ภายในคฤหาสน์ของหลินอิ่ง
ในห้องรับแขก บนโต๊ะอาหารจัดอาหารไว้หนึ่งโต๊ะ
จางซิ่วเฟิง ลู่หย่าฮุ่ย จางฉีโม่ นั่งกันรอบโต๊ะทั้งสามคน
ส่วนหลี่ผู ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าเคร่งเครียด
“ฉีโม่ ลูกต้องเข้มแข็ง อย่าไปโมโหคิดมากแบบนี้ทุกวันเพราะไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งอีก” ลู่หย่าฮุ่ยพยายามพูดปลอบ “กับอีกแค่ไอ้ไร้น้ำยานั่น มันมีสิทธิ์อะไรทำให้ลูกโกรธ?”
“พวกเราเลี้ยงมันมาสองปีแล้ว ถึงแม้ลูกจะเจริญก้าวหน้าแล้ว ก็ไม่ได้ถีบมันออกจากบ้าน ปรากฏว่า ลูกดูมัน หลินอิ่งมันกำลังทำอะไรอยู่?”
“ทั้งที่บ้านและบริษัทเกิดปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพราะว่ามันไปมีเรื่องกับผู้หญิงแซ่จ้าวนั้น? ก่อปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ ยังหาเรื่องมาถึงตัวลูกอีก”
“ส่วนมันหลินอิ่ง เวลาสำคัญแบบนี้ กลับไปเที่ยวอย่างสนุก ไปมั่วอยู่กับสาวฝรั่ง? ยังมีคนไปเจอ ถ่ายรูปส่งมาถึงบ้าน”
ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเย็นชา สำหรับหลินอิ่งแล้วมีแต่ความดูถูกและความเกลียด
จางฉีโม่นั่งเงียบคีบกับข้าวกินไปสองคำ
ครั้งนี้ เห็นยากที่เธอไม่พูดแทนหลินอิ่ง
เห็นแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยก็ยิ้ม คิดในใจว่าในใจลูกสาวตัวเอง ไม่มีที่นั่งสำหรับหลินอิ่งแล้ว
ลู่หย่าฮุ่ยพูด “ลูก เรื่องที่คุณชายโจมาคุยครั้งที่แล้ว ลูกคิดยังไงบ้าง? คุณชายสามตระกูลโจเขามีความจริงใจอย่างมาก ช่วยลูกจัดการธุระในบริษัทตั้งมากมาย แม่ว่าบ้านเรากับตระกูลโจก็ตกลงเรื่องงานแต่งครั้งนี้เถอะ”
“สำหรับฐานะชื่อเสียงของลูกทุกวันนี่ในเมืองตุงไห่ ตระกูลโตของพวกเขาก็ถือว่าคู่ควรกันแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยคิดเองพูดเอง
“แม่ หนูไม่อยากคุยเรื่องวุ่นวายพวกนี้” จางฉีโม่ก้มหน้ากินข้าว ไม่อยากไปคุยเรื่องพวกนี้
จางฉีโม่รู้สึกวุ่นวายใจไปหมด เธอสามารถยืนหยัดมีชื่อเสียงในวงการเครื่องประดับ สามารถบริหารบริษัทจนมีโครงสร้างใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะหลินอิ่ง
เธอผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายกับหลินอิ่ง เคยเห็นว่าหลินอิ่งมีอำนาจแค่ไหนในตี้จิง ฐานะสูงส่งขนาดไหน
แต่ว่า ในใจหลินอิ่งทุกวันนี้ ดูเหมือนจะไม่มีที่นั่งสำหรับเธอแล้ว
หลินอิ่งนอกใจเธอ หักหลังเธอแล้ว
เธอรู้สึกว่า ชีวิตดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรแล้ว
สำหรับทางด้านพ่อกับแม่ ความเข้าใจผิดและดูถูกหลินอิ่ง
