“แกพูดอะไร? แกนี่มันปากกล้าเกินไปแล้ว”
ซือหม่าเฟิงจ้องหน้าหลินอิ่งอย่างโมโห ท่าทางหน้าตาโกรธเคือง
คำพูดของหลินอิ่งอวดดีเกินไปแล้ว กล้าพูดว่าให้คนที่มีอำนาจพูดของตระกูลซือหม่าออกมาพบเขา?
เขานึกว่าตัวเองเป็นใครกันแน่?
“คุณชายเฟิง ไอ้แซ่หลินนี่ก่อกวนชัดๆ กล้าอวดดีขนาดนี้ในโรงแรมสากลกวงหุย คุณต้องสั่งสอนมันหน่อย”
“ใช่แล้ว กล้าบอกให้คุณชายเฟิงเรียกประธานซือหม่ามาด้วยตัวเอง ไม่ได้มีตระกูลซือหม่าในสายตาแม้แต่น้อย กล้าเหยียดหยามตระกูลซือหม่า? ดูว่ามันมีหัวกี่อันให้ตัด”
ตามด้วยพฤติกรรมของหลินอิ่ง คนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างก็พากันช่วยซือหม่าเฟิงพูด
“โทรศัพท์ให้อาหกของฉัน ให้เขารวบรวมคนรีบมาที่โรงแรมสากลกวงหุยเดี๋ยวนี้” ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าโหดร้าย โบกมือออกคำสั่ง “เตรียมของมาด้วย มาจับตัวไอ้แซ่หลินหน้าโง่นี่กับบอดี้การ์ดของมันด้วย”
พอพูดจบ ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังซือหม่าเฟิงก็รีบปฏิบัติการทันที
บอดี้การ์ดคนหนึ่งหยิบมือถือออกมาโทรทันที
ส่วนบอดี้การ์ดอีกสิบกว่าคนก็ล้อมเข้ามา ทุกคนจ้องหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นในกระเป๋า ท่าทางเตรียมพร้อม
“แย่แล้ว คุณชายเฟิงโมโหจริงๆแล้ว เตรียมเรียกคนมาแล้ว ไม่รู้ว่าหนุ่มอวดดีคนนั้น จะรับไหวไหม”
“ล้อเล่นอะไร ที่นี่เป็นถึงโรงแรมสากลกวงหุย กิจการของตระกูลซือหม่า พ่อของคุณชายเฟิงถึงผู้นำระดับต้นๆในตระกูลซือหม่า อำนาจล้นฟ้า จัดการกับไอ้หนุ่มแบบนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว หน้าตาหนุ่มคนนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นในสังคมตี้จิงมาก่อน ต้องไม่ใช่คุณชายตระกูลใหญ่ในตี้จิงแน่นอน”
“ฉันว่าไอ้หนุ่มคนนี้ น่าจะเป็นคุณชายที่มาจากต่างจังหวัดมั้ง? พาบอดี้การ์ดร่างใหญ่คนเดียวก็คิดว่าตัวเองทำอะไรตามใจได้ในตี้จิง?”
