยินฉีโม่พูดถึงบนเครื่องบิน
หัวหน้าสมาคมจูเดิมชื่อว่าจูฟาง ถือว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในวงการเครื่องประดับตุงไห่ เกิดที่เมืองชิงหยูน ได้ข่าวว่าแต่งเข้าตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองตี้จิง ทำธุรกิจเครื่องประดับใหญ่มาก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ตี้จิง ไม่เพียงมีน้ำหนักในเมืองตุงไห่ ยังมีเส้นสายไม่น้อยในเมืองตี้จิงด้วย
ฉีโม่กับหัวหน้าจูผู้นี้ รู้จักกันในงานเลี้ยงธุรกิจ ความสัมพันธ์เป็นเพียงอยากได้อะไรของให้บอก
หลินอิ่งดักรถแท็กซี่ข้างทาง ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ก็มาถึงเขตจงเทียนที่เจริญรุ่งเรือง
โรงแรมจงเทียน ตั้งอยู่กลางศูนย์การค้า เป็นโรงแรมระดับเจ็ดดาวที่มีชื่อเสียงของเขตจงเทียน ตกแต่งอย่างหรูหรา ภายในตัวอาคารเป็นร้านอาหารสถานบันเทิงกว่าสิบชั้น
ใต้โรงแรม เต็มไปด้วยรถแข่งหรูหราจอดเต็มไปหมด ดูก็รู้ว่าคนที่มาไม่ใช่บุคคลธรรมดา ค่าใช้จ่ายของที่นี่ก็นับว่าแพงหูฉี่
“ฉีโม่ มาแล้วเหรอ อุ๊ยตาย ฉันมารอเธอใต้อาคารโดยเฉพาะเลยนะ กลัวเธอจะหาที่ตั้งไม่เจอ”
หลินอิ่งกับจางฉีโม่เพิ่งจะมาถึงประตูทางเข้าโรงแรม ก็มีหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายเครื่องประดับ สวมเครื่องประดับเต็มตัว สวมชุดราตรีสีดำยาว หน้ายิ้มเดินเข้ามา กวักมือมาทางจางฉีโม่
“พี่จู รบกวนพี่แล้ว” จางฉีโม่พูดด้วยความเกรงใจ
“แค่นี้เรื่องเล็ก” จูฟางโบกไม้โบกมือ “ที่สำคัญน่ะ งานกินเลี้ยงคืนนี้เธอต้องแสดงออกให้ดี ดื่มกับคนใหญ่คนโตพวกนั้น เรื่องโปรโมทบริษัทของเธอ ก็จะเป็นแค่เรื่องเล็ก”
“ฉีโม่จ๊ะ ตี้จิงไม่ได้ดีไปกว่าเมืองชิงหยูน กิจการเครื่องประดับของเธอที่เมืองชิงหยูนชื่อเสียงไม่เบา แต่กำลังทรัพย์สินเพียงแค่นั้น ในวงการของที่นี่ถือว่ากระจอกมาก จำไว้ทำตัวลดต่ำให้ไว้” สีหน้าท่าทางจูฟางยะโส พูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน “ตามฉันมาสิ จะพาเธอเปิดโลกทัศน์”