ภายในห้องประชุมใหญ่ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ แทบจะไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลย
ในใจของพวกเขาต่างเข้าใจดีเป็นอย่างมากว่าการประชุมสุดยอดเทียนหลงในครั้งนี้มีความสำคัญเพียงใด เพราะนี่ถือเป็นการชี้ชะตาของตี้จิงในอีกยี่สิบปีข้างหน้า
อีกอย่างคือครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายในการสิ้นสุดสงครามอันสุดแสนโกลาหลของตระกูลสวีและตระกูลฉี
และผลลัพธ์สุดท้ายของการประชุมนี้จะเป็นตัวกำหนดผลประโยชน์ส่วนบุคคลของทุกคนที่มาในวันนี้ รวมทั้งชะตากรรมของเส้นทางในอนาคตด้วย
ตอนนี้ทุกคนดูเหมือนจะทอดสายตาไปยังโต๊ะเจรจาทรงกลมที่ถูกจัดตั้งไว้อยู่บนเวทีชั้นสอง
ซึ่งตรงนั้นได้มีการจัดเรียงเก้าอี้ที่สุดทันสมัยเอาไว้ห้าตัว ทว่าตอนนี้กลับยังว่างเปล่าไร้คนนั่ง
ตำแหน่งทั้งห้านี้ ถูกแบ่งเอาไว้ให้กับห้าตระกูลใหญ่ของตี้จิง ซึ่งจะมีเพียงตัวแทนจากทั้งห้าตระกูลใหญ่นี้ถึงจะมีความคุณสมบัติที่จะนั่งเท่านั้น
“งานประชุมสุดยอดอีกเดี๋ยวก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แต่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทำไมถึงโทรหาท่านอิ่งไม่ติดนะ?”
บริเวณหน้าประตูทางเข้างานประชุม จ้าวเฉิงเฉียนกำลังยืนถือโทรศัพท์ไว้ในมือด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
เขาไม่รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น หรือเปล่า ทว่าเหล่าตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว แม้แต่นายท่านใหญ่ของตระกูลสวียังเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว แต่กลับยังไม่เห็นคนของหลินอิ่งเลย
อีกอย่างแม้แต่เบอร์โทรของหลินอิ่งก็ยังติดต่อไม่ได้อีกด้วย
แบบนี้มันน่าแปลกเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้หลินอิ่งอุตส่าห์ลงมือลงแรงตั้งมากมายขนาดนั้น จนสามารถไล่ต้อนตระกูลสวีจนถึงริมหน้าผาได้แล้ว
เหลือแค่การประชุมสุดยอดเทียนหลงครั้งนี้ที่เป็นการไล่ต้อนครั้งสุดท้ายที่จะสามารถผลักตระกูลสวีให้ดิ่งลงสู่เหวลึกได้แล้ว
ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หากว่าตามลักษณะนิสัยของหลินอิ่งแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่มาร่วมประชุมเด็ดขาด
ดังนั้นจะต้องเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นแน่นอน
แต่ว่าด้วยความแข็งแกร่งของหลินอิ่ง และเหล่ายอดฝีมือข้างกายเขาแล้ว จะยังมีคนที่สามารถขัดขวางพวกเขาได้อีกงั้นหรอ?
สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนดูกลัดกลุ้มใจเอามากๆ ภายในใจก็กระวนกระวายไปหมด พร้อมกับเดินไปๆ มาๆ อยู่ข้างประตูทางเข้า
ในเกมของเทียนหลงครั้งนี้ เขาเป็นคนที่ถูกมัดรวมกันไว้บนรถรบคันเดียวกัน ทั้งสองเป็นผู้ที่แสวงหาผลกำไรร่วมกัน
เรื่องของหลินอิ่ง ก็คือเรื่องของเขาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นกว่าเขาจะดึงยอดฝีมือสะท้านโลกอย่างหลินอิ่งมาเป็นพวกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และหลังจากที่เขายังต้องพึ่งพาหลินอิ่งในการต่อกรกับกำลังลึกลับเหล่านั้นที่แอบมาลอบสอดแนมเขา รวมทั้งจัดการปัญหาใหญ่ของตระกูลเผยแห่งจี้โจว
