บทที่ 246 นี่คงเห็นแก่หน้าคุณชายสวีแน่
“ท่านอิ่ง ท่านมาถึงเมืองตี้จิงแล้วหรือยัง? ผมได้จัดโต๊ะรับรองที่อาคารเจ๋อเฉิงเอาไว้ เตรียมการต้อนรับท่าน” สายอีกฝั่ง เป็นเสียงที่นอบน้อมของหยูจื๋อเฉิง
“ฉันมาถึงตี้จิงแล้ว” หลินอิ่งกล่าว “ตอนนี้อยู่ที่งานเลี้ยงงานหนึ่ง อีกเดี๋ยวค่อยเข้าไปหานาย”
“ท่านมาถึงแล้วหรือ?” หยูจื๋อเฉิงถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านอยู่ไหน มีอะไรจะสั่งให้ผมไปทำไหมขอรับ?”
พอได้ยินหลินอิ่งบอกว่าอยู่ที่งานเลี้ยง ในใจของหยูจื๋อเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจพลางร้อนใจ
ว่าตามหลักการ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนของท่านอิ่งในเมืองตี้จิง ท่านอิ่งกลับถึงเมืองตี้จิงแต่กลับไม่ให้เขาไปรับ แต่กลับไปปรากฏตัวที่งานกินเลี้ยงงานอื่น
จึงทำให้หยูจื๋อเฉิงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย หรือว่ามีงานบางอย่างทำไม่เรียบร้อย จึงไม่ไว้วางใจแล้ว?
“ฉันอยู่ที่โรงแรมจงเทียน” หลินอิ่งตอบ
“โรงแรมจงเทียน?” หยูจื๋อเฉิงรู้สึกประหลาดใจ “ท่านอิ่ง ท่านไปที่นั่นทำไม นั่นเป็นกิจการภายใต้เจ๋อเฉิงกรุ๊ป ถ้าอย่างไร ผมไปหาท่านเพื่อรายงานสถานการณ์ก็แล้วกัน”
โรงแรมจงเทียน เรียกได้ว่าเป็นกิจการที่หยูจื๋อเฉิงสร้างขึ้นมากับมือ ก่อนที่จะช่วยหลินอิ่งจัดการทรัพย์สินของตระกูลฉี ที่นี่เป็นกิจการบันเทิงที่สำคัญของเขา เป็นถุงเงิน
หลินอิ่งคิดสักพักพูดว่า “ก็ดี พอนายมาถึงโรงแรมจงเทียน จัดห้องทำงานไว้รอฉันที”
เพิ่งจะวางสายไป สวีเหอก็หัวเราะอย่างเย็นชา อดที่จะประชดขึ้นมาไม่ได้
“โอ้โฮ เสแสร้งเหรอ? จัดห้องทำงานในโรงแรมจงเทียนให้นาย? นายเห็นตัวเองเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งเหรอ?” สวีเหอแสยะยิ้ม ส่ายหน้าพูด
“นั่นสิ อวดเบ่งจริงๆ โม้เก่งมาก เอะอะให้จัดห้องทำงานในโรงแรมจงเทียน นายรู้ไหมว่าที่นี่เป็นโรงแรมระดับกี่ดาว รู้ไหมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังโรงแรมจงเทียนน่ะใหญ่แค่ไหน?”
