บทที่ 269 คนตระกูลจ้าวเก่ง?
หลินอิ่งสีหนาไร้ความรู้สึก มองจ้าวเจี้ยนหนิงแวบหนึ่ง
จ้าวเจี้ยนหนิงใช้สายตาอวดดีถึงขีดสุดสบตากับหลินอิ่ง สลัดข้อมือไปมา เผยนาฬิกาข้อมือยี่ห้อวาเชอรอง คองสตองแตงราคาสิบล้านรุ่นลิมิเต็ดเรือนหนึ่งออกมา ทำท่าทางเพ่งดูเวลา
“นิ่งซวน เวลาที่ฉันกับเพื่อนนัดกันใกล้จะถึงแล้ว” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวเนิบๆ “ฉันให้เวลาแกหนึ่งนาที รีบพาคนบ้านนอกที่แกนัดมาที่นี่ไปจากร้านน้ำชา อย่าทำให้เรื่องของฉันล่าช้า ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด”
นิ่งซวนแววตาโกรธขึ้ง ไม่สนใจท่าทางอวดดีของจ้าวเจี้ยนหนิง มองไปที่หลินอิ่ง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ประธานหลิน ตรงนี้เป็นที่นั่งที่ผมจองไว้ให้คุณ แต่ว่า มีคนตาไร้แววบางคนคิดจะแย่งมันไป”
หลินอิ่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
ที่นั่งที่เป็นของเขา เหมือนว่าจะถูกคนแย่งไปแล้ว
“นิ่งซวน ฉันไว้หน้าแกแล้วแกไม่ต้องการสินะ? คนตาไร้แวว? ช่างกล้าดีเหลือเกินนะ!” จ้าวเจี้ยนหนิงมองนิ่งซวนด้วยสายตาเย็นชา เปิดปากบริพาทยกใหญ่ “ฉันว่าหมาจรจัดอย่างแกคิดจะรนหาที่ตายสินะ?”
“ฮ่าๆ นิ่งซวน นายเองก็ไม่ดูเลยว่าตอนนี้นายมันน่าเวทนาแค่ไหน? ยังกล้าอวดดีต่อหน้าคุณชายจ้าวอีก?” ผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างเหยียดหยาม
“ฮึๆ ช่างน่าหัวเราะจริงๆ คุณชายสี่ตระกูลนิ่งอันยิ่งใหญ่ ถึงกับตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้? เรียกคนที่ท่าทางมอซอคนหนึ่งว่าคนใหญ่คนโต แถมยังเคารพขนาดนั้น?” ผู้ติดตามอีกคนเยาะเย้ยถากถาง
ในมุมมองคนกลุ่มนี้ของจ้าวเจี้ยนหนิง นิ่งซวนก็คือคนป่วยที่ควรรีบไปพบแพทย์ พออับจนหนทาง ได้พบคนคนหนึ่งเข้า ก็บูชาราวกับเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นดาวนำโชคขนาดใหญ่
คนแซ่หลอนคนนี้ ใครมองไม่ออกบ้างว่ามีกี่ชั่งกี่ตำลึง?
สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวราวกับยังเรียนหนังสืออยู่มัธยมปลาย บอดี้การ์ดชาวต่างชาติที่ตามอยู่ด้านหลังก็เหมือนคนทึ่มทื่อไม่ขยับเขยื้อน
หน้าผากนิ่งซวนมีเหงื่อซึมออกมา มองหลินอิ่งอย่างระมัดระวัง หลินอิ่งสีหน้าสงบนิ่ง ความรู้สึกที่ลึกซึ้งยากคาดเดาส่งมาถึงเขา
จะว่าไปแล้ว กระทั่งเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานะความเป็นมาที่แท้จริงของหลินอิ่งเท่าไหร่นัก รู้แต่ว่าประธานหลินเป็นยอดฝีมือที่ไม่ปรากฏที่ไหนบนโลก มีสถานะสูงศักดิ์ของผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง อีกทั้งตอนนั้นเขาเคยถามต่อหน้านายท่านนิ่งไท่จี๋ กระทั่งนายท่านตระกูลนิ่งก็ยังตอบอย่างเลี่ยงๆ ไม่ยอมเอ่ยอะไรมาก
แล้วจ้าวเจี้ยนหนิง ถึงกับกล้าคิดไปเองแล้วด่าประจานต่อหน้าประธานหลิน?