“พี่ โทรศัพท์ของหลินอิ่งยังติดต่อไม่ได้อีกหรอคะ?คนติดตามเขาล่ะ ติดต่อไปแล้วหรือยัง?” จ้าวหลินเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
จ้าวเฉิงเฉียนหยุดเท้าลง พร้อมตอบด้วยคิ้วที่พันกันแน่น “โทรไปหมดแล้ว ทั้ง หยูจื๋อเฉิงและนิ่งซวน สองคนนี้ก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน กลัวว่ากำลังเกิดเรื่องสุดวิสัยขึ้น”
“ห๊า?” จ้าวหลินเอ๋อร์อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะถามอย่างร้อนใจ “พี่ พี่รีบส่งคนไปสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเร็วเข้า จะปล่อยให้หลินอิ่งเกิดเรื่องอะไรตอนนี้ไม่ได้ ……”
จ้าวเฉิงเฉียนถอนหายใจออกมา “ฉันส่งคนไปที่เขตจงเทียนตั้งนานแล้ว เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เธอเองก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป จากความสามารถของหลินอิ่งแล้ว คงจะไม่เป็นอะไรมาก” จ้าวเฉิงเฉียนที่เห็นท่าทีกระวนกระวายของ จ้าวหลินเอ๋อร์ จึงพูดปลอบใจ
“แต่ว่า……” ท่าทางของจ้าวหลินเอ๋อร์ดูเหมือนจะกังวลอย่างมาก เพราะทุกๆ อย่างก้าว ทุกๆ การกระทำของหลินอิ่งมักจะทำให้ใจของเธอเต้นรัวได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นยิ่งอย่าพูดถึงการเกิดสถานการณ์แปลกๆ แบบนี้เลย
“พวกเราจะร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ก่อนที่หลินอิ่งจะมาถึงพวกเราทำได้เพียงต้องควบคุมการประชุมสุดยอดเทียนหลงนี้ให้ได้ อย่าปล่อยให้ตระกูลสวีทำสำเร็จเด็ดขาด” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
ถ้าหากเป็นเรื่องที่หลินอิ่งไม่สามารถรับมือเอาไว้ได้จริงๆ อย่างนั้นเกรงว่าขาจ้าวเฉิงเฉียน ก็คงจะไร้หนทางคุมเอาไว้ได้เหมือนกัน
“คนของหลินอิ่ง หรือแม้แต่ตัวแทนสักคนก็ยังไม่มาเลย” จ้าวเฉิงเฉียนพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ในแววตาฉายแววการตัดสินใจออกใส “ตอนนี้มีเพียงคระกูลจ้าวของเราที่จะสามารถช่วยยับยั้งสถานการณ์นี้เอาไว้ก่อนแล้วเท่านั้น”
และในเวลานั้นเอง ตรงบริเวณหน้าประตูงานประชุม ก็มีเหล่าบอดี้การ์ดสวมชุดสูทเข้ามาต่อแถวกัน
ชายชราคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามาช้าๆ โดยมีชายสองคนที่คอยประคองเขาเอาไว้
“คนตระกูลสวีมาถึงแล้ว ……” จ้าวเฉิงเฉียนเหลียวตาไปมอง ภายในแววตาค่อยๆ เกิดความสงสัยขึ้น
คุณท่านสวี สวีจิ่วหลิง มางานประชุมด้วยตัวเอง
ข้างกายของสวีจิ่วหลิงตามมาพร้อมกับสวีฉางเฟิง และสวีไป๋เห้อที่ยังนั่งอยู่บนรถเข็น
“คุณท่านสวีจิ่วหลิงมาแล้ว!คนที่มีฐานะสูงศักดิ์น่ายกย่องอย่างคุณท่านยังต้องเดินทางมาร่วมประชุมด้วยตัวเองแบบนี้ ดูแล้วตระกูลสวีจะให้ความสำคัญกับโครงการของเมืองเทียนหลงเอามากๆ !”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตระกูลสวีกับท่านอิ่งตระกูลฉีคนนั้นห้ำหั่นกันถึงขนาดนั้น มีหรือที่คุณท่าน ตระกูลสวีจะนั่งดูอยู่เฉยๆ ?”
“ถ้าให้ผมพูดยังไงซะขิงแก่ก็ย่อมเผ็ดร้อนมากกว่า จะยังไงคุณท่านสวีก็เหนือระดับกว่าอยู่ดี !พวกคุณไม่เห็นหรือไง วั่วแทนทางทางด้านท่านอิ่งไม่มีใครมาเลย แบบนี้ก็พูดได้อย่างชัดเจนเลยว่าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว !”