“ช่างน่าขำสิ้นดี ไอ้บ้านนอกที่มาจากต่างเมือง ทำเป็นโม้ใหญ่โตต่อหน้าเรา แล้วก็ไม่รู้สึกละอายใจ”
ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่กี่คนต่างประชดกันขึ้นมาก ที่หลินอิ่งพูดออกมามันช่างน่าขำสิ้นดี
ถูกคุณชายสวีแฉให้แล้ว แค่ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินเป็นเลขาฯ ผู้ช่วยให้เมียตัวเอง แล้วยังมาจากบ้านนอกอีกด้วย
นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเป็นโทรศัพท์ให้คนอื่นจัดห้องทำงานให้ แล้วก็เป็นในโรงแรมจงเทียนด้วย อย่างนี้ขี้โม้จริงๆ เลย
“ปัทโธ่ ฉีโม่ ฉันบอกแล้วไง ว่าอย่าพาเศษสวะนี่มาด้วย ดูสิ มีแต่ทำเธอขายหน้าผู้คน” จูฟางมองไปยังหลินอิ่ง พูดด้วยท่าทางเหยียดหยาม “ขอร้องล่ะ ถ้าอยากจะโม้ ก็ช่วยเข้าใจระดับของโรงแรมจงเทียนด้วย ไม่ดูซะบ้างว่าคนที่นั่งอยู่เป็นคนแบบไหน นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเรื่องน่าขำอย่างนี้”
พูดเล่นอะไรกัน โรงแรมจงเทียน นั่นเป็นโรงแรมระดับสูงในเขตจงเทียนเมืองตี้จิงเลยยนะ เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เป็นหลุมเงินหลุมทอง ข้าวมื้อหนึ่ง อย่างน้อยต้องหลักแสน พวกพนักงานออฟฟิศธรรมดาจะมาใช้จ่ายที่นี่ไม่มีหรอก
ในเขตจงเทียนมีใครบ้างไม่รู้ว่า โรงแรมจงเทียนเป็นแลนด์มาร์ค เป็นสโมสรของแวดวงคนมีชื่อเสียง คนที่มาที่นี่ไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูงก็เป็นลูกหลานมหาเศรษฐี ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาทั้งสิ้น
ที่สำคัญที่สุดคือ โรงแรมจงเทียน เป็นเขตอิทธิพลสีเทาหลักของเขตจงเทียน เป็นกิจการภายใต้ลูกพี่ใหญ่หยูจื๋อเฉิง และเป็นฐานสำคัญใหญ่ของเขา
ไม่ว่าจะอาชีพไหน บุคคลแบบไหน ก็ไม่กล้ามาโอหังที่โรงแรมจงเทียน
โดยเฉพาะ หยูจื๋อเฉิงในตอนนี้ เป็นตัวแทนออกนอกหน้าของตระกูลฉีหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีของตี้จิง
พูดอีกนัยคือ โรงแรมจงเทียนเป็นกิจการของตระกูลฉีแห่งตี้จิง ใครกล้าไม่รู้จักที่ตายไปล่วงเกินตระกูลฉีที่เฉิดฉายดั่งพระอาทิตย์ในตี้จิงได้?
“หลินอิ่ง ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ? ถูกเปิดโปงจนละอายใจล่ะสิ?” สวีเหอแสยะยิ้มพูด ทำท่าทางดูถูก
หลินอิ่งไม่ได้สนใจคำถากถางของคนพวกนี้ มองดูสวีเหออย่างเมินเฉย
ระดับของโรงแรมจงเทียนนั้นสูงมาก แต่จากศักยภาพของหยูจื๋อเฉิงแล้ว การมีโรงแรมขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แล้วก็เป็นแกนนำอิทธิพลสีเทาของศูนย์กลางเมืองตี้จิง ไม่ได้เป็นกุ๊ยข้างถนนที่ไหน
“หลินอิ่ง เอ่อ……” จางฉีโม่เป็นกังวลขึ้นมา เธอได้ยินที่จูฟางแนะนำ คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองตี้จิง โดยเฉพาะสวีเหอคนนี้ เป็นถึงคนตระกูลสวีหนึ่งในห้าตระกูลมหาเศรษฐีของตี้จิงเลย
แค่คิดก็รู้แล้วว่า ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทั้งนั้น
จางฉีโม่ได้กลัวว่าจะเสียธุรกิจเครื่องประดับของเธอ แต่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของหลินอิ่ง อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองตี้จิง เป็นถิ่นของคนอื่น
ก่อนหน้าเธอได้รู้แล้วว่าหลินอิ่งเป็นคนมีศักยภาพ แต่ว่า นั่นเกิดขึ้นที่เมืองตุงไห่ แต่ตอนนี้อยู่ที่เมืองตี้จิง เมืองหลวงของประเทศหลุง อยู่ต่างเมืองไม่ว่าจะมีเงินหรือมีอิทธิพลมากแค่ไหน พอมาเมืองตี้จิง สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เพียงพอหรอก
“ฉี่โม่ คุณเป็นแขกที่ผมเชิญมา วางใจเถอะ เห็นแก่หน้าคุณ ผมจะไม่ให้ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินคนนี้ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก” สวีเหอพูดด้วยท่าทางได้ใจ “เอาอย่างนี้ คุณให้เขาไปเสิร์ฟน้ำชงชา ยกเหล้าคารวะเพื่อนๆ ในโต๊ะนี้ ก็ถือว่าจบกัน”
“นั่นสิ ฉีโม่ ดูคุณชายสวีสิว่าใจกว้างแค่ไหน อย่างนี้สิถึงเป็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมจากการเลี้ยงดูของตระกูลเศรษฐี” จูฟางพูดจาประจบประแจง “อย่างหลินอิ่ง ไม่มีอะไรดีเลย คุณชายสวีใจกว้างอภัยให้เขา ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก?”
สวีเหอมองไปยังหลินอิ่ง สายตาเย่อหยิ่ง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “นายหูหนวกหรือว่าเป็นอะไรไป? สั่งให้นายลุกขึ้น ไม่ยอมอย่างนั้นเหรอ?”
เขาไม่เข้าใจ บ้านนอกเข้ากรุง ทำไมถึงยังทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลได้? ผู้ชายที่อาศัยภรรยาเป็นเลขาฯ ทำมาหากิน แล้วยังจะมากระโดดโลดเต้นต่อหน้าเขา?
บอกตามตรง ถ้าไม่เห็นแก่ความงามของจางฉีโม่ ที่อยากจะยึดครอง เขาคงให้คนไล่ผัวเมียคู่นี้ออกจากโรงแรมจงเทียนไปนานแล้ว
ก๊อก! ก๊อก!
ในเวลานี้เอง มีคนมาเคาะประตูนอกห้องVIP ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดทักซิโด้เดินเข้ามา
“สวัสดีทุกท่าน ผมเป็นผู้จัดการโซนภัตตาคารของโรงแรมจงเทียน ผู้จัดการใหญ่ถังของเรา ให้ผมนำไวน์สองขวดนี้มาให้คุณชายอิ่ง ขอให้คุณชายอิ่งมีความสุขในการรับประทานอาหาร” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ่ม ข้างกายมีบริกรสาวคนหนึ่งเข็นรถอาหารที่เป็นคริสทัลตามมาด้วย
พูดจบ ชายวัยกลางคนก็โค้งคารวะ ให้บริกรสาวมอบไวน์สองขวดให้ จากนั้นก็คารวะแล้วไปจากห้องVIP
“นี่มัน….? โรมาเน กงติสองขวด? ปี 1971เสียด้วย เป็นปีที่ดีที่สุด แล้วยังเป็นไวน์ระดับพรีเมียมที่ผลิตจำนวนจำกัด ทั่วโลกมีเหลือไม่กี่ขวด ถึงกับมอบให้เปล่าๆ ให้เกียรติกันมากเกินไปแล้ว!” ผู้อำนวยการหลี่แห่งสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ มองดูไวน์สุดหรูที่ส่งมา อุทานเสียงจึ๊ๆ ออกมา ให้รู้ว่าเป็นคนรู้จักของ
ในฐานะคนที่อยู่ในวงการคนมีชื่อเสียง คนที่อยู่ในงานพอจะรู้จักบ้าง พอได้ยินก็รู้ประวัติของเหล้านี้ เป็นเหล้าประมูลอย่างหนึ่ง ราคาหลักแสนขึ้น
กล่าวว่าหลักแสนอาจจะไม่เพียงพอ แต่นี่โรงแรมจงเทียนให้เกียรติ มอบให้เปล่าๆ เรียกว่าเป็นความเพลิดเพลินที่ทรงเกียรติมาก!
“เมื่อสักครู่ผู้จัดการบอกว่ามอบให้คุณชายอะไรนะ? ทำไมฉันถึงฟังไม่ชัดเจน?”
“ยังต้องให้บอกอีกเหรอ? ในงานยังมีใครที่สมเกียรติกว่าคุณสวีอีก? ต้องเห็นแก่หน้าคุณชายสวีแน่ ที่เอาเหล้ามาให้”