จางฉีโม่ไม่อยากไปอธิบายให้ทั้งสองฟังแล้ว พูดไปพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าหลินอิ่งเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ในตี้จิง
อีกอย่าง
จางฉีโม่ ก็ไม่กล้าไปพูดถึงว่าหลินอิ่งเก่งแค่ไหน มีความสามารถแค่ไหน
เพราะว่า หลินอิ่งไม่ได้มีเธอจางฉีโม่คนนี้อยู่ในใจของเขาแล้ว
ศักดิ์ศรีของเธอไม่อนุญาตให้เธอไปช่วยหลินอิ่งพูดอะไรอิ่ง
ยกเว้นหลินอิ่งมายอมรับผิดต่อหน้าเธอ
ไม่อย่างนั้น เธอไม่อภัยให้เด็ดขาด
ไม่ ไม่อภัยเด็ดขาด
สิ่งที่หลินอิ่งทำ เกินขีดจำกัดของเธอแล้ว
มีหนึ่งครั้ง ก็ต้องมีครั้งที่สอง
อีกอย่าง บางทีหลินอิ่งอาจจะคิดว่า ผู้หญิงในเมืองเล็กๆอย่างเมืองชิงหยูนอย่างเธอ ไม่คู่ควรกับเขา?
จางฉีโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คีบกับข้าวไป ไม่ได้ฟังคำพูดของจางหย่าฮุ่ยเข้าไปแม้แต่น้อย
“ลูก ลูกอย่ามัวแต่เหม่อลอยเลย หลายวันนี้มา ลูกก็เหมือนมีความในใจ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แม่ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเสียงเรียบ ดูท่าทางกังวลของลูกสาว ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ฉีโม่ ลูกก็เป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงในเมืองตุงไห่แล้วนะ พ่อไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้เลยนะ แต่ครั้งนี้ ไม่พูดไม่ได้แล้ว” จางซิ่วเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด วางตะเกียบลง พูดอย่างเคร่งขรึม “พ่อรู้ว่าหนูยังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องของหลินอิ่ง”
“แต่ว่า พ่ออยากบอกลูกว่า เรื่องที่หลินอิ่งทำมา เลือกมาแค่หนึ่งเรื่อง นั่นก็เป็นเรื่องที่เหยียดหยามตระกูลเราทั้งนั้น พฤติกรรมของเขาทั้งหมดในเมืองก่าง ไม่มีลูกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยเลย”
จ้างซิ่วเฟิงพูดอย่างเชื่องช้า “ก่อนอื่น หลินอิ่งรังแกน้องสาวเธอลู่จิ้งที่เมืองก่าง ยังไม่มั่วกับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าลู่จิ้ง? นี่ต้องอวดดีแค่ไหน? ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้?”
“โทรหามัน มันยังไม่ยอมรับอีก ปรากฏว่ายังไง ถูกคนอื่นเขาถ่ายรูปมันนอกใจที่เมืองก่าง ให้ผู้หญิงแซ่จ้าวนั่นถ่ายรูปส่งมาถึงบ้านเรา เรื่องขายหน้าขนาดนี้ เหยียบหน้าของลูกจมอยู่กับดินแล้ว”
จ้างซิ่วเฟิงพูดอย่างโมโห “หลินอิ่งมันมาอาศัยครอบครัวเราสองปีแล้ว ไม่ได้ทำเรื่องดีอะไร ลูกให้มันเกาะลูกกินมาตลอด กินข้าวบ้านเรา พ่อก็ทนแล้ว”
“แต่ตอนนี้ หลินอิ่งมันสร้างปัญหามากมายขนาดนี้?”
