บทที่ 244 เธอพาเศษสวะภาระนี่มาทำไม
“ฉีโม่จ๊ะ ฉันต้องขอเตือนเธอก่อน คนที่มากินเลี้ยงในครั้งนี้ ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในตี้จิงทั้งนั้น ต้องระวังในเรื่องการต้อนรับ” จูฟางเดินไปก็สั่งสอนไป “บริษัทของเธอจะเปิดตลาดที่ตี้จิงได้หรือไม่ ต่อไปต้องดูจากสีหน้าคนพวกนี้แล้ว”
“ค่ะ พี่จู ที่พี่พูดมาทั้งหมดฉันเข้าใจ” จางฉีโม่ตอบด้วยความเกรงใจ
“เข้าใจก็ดี ฉีโม่ มาถึงตี้จิงแล้วน่ะ ต้องเชื่อฟังฉันทุกเรื่อง รับรองว่าจะให้เธอได้เก็บเกี่ยวมหาศาลแน่” จูฟางวางท่าใหญ่โตพูด ราวกับตัวเองเป็นลูกพี่
พูดเสร็จ จูฟางก็เหลือบดูหลินอิ่งกับฮาเดสอย่างไม่ไยดี
“ฉีโม่ สองคนนี้ที่เธอพามาด้วยเป็นใคร?” จูฟางพูดด้วยท่าทางยโส “ถ้าเป็นบอดี้การ์ดกับเลขาฯ ของเธอล่ะก็ ให้พวกเขารออยู่ข้างนอก ไม่ต้องตามมาแล้ว ในงานเลี้ยงไม่ใช่ใครก็จะเข้าไปได้”
จางฉีโม่พูดด้วยหน้าตาจริงจังว่า “พี่จู นี่คือสามีฉันกับบอดี้การ์ด เขาตั้งใจมาเป็นเพื่อนฉัน จะไปร่วมงานกินเลี้ยงกับฉันด้วย ส่วนบอดี้การ์ดคนนั้นฉันจะให้เขารออยู่ข้างนอก”
พอได้ยินสิ่งที่พูด จูฟางก็มองหลินอิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเซอร์ไพรส์ สายตาเหยียดหยามพูดว่า “ฉีโม่ เขาก็คือสามีที่เธอเล่าให้ฟัง หลินอิ่ง?”
จางฉีโม่พยักหน้า ถามด้วยความสงสัย “ค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
เธอค่อยๆ ยอมรับในสถานะของหลินอิ่ง แม้ว่าต่อหน้าคนอื่นก็ให้เกียรติหลินอิ่งเต็มที่ ไม่อย่างนั้น ครั้งนี้คงไม่จงใจให้หลินอิ่งออกมาข้างนอกกับเธอ
“ให้ตาย ฉีโม่ ทำไมเธอถึงพาเศษสวะตัวภาระนี้มาด้วย?” จูฟางพูดขึ้นมาอย่างไม่กระดากปาก ท่าทางเบื่อหน่าย “ครั้งนี้ตั้งใจจะแนะนำเส้นสายให้เธอ เธอพาเศษสวะนี่มา จะไม่ขายหน้าเหรอ?”
“ฉี่โม่ ฉันล่ะยอมใจเธอจริงๆ เมื่อก่อนฉันเคยบอกเธอแล้วไง หลินอิ่งเป็นพวกเศษสวะ ไม่คู่ควรกับเธอ ทำไมยังจะพาเขามาเมืองตี้จิงอีก?” จูฟางพูดจาวิพากษ์วิจารณ์
จูฟางเคยได้ยินคนอื่นพูดว่า หลินอิ่งสามีของจางฉีโม่ เป็นลูกเขยเศษสวะที่ขึ้นชื่อในเมืองชิงหยูน เห็นว่าเป็นเลขาฯ ผู้ช่วยให้จางฉีโม่ ไม่มีความสามารถอะไร เป็นแค่เศษสวะ
ฉะนั้น เธอจึงดูถูกคนพรรค์นี้ เพราะไม่มีเงินไม่มีอำนาจ จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยเสมอตัวกับเธอได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร่วมกินเลี้ยงกับเธอ
พอได้ยิน สีหน้าของจางฉีโม่ก็ไม่สู้ดี
ถือว่าเธอเกรงใจจูฟางเป็นพิเศษ แต่คนผู้นี้ จะยุ่มย่ามมากเกินไปเลย ยุ่งมาถึงเรื่องครอบครัวของเธอ ดูจะเห็นเป็นเรื่องของตัวเองเกินไปแล้ว
โดยเฉพาะ ว่าหลินอิ่งต่อหน้าอย่างนี้ จะกำเริบกันเกินไปแล้วหรือเปล่า?
