แพร้ง
แก้วน้ำชาในมือจี้ฉงซาน ขว้างทิ้งไปบนพื้น น้ำชากระเด็น
จี้ฉงซานเหงื่อท่วมหัว เหงื่อเต็มมือ มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ อยู่ในอาการหวาดผวา ในใจต้องแบกรับกับความกดดันมหาศาล
หลายวันนี้มา เพราะว่าหลินอิ่ง จี้ฉงซานนอนไม่หลับ ความเครียดและความกดดันเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล จนถึงวันนี้ต้องทนไม่ไหวแล้ว อำนาจที่สั่งสมมาหลายสิบปี ก็นั่งไม่อยู่แล้ว
หลินอิ่งคนนี้ แข็งแกร่งใหญ่โตเกินไป
“คุณท่านจี้ คุณ คุณ ไม่อย่างนั้นก็ฟังคำแนะนำของตระกูลพอร์ตเล็ตก่อน ถอนตัวออกจากเมืองก่าง ไปอยู่เมืองนอกก่อน” พ่อบ้านเห็นจี้ฉงซานควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แบบนี้ ก็พูดจาปลอบ “ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา”
“ไม่ ฉันจะไปจากเมืองก่างไม่ได้”
จี้ฉงซานตะโกนอย่างโมโหจนเส้นเลือดโผล่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เมืองก่าง เป็นรากฐานที่เขาบริหารมานานหลายสิบปี
เป็นดินแดนรากฐานธุรกิจของตระกูลจี้
ถ้าหากต้องทิ้งธุรกิจในเมืองก่างไป หนีไปต่างประเทศ ถ้าเช่นนั้นเขาจี้ฉงซาน ก็เหมือนดั่งคนไร้บ้านไร้หนทาง
ตระกูลพอร์ตเล็ตที่เป็นตระกูลในโลกมืด เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บคนไร้ประโยชน์ไว้แน่นอน
จี้ฉงซานรู้ดี ที่เขาสามารถร่วมมือกับตระกูลอันดับหนึ่งในโลกมืดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะว่าในเมืองก่างมีเงื่อนไขข้อได้เปรียบที่ดี มีอำนาจผลกระทบที่คนอื่นเทียบไม่ได้ ควบคุมระบบการเงินของเมืองแห่งตลาดหลักทรัพย์สากลแห่งนี้
สูญเสียของพวกนี้ไป
เขาจี้ฉงซาน เขาจี้ฉงซานยังมีสิทธิ์อะไรไปเจรจาการร่วมงานกับตระกูลพอร์ตเล็ตอีก?
“แต่ว่า คุณท่านจี้ ท่านอยู่ในเมืองก่าง สูญเสียเครือข่ายข่าวกรองไปแล้ว ไม่มีอำนาจมืดใดๆให้ใช้แล้ว” พ่อบ้านพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ท่านก็ไม่มีโอกาสในการกลับมาอีกแล้ว ส่วนทางด้านหลินอิ่ง ตามโจมตีท่านไม่หยุด ถ้าให้เขาหามาถึงเกาะแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็จบสิ้นทุกอย่างแล้ว”
“หุบปาก ฉัน ฉันไม่มีวันแพ้หลินอิ่งแน่” จี้ฉงซานพูดอย่างลังเล ไม่มีความมั่นใจเต็มที่ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
“จี้ฝู ฉันขอถามหน่อย ทุกวันนี้ในตัวเมืองก่าง สถานการณ์เป็นยังไง?” จี้ฉงซานพยายามสงบสติอารมณ์ พูดอย่างจริงจัง “สถานการณ์การบริหารของบริษัทวั่นซานเป็นยังไงบ้าง? หุ้นเป็นยังไงบ้าง?”