“พูดก็อีกก็ถูกอีก พวกเราสังเกตได้แล้ว ตัวของท่านอิ่งไม่มา ……นี่คงต้อง คงต้องไปโดนอุบายของตระกูลสวีเข้าซะแล้ว……”
ด้วยการมาถึงของสวีจิ่วหลิงและคนในตระกูล ทำให้บรรยากาศภายในงนฮือฮาขึ้นมาทันที ทุกคนต่างพากันพิพากษ์ วิเคราะห์คาดเดาต่างๆ นานา
ตายังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคนอื่น สีหน้าของพวกเขาล้วนมีการเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ใช่แล้ว พวกเขาต่างสังเกตเห็นแล้วว่ามีเพียงท่านอิ่งคนเดียวเท่านั้นที่จะยังมาไม่ถึง
แต่การประชุมสุดยอดเทียนหลง ตระกูลฉีไม่มีทางที่จะไม่มาเข้าร่วมเด็ดขาด
และสถานการณ์แบบนี้บอกได้เลยว่านั่นเป็นเพราะว่ามาไม่ได้
เพราะอะไรคนของตระกูลสวีมาถึงแล้ว แต่ท่านอิ่งกลับมาไม่ได้?
ซึ่งสาเหตุนั้นก็ทำให้ผู้คนเกิดความสนใจอย่างมาก
เสียงฮือฮาดังขึ้น!
เพียงครู่เดียว ผู้คนส่วนมากในงานต่างก็ลุกขึ้นยืน มองไปยังสวีจิ่วหลิงด้วยสีหน้าที่เคารพ
“คุณท่านสวี ระวังนะครับ”
“คุณท่านสวี ทุกคนต่างก็รอการมาของคุณอยู่เลยครับ อุตส่าห์มาเข้าร่วมการประชุมเทียนหลงแบบนี้ต้องเป็นธุรการใหญ่แน่นอนครับ”
เมื่อเห็นบรรยากาศที่ฮือฮาแบบนี้ สีหน้าของจ้าวเฉิงเฉียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าสีหน้าของคน ตระกูลสวีกลับเต็มไปด้วยความสะใจ
“แค่กๆ ……” สวีจิ่วหลิงไอแห้งออกมาสองเสียง ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกสองสามครั้ง “ทุกคนนั่งลง นั่งลงเถอะ”
“วันนี้ที่ผมมาร่วมงาน แน่นอนว่าอยากจะทำให้ทุกท่านทำความเข้าใจกับเรื่องของเมืองเทียนหลงอย่างชัดเจน”
หลังจากพูดจบ สวีจิ่วหลิงก็เหล่ตาเล็กน้อยพร้อมกับหรี่ตาจ้องมองจ้าวเฉิงเฉียน。
“โอ้ คุณก็คือบุตรฟ้าประทานคนนั้นของคระกูลจ้าว ?จ้าวเฉิงเฉียน?” สวีจิ่วหลิงพูดช้าๆ ” ผมได้ยินมาว่า เจ้าหนุ่มอย่างคุณกำลังช่วยหลินอิ่งในสังเวียน และยังช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ ด้วย ?”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณจะเป็นชายหนุ่มที่มีปัญญาล้ำเลิศอะไรอย่างนั้นซะอีก” สวีจิ่วหลิงส่ายหน้า พร้อมพูดด้วยน่ำเสียงสั่งสอน “ที่จริงก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่เฉื่อยชารู้ไม่ทันเหตุการณ์ก็เท่านั้น ไม่แม้แต่จะเข้าใจการเลือกฝ่าย คงยากจะกลายเป็นอาวุธทรงพลัง คิดจะบุกรุกดินแดนไปพร้อมกับหลินอิ่ง มีแต่จะทำให้ คระกูลจ้าวของพวกคุณตกอยู่ในอันตราย”
จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเรียบเฉยตอบกลับ ” คุณท่านสวี คุณมีอะไรก็พูดตามตรงจะดีกว่าครับ ผมควรจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาเป็นคนชี้หรอกครับ”
สวีจิ่วหลิงหัวเราะเยาะ “ผมก็แค่เตือนสติคุณก็เท่านั้น จะบอกอะไรให้แล้วกัน หลินอิ่งน่ะไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว อีกเดี๋ยวเปิดประชุม ผมว่าคุณทำความเข้าใจเอง อย่าเข้ามาขัดขวางเรื่องใหญ่ของผมดีกว่า”
“ขัดขวางแผนการของพวกคุณ?คิดว่าการประชุมสุดยอดเทียนเป็นเรื่องที่พวกคุณตระกูลสวีเป็นคนชี้ตัดสินแล้วหรือไงครับ?” จ้าวเฉิงเฉียนเองก็หัวเราะเยาะออกมา “พูดเร็วเกินไปมั้งครับ?ถ้าคุณชายอิ่งา พวกคุณตระกูลสวีจะยังทำอะไรได้อีก?”
“หึๆ ๆ มาถึงงั้นหรอ?” สวีจิ่วหลิงหัวเราะอย่างได้ใจ “ผมจะบอกให้คุณฟังอย่างชัดเจนเลยนะว่าถ้าหากหลินอิ่งไม่ตาย อย่างนั้นก็คงจะต้องเป็นโชคดีของเขาแล้ว”