หลินอิ่งมองดูจูฟางพูดว่า “คุณจะยุ่งมากเกินไปหรือเปล่า?”
“หึ พูดถึงนาย ก็รู้สึกเสียหน้า เสียศักดิ์ศรีสินะ?” จูฟางแสยะยิ้ม ท่าทางเหยียดหยามเป็นที่สุด “ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงมีหน้ามางานใหญ่ในเมืองตี้จิงกับฉีโม่ได้ ช่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง ไม่ส่องกระจกดูตัวเองเสียบ้าง ว่าคู่ควรกับฉีโม่ไหม?”
“อยากให้คนอื่นเคารพนาย? อยากมีเกียรติ? จำไว้ เกียรติของตัวเองต้องคว้าหามาเอง ตัวเองเป็นเศษสวะ ก็อย่าโทษคนอื่นที่เขาดูถูก” จูฟางเสียงเอื่อยเฉื่อย ไม่เห็นหลินอิ่งอยู่ในสายตาเลย
พูดจบ เธอก็มองไปยังฉีโม่ พูดจาสั่งสอนว่า “ฉีโม่ เธอต้องควบคุมหลินอิ่งคนนี้ให้ดีๆ ผู้ชายเศษสวะอย่างนี้ เห็นชัดๆ ว่าเกาะเธอกิน เรื่องไร้อนาคตฉันไม่ว่า แต่ปากดีนี่สิ เธอต้องรู้จักสั่งสอนเขาซะบ้าง!”
จางฉีโม่ขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้ว
เธอก็ไม่ชอบกิริยาท่าทางของจูฟางที่ทำเป็นสูงส่งอย่างนี้
“พี่จู นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน วันนี้พวกเรามาเรื่องงาน คุยเรื่องพวกนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะกระมัง?” จางฉีโม่พูดเสียงแข็ง
“ปัทโธ่ ฉีโม่ นี่ก็เรื่องงานนะ” จูฟางพูดเตือนเป็นยัยแก่ “เธอคิดดู พาคนที่ไม่รู้จักกำลังตัวเอง ไม่เคยเห็นคนในสังคมไปร่วมกินเลี้ยงงานระดับสูงอย่างนี้ จะไม่ทำให้เธออายเหรอ? อีกอย่าง เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงภาพลักษณ์ของแต่ละคนด้วย ผู้ชายเศษสวะอย่างนี้ พูดออกไปก็น่าเกลียด ให้คนอื่นดูถูกเปล่าๆ”
“เอาอย่างนี้ หลินอิ่ง นายไปรออยู่ริมๆ วันนี้ฉันจะแนะนำเส้นสายให้ฉีโม่ นายอย่ามาทำเสียเรื่องให้เธอต้องขายหน้า” จูฟางพูดจาจัดแจง “ไปหาที่ใกล้ๆ แถวนี้รอไป งานอย่างนี้ไม่เหมาะที่นายจะเข้าร่วม”
หลินอิ่งยิ้มอย่างเยือกเย็นเงียบเสียง จูฟางคนนี้คงเห็นตัวเองเป็นลูกพี่ เห็นเขากับฉีโม่เป็นพวกบ้านนอก ต้องฟังเธอจัดแจงไปทุกอย่าง
“พี่จู ในเมื่อยุ่งยากอย่างนี้ พาญาติไปร่วมงานด้วยไม่ได้ อย่างนั้นฉันก็ไม่ไปกินเลี้ยงงานนี้แล้ว” จางฉีโม่พูดตัดบท “ไว้เราค่อยเจอกันในงานเครื่องประดับ งานกินเลี้ยงนี้ไม่ก็ได้”
เธอเป็นคนเรียกให้หลินอิ่งมาตี้จิงเอง แต่ไม่อยากให้หลินอิ่งต้องอึดอัดใจอย่างนี้