จี้ฝูสีหน้าหม่นหมอง พูดว่า “คุณท่านจี้ สถานการณ์ในเมืองก่างไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังคงเหมือนเดิม ถูกการโจมตีด้านการเงินจากหลินซื่ออย่างบ้าคลั่ง ในตลาดหุ้นทรุดตัวและระงับการซื้อขายไปแล้ว”
“หลินอิ่ง ครอบครองสิทธิ์ในสมาคมธุรกิจเมืองก่าง ล้มอำนาจเด็ดขาดของท่านในสมาคมธุรกิจเมืองก่าง และยังทำให้พวกนักธุรกิจและเหล่าตระกูลต่างๆที่ท่านเคยกดขี่ รวมตัวกันใหม่ขึ้นมาต่อต้านท่าน” จี้ฝูพูดอย่างเชื่องช้า “ไม่มีการควบคุมวงการธุรกิจโดยสมาคมธุรกิจ ผลกระทบต่อแวดวงธุรกิจของบริษัทก็ลดลงกว่าครึ่ง”
“อีกอย่าง บวกกับเทพบันทึกสารคดีที่หลินอิ่งเอาออกมา เปิดเผยเรื่องราวของท่าน ทางด้านสงครามสื่อมวลชน พวกเราพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ชื่อเสียงของบริษัท ชื่อเสียงของท่านเอง ตกต่ำถึงที่สุด”
“ตระกูลจี้สูญเสียความเชื่อถือในเมืองก่าง นี่เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวที่สุด”
“เมื่อวาน ทางกรมกฎหมายยังส่งหมายเรียกให้ท่านแล้ว บอกว่าท่านทำผิดเรื่องใหญ่ ถูกทั้งเมืองก่างฟ้องร้อง ให้เวลาท่านสามวัน เตรียมทนายให้พร้อม แล้วไปที่กรมกฎหมาย ถ้าหากไม่ไปตามหมายเรียก ก็จะออกหมายจับทันที”
จี้ฝูรายงานข่าวสารที่ไม่ดีกับจี้ฉงซานไปด้วยเหงื่อท่วมหัว พูดไปด้วยเสียงสั่น
ใช่แล้ว สถานการณ์เมืองก่างไปถึงขั้นที่ไม่อาจควบคุมได้แล้ว
ตระกูลจี้พ่ายแพ้อย่างราบคาบในทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะในที่แจ้ง หรือว่าในที่ลับ
ต่างก็สู้หลินอิ่งไม่ได้
ไร้สิ้นหนทาง
นี่เป็นคำประเมินที่เหมาะสมที่สุด สำหรับตำนานแห่งเมืองก่างอย่างจี้ฉงซานท่านนี้
“ฉัน มาถึงจุดนี้ได้ยังไง……” จี้ฉงซานยื่นมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก น้ำเสียงสั่นเครือ
อาณาจักรธุรกิจของจี้ฉงซานในเมืองก่าง ถูกหลินอิ่งกดดันจนหายใจไม่ออก เหมือนถูกยิงจนทะลุ พร้อมร่วงตลอดเวลา
พูดได้ว่า ไม่ถึงสิบวัน ตระกูลจี้ต้องประกาศล้มละลาย
นี่เป็นผลลัพธ์ที่จี้ฉงซานไม่เคยคิดถึงเลย
ตอนแรกคิดว่าอยากล่อหลินอิ่งซึ่งเป็นคนนอกให้เข้ามาที่เมืองก่าง ก็เหมือนกับกับกบในโอ่ง จะทำอะไรหลินอิ่งก็ได้
แต่คิดไม่ถึงแม้แต่น้อย ว่าหลินอิ่งไม่ใช่กบ แต่เป็นมังกรที่แท้จริง
มังกรพ่นลมหายใจ นั่นก็หมายความว่าทั่วเมืองก่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล น้ำทะเลไหลทวน
จนถึงวันนี้วินาทีนี้ ในใจจี้ฉงซาน ถึงรู้สึกเสียใจ
ทำไมตอนแรกถึงได้ดูถูกหลินอิ่ง?
ทำไมถึงไปจับลูกน้องของหลินอิ่ง ทำไมถึงต้องไปหาเรื่องเทวดาอย่างหลินอิ่ง?
“จี้ฝู จี้ฝู เอามือถือเข้ารหัสของฉันมา……” จี้ฉงซานพูดด้วยเสียงสั่น
จี้ฝูสีหน้าเคร่งเครียด พยุงตัวจี้ฉงซาน ยื่นมือถือมาให้
ติ๊ดติ๊ดติ๊ด
จี้ฉงซานรีบกดเบอร์โทรออก
“นายหญิงเหวิน ทางด้านท่านมังกรดำ ยังไม่เตรียมตัวลงมืออีกเหรอ?” จี้ฉงซานถามอย่างใจร้อน “ทางด้านตระกูลพอร์ตเล็ตก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว สถานการณ์ในเมืองก่าง ผมหมดหนทางแล้ว”
“คุณท่านจี้ คุณทำให้นายท่านผิดหวังมาก” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงอันเย็นชาของเหวินเทียนเฟิ่ง “เผชิญหน้ากับหลินอิ่งที่เมืองก่าง คุณยังไม่สามารถบีบเอาไพ่เขาออกมาไม่ได้ นายท่านเขาสงสัยในความสามารถของคุณ”
“นายหญิงเหวิน คุณหมายความว่ายังไง?” จี้ฉงซานพูดเสียงเคร่งขรึม “ผมช่วยนายท่านทำงาน ใช้อำนาจทั้งหมด จนทุกวันนี้ สู้รบกับหลินอิ่งจนหมดหนทางแล้ว แม้แต่ชื่อเสียงของตระกูลจี้ในเมืองก่างก็เน่าเหม็นหมดแล้ว บริษัทจะล้มละลายแล้ว คุณยังพูดจาเย็นชาแบบนี้อีก?”
“ฉันพูดจาเย็นชา? คุณท่านจี้? ความสามารถคุณสู้คนอื่นไม่ได้ สู้หลินอิ่งไม่ได้ ยังอยากพรานโกรธฉันอีก? เสียดายที่คุณยังมีอายุถึงปูนนี้ ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองก่าง อยู่ในถิ่นในบ้านของตัวเองในเมืองก่าง กลับทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้” เหวินเทียนเฟิ่งพูดจาโมโหที่เขาทำอะไรไม่ได้เรื่อง
จี้ฉงซานหายใจหอบ โมโหอย่างหนัก
“พอแล้ว คุณไม่ต้องอารมณ์เสียแล้ว นายท่านเขาเตรียมการไว้แล้ว คุณถอนตัวจากเมืองก่างก่อน กลับไปอยู่เมืองนอกก่อน” เหวินเทียนเฟิ่งพูด “ธุรกิจรากฐานของคุณในเมืองก่าง เมื่อเทียบกับแผนการใหญ่ของนายท่าน เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยมาก”
“ทำตามคำสั่งของนายท่าน ในอนาคต จะเอาทุกอย่างในเมืองก่างกลับมาได้ ไม่แค่เอาของที่เป็นของคุณกลับมาได้ ยังได้มากกว่าเดิมอีก” เหวินเทียนเฟิ่งพูดเสียงเรียบ
“ผมจะทิ้งเมืองก่างไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะถอนตัวกลับต่างประเทศ” จี้ฉงซานพูดอย่างโมโห
ในใจจี้ฉงซานรู้ดี ถ้าตัวเองต้องถอนตัวไปต่างประเทศ นั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แม้แต่นายท่านมังกรดำ ก็จะสละเขาทิ้งแน่นอน
“ถ้าหากคุณไม่ยอมฟังคำสั่งของนายท่าน คุณก็รอตายอยู่ที่เมืองก่างละกัน” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างเย็นชา
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จำไว้ อย่าเปิดโปงความลับของนายท่าน มิฉะนั้น คนที่ต้องตาย จะไม่ใช่คุณคนเดียว” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างเย็นชา “คุณต้องเข้าใจ ครอบครัวของคุณ ลูกชายทั้งหลายของคุณ ยังใช้ชีวิตอย่างดีในต่างประเทศ”