“ผู้หญิงแซ่จ้าวจากตี้จิงคนนั้น มาบ้านเราครั้งที่แล้ว ทำตัวอวดดีขนาดไหน ยังตบแม่ของลูก” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม “ครั้งนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์คนนั้น ยังใช้อำนาจความสัมพันธ์ มากดดันบริษัทของลูกอย่างบ้าคลั่ง ทำจนบริษัทจะล้มละลายแล้ว”
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาที่ได้สัตว์หลินอิ่งนั่นทำขึ้นมา”
“พ่อทนหลินอิ่งมันไม่ไหวแล้ว ต้องไล่มันออกไป มันก็แค่สัตว์เดรัจฉานคนหนึ่ง”
จางซิ่วเฟิงท่าทางโมโห พูดอย่างเย็นชา
ครั้งนี้ บริษัทเครื่องประดับของลูกสาว ถูกทางการกดดัน มีหน่วยงานสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์มาหาเรื่องทุกวัน มาตรวจสอบ
และการปิดกันจากสมาคมเครื่องประดับ ทำให้ธุรกิจดำเนินยาก ชื่อเสียงบริษัทก็ตกต่ำลงอย่ารวดเร็ว
สถานการณ์ย่ำแย่ถึงสุดขีด บริษัทเครื่องประดับอาจจะล้มละลายได้ตลอดเวลา
และเรื่องทั้งหมดนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์เป็นคนทำ ผู้หญิงคนนั้นอวดดีถึงขั้นประกาศในเมืองชิงหยูนว่าจะทำให้จางฉีโม่ล้มละลาย
จ้าวหลินเอ๋อร์ ก็คือผู้หญิงที่หลินอิ่งไปมั่วสุมอยู่ข้างนอก ทำให้ที่บ้านไม่วุ่นวายอยู่ไม่สุข
ส่วนตัวหลินอิ่งเอง กลับดึงตัวอยู่ข้างนอก กินเหล้าเที่ยวผู้หญิงอยู่ข้างนอก นี่ไม่ใช่สัตว์แล้วคืออะไร?
“พอแล้ว พ่อแม่ เลิกพูดได้แล้ว รอหลินอิ่งกลับมา ดูว่าเขาจะพูดยังไง ถ้าหากไม่กลับมา ก็ช่างเขา” จางฉีโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พูดอย่างหมดหวัง “สำหรับเรื่องของคุณชายตระกูลจ้าว ไม่มีอะไรต้องพูด”
“ก็ได้ เพราะว่าลูกตกลงจะหย่าแล้ว แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ให้ลูกได้เห็นสัญชาตญาณที่แท้จริงของหลินอิ่ง” ลู่หย่าฮุ่ยพูด เห็นลูกสาวสิ้นหวังในตัวหลินอิ่งแล้ว ก็รู้สึกดีใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวซวยอย่างหลินอิ่ง ด้วยความสามารถของลูกสาวแล้ว พวกเขาคงเจริญก้าวไกลไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ถ้าตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว หลินอิ่งแต่งงานมาอาศัยบ้านพวกเขา ก็คือการทำลายโชคลาภของบ้านพวกเขา
ก๊อกก๊อก
เวลาเดียวกัน มีเสียงเคาะประตูดังจากข้างนอก
หลังจากเสียงกึกกักจากการเคาะตี
ประตูถูกคนใช้กุญแจเปิดออก
“ผมเป็นผู้จัดการของเสว่หลงกรุ๊ป คุณฉีโม่ คฤหาสน์ของครอบครัวคุณ เกิดปัญหาขัดแย้งทางทรัพย์สิน ตอนนี้ผมเป็นตัวแทนของเสว่หลงกรุ๊ป มาเก็บคืนคฤหาสน์หลังนี้”
ชายเสื้อสูทคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือกระเป๋าทำงานใบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านหลังของเขา เป็นสาวสวยในชุดกระโปรงยาวสีเขียวคนหนึ่ง มีบอดี้การ์ดหญิงติดตามสองคน
คือจ้าวหลินเอ๋อร์
“จ้าว จ้าวหลินเอ๋อ เธอมาทำไม?”
ลู่หย่าฮุ่ยมองหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ สีหน้าทั้งตกใจและโมโห