พูดเสร็จ จางฉีโม่กับหลินอิ่งเตรียมตัวจะจากไป
“เอะ เดี๋ยวก่อน! ฉีโม่ เธอเป็นอะไรของเธอ” จูฟางกุลีกุจอห้ามไว้ สีหน้าไม่ค่อยเข้าใจ “ทำไมเธอต้องโกรธเพื่อผู้ชายเศษสวะพรรค์นี้ด้วย ไม่คุ้มเลยนะ”
“ก็ได้ ก็ได้ ฉีโม่ เธอก็พาเขาไปร่วมกินเลี้ยงด้วยก็แล้วกัน ฉันช่วยเธอนัดเอาไว้แล้ว เธอไม่ไป ฉันก็ขายหน้าแย่สิ?” จูฟางพูดจาเกลี้ยกล่อม
สำหรับจูฟางแล้ว จางฉีโม่เวลานี้ถือเป็นคลื่นลูกหลังที่เก่งในวงการอัญมณีเมืองตุงไห่ เป็นทรัพยากรสำคัญที่สามารถใช้ประโยชน์ได้มาก ไม่อยากทิ้งไปเปล่าๆ เช่นนี้
แล้วยิ่งไปกว่านี้ แม้ว่าจางฉีโม่จะทำธุรกิจเครื่องประดับในเมืองตุงไห่ได้ดี แต่ยังขาดแคลนทรัพยากรในต่างเมือง ถ้าเธอใช้เส้นสายในเมืองตี้จิง ก็สามารถกอบโกยเงินจากจางฉีโม่ได้ จะพลาดโอกาสหาเงินดีๆ อย่างนี้ไม่ได้
โดยเฉพาะ จางฉีโม่ยังขาดประสบการณ์ในห้างอีกมาก ไร้เดียงสาหลอกง่าย ทำการค้ากับเธอ เอาเปรียบได้ง่ายมาก
เห็นจางฉีโม่ยังไม่แสดงท่าทีอะไร จูฟางก็พูดจาด้วยเสียงอิดออด “ฉีโม่จ๊ะ พี่จูก็แค่ออกตัวแทนเธอ ทนดูผู้ชายเกาะผู้หญิงกินอย่างนี้ไม่ได้ น่าคลื่นไส้จริงๆ ในเมื่อเธอยินดีให้เขาไป อย่างนั้นก็ทำตามเจตนาของเธอก็แล้วกัน ฉันแค่ตั้งใจจะแนะนำเธอกับเพื่อนๆ ตอนนี้เธอไม่ไป ฉันก็เสียหน้าสิจ๊ะ”
สีหน้าของจางฉีโม่ลังเล ครุ่นคิดสักพัก พูดว่า “อย่างนั้นก็ไปกัน”
“โอเค” จูฟางพูดจายิ้มแฉ่ง แล้วก็เดินนำทาง
ไม่นาน ทุกคนก็เดินมาถึงหอประชุมใหญ่โรงแรมที่ดูเจิดจรัส เดินตามบันไดที่ตกแต่งสไตล์ย้อนยุคไปยังห้องVIPที่อยู่ชั้นสาม
“หลินอิ่ง ฉันว่าเธอคงต้องยอมแพ้ คนในงานเลี้ยงไม่ใช้มหาเศรษฐีของตี้จิงก็เป็นลูกหลานข้าราชการใหญ่ นายไม่มีคุณสมบัติที่จะทัดเทียมกับเขาได้ มาแล้ว ก็นั่งเจียมตัวให้ดี อย่าก่อเรื่องให้ฉัน ได้ยินไหม?”
พอมาถึงหน้าห้องVIP จูฟางกระซิบข้างๆ หลินอิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
หลินอิ่งยิ้มเงียบ ขี้เกียจพูด
เปิดประใหญ่ออก ในห้องVIPเรียงรายไปด้วยสุราชั้นดี ที่นั่งอาหาร ดูหรูหราไปหมด มีชายหญิงบางส่วนเข้านั่งประจำที่ ล้วนเป็นหนุ่มสาวที่แต่งตัวไม่ธรรมดา
“พี่จู มาแล้วเหรอ? คนข้างๆ คุณ เป็นคนที่คุณเคยแนะนำว่า มีชื่อเสียงในวงการเครื่องประดับเมืองตุงไห่ จางฉีโม่สินะ?”