เวลาเดียวกัน คนที่ล้อมดูเหตุการณ์ในงาน ต่างก็พากันสนทนาขึ้นมา รอคอยความคืบหน้าของเหตุการณ์
เห็นได้ชัดว่า ชายหนุ่มลึกลับที่ท้าทายกับซือหม่าเฟิง ดูแล้วน่าจะมีฐานะอยู่บ้าง มีบอดี้การ์ดร่างใหญ่คอยติดตามอยู่ข้างกาย
แต่ว่า อยากท้าทายกับคุณชายระดับสูงในตี้จิงอย่างซือหม่าเฟิง มันยังต่างกันเยอะเกินไป
เพราะว่า คนในงานต่างก็พอมีฐานะ คุณชายระดับสูงหลายคนในตี้จิง คุณชายที่สามารถเอาชนะคุณชายเฟิงได้ พวกเขาต้องรู้จักแน่นอน
หนุ่มแซ่หลินคนนี้ แปลกหน้าไม่คุ้นเคยเลย จำไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ไอ้แซ่หลิน แกคิดว่าข้างกายแกมีบอดี้การ์ดที่ต่อสู้เก่งคอยติดตามก็อวดดีได้เหรอ? แกไม่รู้เลยว่าตระกูลซือหม่าแข็งแก่รงขนาดไหน”ซือหม่าเฟิงพูดด้วยเสียงเย็นชา สีหน้าโหดเหี้ยม
ในงานเลี้ยงที่ตัวเองจัดขึ้น กลับให้หลินอิ่งที่ฐานะไม่ชัดเจนมาทุบทำลายงาน ทำให้เขาเสียหน้า อับอายขายหน้า
วันนี้ถ้าไม่ซ้อมหลินอิ่งคุกเข่าขอร้องเขา อีกหน่อยเขาจะอยู่ในสังคมไฮโซตี้จิงยังไง
“ฉันให้เวลาแกคิดหนึ่งนาที คุกเข่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ ฉันยังสามารถเหลือหนทางไว้ให้แกได้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะทำให้แกหมดหนทางในตี้จิง อยากตายยังยาก” ซือหม่าเฟิงพูดข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทำให้ผมหมดหนทาง? คุณแน่ใจว่าจะไม่พูดเหตุผล?” หลินอิ่งมองซือหม่าเฟิงอย่างสนใจ พูดอย่างเรียบเฉย “ไม่ดูการ์ดดำสุพรีมของผมให้ชัดเจนก่อนเหรอ?”
“คิดให้รอบคอบ ว่าจะเรียกพ่อของคุณมาพูดกับผมไหม”
“การ์ดอะไร? แกลองพูดอีกครั้งว่าให้ฉันเรียกพ่อฉัน……….”
ซือหม่าเฟิงตะโกนด้วยสีหน้าไม่พอใจ ยังอยากด่าอะไรต่อ
ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็ลังเลขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน……การ์ดดำใบนี้?”
ซือหม่าเฟิงถือการ์ดดำที่หลินอิ่งโยนมา ดูอย่างละเอียด สีหน้าตกตะลึง
“นี่คือ? การ์ดดำสุพรีมระดับสูงสุดของธนาคารเสว่หลง? ไม่จำกัดวงเงิน? เป็นไปได้ยังไง?”
ซือหม่าเฟิงพูดพึมพำเอง ในใจรู้สึกตกใจ
ยังไงเขาก็คิดไม่ถึง ว่าในมือของคนระดับล่างอย่างหลินอิ่ง จะมีการ์ดดำสุพรีมไม่จำกัดวงเงินของธนาคารเสว่หลง
ธนาคารเสว่หลงเป็นธนาคารอันดับหนึ่งของธนาคารเอกชนทั้งสี่ในตี้จิง โครงสร้างใหญ่มาก จัดเข้าสิบอันดับต้นในประเทศแล้ว
โดยเฉพาะ ทุกคนต่างรู้กันว่า เบื้องหลังของธนาคารเสว่หลงนั้นคือตระกูลมหาอำนาจแห่งตี้จิง ตระกูลฉี ทรัพย์สินมหาศาล เบื้องหลังอำนาจล้นฟ้า
ซือหม่าเฟิงสามารถรู้จักการ์ดดำสุพรีมใบนี้ ก็เพราะว่าในมือของพ่อตัวเอง เคยเห็นใบหนึ่งในแบบเดียวกัน
เขายังจำได้ ตอนนั้นที่รับการ์ดดำมาจากมือของคนตระกูลฉี พ่อของเขาอารมณ์ตื่นเต้นดีใจขนาดไหน