หากจ้าวเจี้ยนหนิงรู้ว่าที่ด่าอยู่ตรงหน้านี้คือผู้อาวุโสของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง เกรงว่าเขาคงแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักสองที ณ ที่ตรงนั้นเลย
ประธานหลินทำอะไรยังคงเงียบเชียบเกินไป ผู้อื่นล้วนมองเงื่อนงำไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“นิ่งซวน วันนี้เดิมทีฉันแค่ต้องการให้แกสละที่นั่งเท่านั้น แต่ว่า แกถึงกับกล้าอวดดีขนาดนี้” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวช้าๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฉันคงได้แต่ใช้วิธีการบางอย่างแล้ว”
พูดจบ จ้าวเจี้ยนหนิงก็ดีดนิ้ว
“จับตัวนิ่งซวนให้ฉัน”
เวลานี้ ที่ด้านหลังจ้าวเจี้ยนหนิงมีรปภ.สองคนรีบเดินเข้ามา มองนิ่งซวนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“คุณนิ่ง ขอเชิญคุณรีบออกไปจากร้านน้ำชาซินสุย ที่นั่งตรงนี้มอบให้แก่คุณจ้าวแล้ว” รปภ.ในชุดสูทกล่าวอย่างจริงจัง
“นี่พวกคุณหมายความว่ายังไง?” นิ่งซวนมองเหล่าพนักงานด้วยสายตาเย็นชา
คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พนักงานในร้านน้ำชาซินสุย จะถึงกับกล้ารังแกเขาอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ กระทั่งความเห็นเขาก็ไม่ถามสักคำ
ก่อนหน้านี้ก็จองที่นั่งไว้ตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนปรับเปลี่ยนเพียงแค่ประโยคเดียว เขานิ่งซวนกระทั่งหน้าตาก็ไม่เหลือแล้ว?
“นี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ย่อมเป็นการดูถูกแกไงเล่า” จ้าวเจี้ยนหนิงทำท่าทางครุ่นคิดพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า” ฉันว่านะ นิ่งซวน นายก็อย่าอยู่ให้ขายหน้าอีกเลย ตัวนายเองไม่กลัวขายหน้า ในฐานะคนตระกูลนิ่งเหมือนกัน ฉันยังขายหน้าแทนเลย
“เอาล่ะ นิ่งซวน นายก็อย่าก่อความวุ่นวายในร้านน้ำชาผู้อื่นเลย รีบพาคนบ้านนอกคนนี้ไสหัวไปโดยเร็วเถอะ ฉันจะได้ไม่เห็นแล้วหงุดหงิด” จ้าวเจี้ยนหนิงใช้น้ำเสียงเทศนาพูดขึ้นมา
“ที่นั่งที่นิ่งซวนจอง แกมีสิทธิ์อะไรมานั่ง?” หลินอิ่งมองจ้าวเจี้ยนหนิง กล่าวเสียงเรียบ
ตอนที่เข้ามาในร้านน้ำชา หลินอิ่งก็มองท่าทีของนิ่งซวนกับอูหยาง และท่าทางอวดดีของคนแซ่จ้าว ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว
ช่างเหนือความคาดหมายโดยแท้ คิดไม่ถึงว่านิ่งซวนอยู่ตี้จิงจะได้รับความลำบากขนาดนี้ กระทั่งออกมาดื่มชาก็ยังถูกคนกลั่นแกล้ง
อีกทั้ง นิสัยของนิ่งซวนกับอูหยางเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีราศีเหมือนในอดีตอีกแล้ว สามารถมองออกจากในดวงตาห่อเหี่ยวว่าแรงกดดันที่พวกเขาแบกรับมันมากมายขนาดไหน
“ฉันมีสิทธิ์อะไรมานั่ง?” บนหน้าจ้าวเจี้ยนหนิงเต็มไปด้วยความสนใจ ดวงตาพิจารณาหลินอิ่งใหม่อีกครั้งอย่างครุ่นคิด “ท่าทางการพูดของแกไม่เบาเลย? รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
“แกเป็นใครเกี่ยวอะไรกับฉัน” หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ “แกต้องเข้าใจด้วยว่า นี่ไม่ใช่ที่นั่งของแก”
“ไอหยา ท่าทางปากดีเหลือเกินนะ” มุมปากจ้าวเจี้ยนหนิงเผยรอยยิ้มเหยียดหยามออกมา กล่าวเสียงเย็นว่า “กูอยากนั่งตรงไหน มึงยุ่งได้เหรอ? นั่งที่ของมึง มึงไม่ยอมใช่ไหม?”
พูดจบ จ้าวเจี้ยนหนิงก็เดินอาดๆ ยกชากาหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ จากนั้นก็รินให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จิบด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“จุ๊ๆ ชานี่เป็นชาหางมังกรสินะ และยังนานหลายปีด้วย นิ่งซวน ของล้ำค่าพวกนี้ แกใช้มาต้อนรับคนบ้านนอกเช่นนี้ ช่างสิ้นเปลืองจริงๆ” จ้าวเจี้ยนหนิงจิบชาอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำท่าทางราวกับพูดเรื่องสำคัญอยู่
เห็นภาพนี้ นิ่งซวนมุมปากกระตุก ชาหางมังกรกานี้บนโต๊ะ เป็นใบชาล้ำค่าที่เขาเก็บรักษามาหลายปี ครั้งนี้ตั้งใจจะเอามาต้อนรับประธานหลิน ใบชาชั้นยอดเช่นนี้มีความพิถีพิถันมาก ก่อนที่จะดื่มจำเป็นต้องมีเทคนิค คิดไม่ถึงว่าจะถูกจ้าวเจี้ยนหนิงจะทำส่งๆ ตามอำเภอใจเช่นนี้ ทำให้เสียชาดีกาหนึ่งอย่างเปล่าๆ
จ้าวเจี้ยนหนิงมองหลินอิ่งอย่างชะล่าใจ กล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ไอ้โง่อย่างแก ยังจะยืนทำซากอยู่ทำไมอีก? รีบพาคนของแกไสหัวไปซะ รีบไปให้พ้นสายตาฉัน!”
“ลืมบอกมึงไป กูแซ่จ้าว ชื่อจ้าวเจี้ยนหนิง เป็นคนของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส “นิ่งซวนบอกว่าแกเป็นคนใหญ่คนโต? ฮ่าๆ บางทีแกอาจจะมีเงินนิดหน่อยสินะ แต่ ทางที่ดีถามดูก่อนว่า แซ่จ้าวในตี้จิงมีความเป็นมายังไง”
หลินอิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย เขาย่อมรู้จักตระกูลจ้าว นี่ก็คือตระกูลชั้นสูงของประเทศหลงที่นั่งเทียบเคียงกับตระกูลฉี ตระกูลที่มีที่มาค่อนข้างลึกซึ้ง เพียงแต่ อุปนิสัยของตระกูลนี้ทั้งบนและล่าง ค่อนข้างใช้อำนาจบาตรใหญ่และยโสโอหัง ท่าทางคล้ายงูเจ้าถิ่นของตี้จิง
หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ “แกเป็นคนตระกูลจ้าวแล้วยังไง? “
“คนตระกูลจ้าวย่อมเก่งน่ะสิ! ” จ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างทะนงตัว เหลือบมองหลินอิ่ง “นั่งที่แกเลยไม่พอใจใช่ไหม? อย่าว่าแต่ฉันจะนั่งที่ของแกเลย ต่อให้ฉันนั่งขี้บนหัวแก แกจะทำอะไรฉันได้ล่ะ?”
หลินอิ่งสีหน้าสงบนิ่ง เหลือบมองฮาเดสที่อยู่ข้างกาย
ฮาเดสเดินขึ้นหน้าไปสองก้าวด้วยท่าทางเฉยเมย หยุดอยู่ข้างโต๊ะชา จากนั้นก็มองลงมา จ้องจ้าวเจี้ยนหนิงอย่างเย็นชา กล่าวเสียงขรึมว่า “ลุกขึ้น! รีบไสหัวออกไปจากที่นี่!”