สิทธิของการ์ดดำสุพรีมใบนี้ เป็นเงินสดหมุนเวียนจำนวนหนึ่งหมื่นล้านของธนาคารเสว่หลง
คนที่สามารถครอบครองการ์ดดำใบนี้ได้ นั่นเป็นตัวแทนของฐานะ ไม่ต้องพูดก็รู้
เพราะว่า นั้นก็คือได้รับความยินยอมจากตระกูลฉีที่อยู่เบื้องหลังธนาคารเสว่หลงแล้ว ถึงครอบครองการ์ดดำสุพรีมได้ ต้องเป็นแขกพิเศษของตระกูลฉีแน่นอน
ทุกวันนี้ในตี้จิงมีใครไม่รู้บ้าง ตระกูลฉีอยู่ในระดับไหน? คุณชายอิ่งท่านนั้นของตระกูลฉีไม่มีใครเทียบได้ โดดเด่นไม่ธรรมดา จะนำพาตระกูลฉีไปสู่ตระกูลมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในตี้จิง
ตระกูลซือหม่าเปรียบเทียบกับตระกุลฉี ระดับห่างกันอีกไกล และไม่มีทางไปหาเรื่องตระกูลฉีได้
“เป็นไปได้ยังไง? แก คนชั้นต่ำอย่างแกจะไปมีการ์ดดำสุพรีมของธนาคารเสว่หลงของตระกูลฉีได้ยังไง?” ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าลังเล น้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ
เขามองสำรวจหลินอิ่งอีกครั้ง รู้สึกหวาดกลัวในใจขึ้นมากะทันหัน มีความรู้สึกไม่ค่อยดี
“ฉันไม่เชื่อ แกนึกว่าเอาการ์ดดำอะไรออกมาใบเดียว ก็จะขู่ฉันได้เหรอ” ซือหม่าเฟิงกัดฟันพูด “เอาบัตรใบนี้ไปที่แคชเชียร์ พิสูจน์ความจริง แกบอกว่าจะชดใช้ไม่ใช่เหรอ? ของสะสมที่ฉันโชว์ทั้งหมดในนี้ รวมกันแล้ว พันห้าร้อยล้าน ไปโอนพันห้าร้อยล้าน”
การ์ดดำสุพรีมใบนี้ที่มีเพียงวีไอพีของตระกูลฉีเท่านั้นที่ครอบครองได้ ทำให้ซือหม่าเฟิงกังวล ทันใดนั้นก็ไม่รู้ฐานะหลินอิ่งว่าคือใคร
แต่ว่า ใบหน้าของหลินอิ่งเด็กเดินไป และค่อนข้างแปลกหน้า
เขาคิดว่าตัวเองอยู่ในตี้จงมานานแล้ว คุณชายของตระกูลมหาอำนาจทั้งหลายก็เคยเห็นมาหมดแล้ว มั่นใจว่าไม่เคยเห็นหลินอิ่งคนนี้มาก่อน
“โทรหาพ่อฉันหน่อย รายงานเรื่องที่เกิดในคืนนี้ให้รู้ ถามเขาว่ารู้ไหมว่าแขกวีไอพีของตระกูลฉีมีใครบ้าง” ซือหม่าเฟิงพูดสั่งผู้ติดตามเสียงเบา
“ไอ้แซ่หลิน ไม่ว่าแกจะเล่นอะไร วันนี้ ไม่ให้คำอธิบายกับตระกูลซือหม่า แกก็เตรียมตัวถูกหามออกจากโรงแรมสากลกวงหุยได้เลย” ซือหม่าเฟิงจ้องหน้าหลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา ยังฝืนแสดงท่าทางมีอำนาจ
“ยังเอาการ์ดดำใบเดียวออกมาเสแสร้ง? คิดอยากจะข่มขู่คุณชายเฟิงเหรอ?”
“บัตรเน่าอะไร? เหี้ย ใครจะไม่มีบัตรธนาคาร?”
ผู้ติดตามข้างกายซือหม่าเฟิงสองคนพูดเสียดสีหลินอิ่ง
สามนาทีผ่านไป
บอดี้การ์ดชุดสูทคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าตื่นเต้น พูดอยู่ข้างกายซือหม่าเฟิง “คุณชายเฟิง บัตรคือของจริง เงินพันห้าร้อยล้านโอนเรียบร้อยแล้ว……”
“อะไรนะ”
ซือหม่าเฟิงสีหน้าตกใจ หยิบมือถือออกมาดู ดวงตาเบิกกว้าง
เขาเงยหน้าขึ้นทันที มองหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก