ในการประชุมสุดยอด เสียงแตรรถอันแหลมสูงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อารมณ์ของทุกคนต่างตื่นเต้นไม่สงบ
“ด้านนอกมีขบวนรถหนึ่งเข้ามาครับ……” ผู้ติดตามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างกาย สวีจิ่วหลิงพร้อมกล่าวรายงานด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “คุณท่าน ดูเหมือนว่าจะเป็นจากทางการ”
“คนจากทางการ?” สวีจิ่วหลิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “รอบนี้ใครเป็นคนมา?”
“ไม่ทราบครับ แต่ดูจากลักษณะแล้วเป็นคนที่มีอำนาจมากๆ แม้แต่เหล่าคนที่พวกเราจัดเตรียมไว้ด้านนอกยังไม่มีใครกล้าขวางทางเลยครับ ……” ผู้ติดตามแจ้งอย่างตื่นตระหนก
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ทางการของตี้จิง จะมีหรือคนที่จะไม่ไว้หน้าฉันหน่ะ ?” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ไม่แน่อาจจะมีรุ่นน้องคนไหนมาที่นี่เพื่อที่จะแสดงความยินดีกับพวกเราก็ได้”
“พ่อ ฟังจากเสียงแตรแล้ว นี่เหมือนจะเป็นเสียงรถของกองพิเศษเว่ยอันฝ่ายทหาร ตระกูลเราไม่ได้มีเครือข่ายกับกองพิเศษเว่ยอันนี่ ……แล้วพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่อาคารเทียนหลงในเวลาแบบนี้ได้ยังไง?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยความแปลกใจอย่างมาก พร้อมกับไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“กองพิเศษเว่ยอัน?” รูม่านตาของสวีจิ่วหลิงหดเล็กลง พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น
และในตอนนั้นเอง บริเวณประตูทางเข้าของงานประชุม มีเหล่าชายหนุ่มท่าทางกล้าหาญชาญชัย รูปลักษณ์สง่าผ่าเผย เดินแยกเป็นสองแถวเข้ามาด้านใน
ชายหนุ่มแต่ละคนสวมเครื่องแบบสีดำเคร่งขรึม สวมรองเท้าบู๊ตทหารสีดำ และถือป้ายที่แสดงถึงแผนกพิเศษบนไหล่ของพวกเขา
กลุ่มคนเหล่านี้ค่อยๆ เดินเข้ามาภายในงานทีละคนๆ ก่อนจะแตกแถวกันเป็นรูปโค้ง พร้อมกับยืนนิ่งตรงอยู่ตรงตำแหน่ง ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปขัดขวางทั้งยังรีบหลบทางให้อีกด้วย
และการกระทำนี้ก็สามารถระงับสถานการณ์วุ่นวายเมื่อสักครู่นี้ลงได้อย่างสมบูรณ์ กระทั่งบางคนที่นับว่าเป็นบุคคลสำคัญของตี้จิง ในเวลานี้ยังแทบจะไม่กล้าหายใจออกมา
“กองพิเศษเว่ยอัน……”
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?นี่มันเกิดปัญหาใหญ่แล้ว……”
ตอนนี้ผู้คนในงานต่างก็รู้ถึงฐานะของผู้มาเยือนแล้ว จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นไปอีก !คนที่มีฐานะระดับนี้ แม้แต่เหล่าทวยเทพยังต้องหลบทางให้
อีกอย่าง นี่ก็เป็นถึงแผนกพิเศษของประเทศหลุง และจะขึ้นตรงกับผู้บัญชาระดับสูงสุดเพียงคนเดียวเท่านั้น และกองพิเศษเว่ยอันจะทำเพียงภารกิจใหญ่ รับผิดชอบภารกิจพิเศษและทำงานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลึกลับเท่านั้น
และโดยเฉพาะการปรากฏตัวหน้าสาธารณชนอย่างโหมครึกโครมแบบนี้
ดูแล้วคงจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน !
จนกระทั่งสมาชิกกองพิเศษเว่ยอันจำนวนนับสิบเข้าประจำที่ ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ ใบหน้าเรียบนิ่งคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในงาน ด้วยมือเปล่าที่ไขว้หลังเอาไว้
หลินอิ่งมาถึงแล้ว
ข้างๆ ของหลินอิ่งมีกัปตันหน้าตาเคร่งขรึมนายหนึ่งตามเข้ามาด้วย
เวลานี้ทั้งงานประชุมต่างนิ่งเงียบจนสามารถได้ยินเสียงหายใจ
ทันทีที่หลินอิ่งปรากฏตัวสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมายังเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ตอนนี้ทั้งจ้าวเฉิงเฉียนกับนิ่งซวน รวมทั้งคุณชายโหมและควินสัน ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที นิ่งซวนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ส่วนใบหน้าจ้าวเฉิงเฉียนก็มีความตกใจอยู่ไม่น้อย ในขณะที่คุณชายโหมแสดงหน้าเคร่งขรึมออกมา
ส่วนจ้าวหลินเอ๋อร์และแอนนาต่างก็จ้องมองไปยังหลินอิ่งจนตาแทบจะโพลนออกมา
จะมีเพียงก็แต่สวีจิ่วหลิงและเผียวจินฮุนที่เบิกตาโพลงรูม่านตาเล็กลง ด้วยท่าทีหวาดกลัว
“หลิน หลินอิ่ง มาได้ยังไงกัน ?” สวีไป๋เห้อตกใจอย่างหนัก ก่อนจะมองไปยัง สวีจิ่วหลิงด้วยความตื่นกลัว “พ่อ นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน พ่อ พ่อ ……”
ตอนนี้การปรากฏตัวของหลินอิ่งทำให้คนอย่างสวีจิ่วหลิงเกิดความกดดันในใจที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เดิมทีเขาคิดว่าหลินอิ่งที่ถูกสกัดเอาไว้ได้แล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาปรากฏตัวได้อย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ ทั้งยังถูกคุ้มกันโดยกองพิเศษเว่ยอันอีกด้วย?
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดถึงได้เลย
สวีจิ่วหลิงไม่ได้สนใจคำถามของสวีไป๋เห้อเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับสูญเสียความมั่นใจที่มีก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง เขาจ้องมองหลินอิ่ง
ไม้เท้าหัวมังกรในมือก็สั่นเทาอย่างเบาๆ
“อย่าบอกนะว่าการต่อสู้ของพวกมุซาชิ จูโตะแพ้แล้ว?” สวีไป๋เห้อพูดด้วยหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรออก
“หันหลังกลับ แล้ววางอุปกรณ์สื่อสารในมือลง”
กัปตันที่อยู่ข้างกายหลินอิ่ง เดินหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว พร้อมกับเบิกตามองไปยังคนตระกูลสวีที่นั่งอยู่บนโต๊ะเจรจา และสั่งการด้วยเสียงหนักแน่น
ในเวลาเดียวกัน แสงเลเซอร์อินฟราเรดหลายดวงก็ถูกเล็งไปที่หน้าผากของสวีไป๋เห้อ
“ห๊า?นี่คือ!”
สวีไป๋เห้อที่เห็นแสงเลเซอร์อินฟราเรดส่องผ่านตามา เขาตกใจจนทำโทรศัพท์ตกจากมือลงไปบนพื้น
ตอนนี้ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นทันทีว่าเหล่ากองพิเศษเว่ยอันที่ยืนเป็นรูปโค้งบนแท่นสูงนั้นกำลังถือปืนไรเฟิลกันอยู่
บรรยากาศดูร้ายแรงขึ้นมาทันที
“พวกคุณ นี่พวกคุณกำลังทำอะไรกัน?” สวีไป๋เห้อยกมือทั้งสองขึ้น พร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “พ่อ พ่อ พ่อควรจะออกหน้าพูดอะไรหน่อยสิ ?นี่จะเอาปืนมาจ่อหัวแบบนี้มั่วซั่วได้ยังไงกัน?”
“หลินอิ่ง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?คุณกล้าทำเรื่องใหญ่โตแบบนี้อย่างไร้เหตุผลได้ยังไงกัน?” สวีจิ่วหลิงพยายามสงบอารมณ์เอาไว้พร้อมกับพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก
เอาตามตรง ในสถานการณ์แบบนี้มีเพียงแค่คนแก่คร่ำครึอย่างสวีจิ่วหลิงเท่านั้นที่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
เพราะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะโชคดีเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ตอนนี้แม้แต่เผียวจินฮุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังตกใจจนสีหน้าซีดเผือดหมดแล้ว
“คุณชายอิ่ง คุณ นี่คุณกำลังทำอะไร?ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็ไม่ควรจะทำเรื่องแบบนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ?”
“ที่นี่คือการประชุมสุดยอดเทียนหลง หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ?”
บนที่นั่งประชุมมีคนจำนวนหนึ่งทำใจกล้าส่งเสียงออกมา
“คุณก็คือคุณหลินของหลินซื่อกรุ๊ป การกระทำแบบนี้ของคุณ!เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนชัดๆ !” ชายต่างชาติผิวขาวคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “ต่อให้พวกคุณกำลังจัดการคดี ก็ไม่ควรที่จะทำแบบนี้ ผมจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสถานทูต!”
“ถูกต้อง!พวกเราคือพลเมืองของประเทศM ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของประเทศM พวกคุณไม่สามารถใช้การกระทำแบบนี้มาควบคุมและข่มขู่พวกเรา และสร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจของพวกเราด้วย”
“ไม่สนแล้ว พวกเราต้องออกไป!ให้พวกเราออกไป!”
กลุ่มตัวแทนชาวต่างชาติจากกลุ่มธุรกิจนานาชาติ ต่างก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่พึงพอใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนหวังจากออกไป
กัปตันแสดงสีหน้าเยือกเย็นยืนอยู่ด้านหน้า
หลังจากที่ทำทีจัดเสื้อเสร็จ ก็พูดต่อด้วยเสียงที่เย็นชา:”กองพิเศษเว่ยอันกำลังทำคดี หากไม่อยากตายก็นั่งลงซะ !”
หลังจากที่ประโยคอันเย็นชานี้จบลง สมาชิกกองพิเศษเว่ยอันก็รีบจัดการกับเหล่าคนที่จับอยู่ในมือตัวเอง พร้อมกับนำตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น ทุกอย่างก็เงียบสงบลง
เสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นอีกครั้ง !
เหล่าตัวแทนกลุ่มธุรกิจชาวต่างชาติที่กำลังอยากจะโวยวาย ต่างก็พากันนั่งกลับลงไปอย่างว่าง่าย แต่ละคนต่างก็แสดงสีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ
“ทำคดี……” สวีไป๋เห้อพึมพำกับตัวเองพร้อมกับตกใจจนต้องหลบไปอยู่หลังสวีจิ่วหลิง
“พวกคุณมีหมายจับหรือเปล่า?แล้วทำคดีอะไรกัน?แล้วทำกับใคร?” สวีจิ่วหลิงเอามือที่สั่นเทาของตัวเองซุกเข้าไปในแขนเสื้อพลางถามด้วยเสียงหนักแน่น
กัปตันแสยะเสียงเยาะเย้ยออกมา ไม่สนใจ สวีจิ่วหลิง ก่อนจะหันหลังกลับไปตั้งตัวตรงทำความเคารพ
“หัวหน้าหลิน เชิญคุณพูดได้เลยครับ”
หลินอิ่งยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบ เดินตามขั้นบันไดพรมแดงที่ปูเอาไว้ค่อยๆ ไปยังโต๊ะเจรจา
ส่วนกัปตันก็เดินตามหลังมาพร้อมกับสมาชิกอีกหลายคน
ภายใต้การจับตามองของทุกคน หลินอิ่งค่อยๆ เดินขึ้นไปอย่างนั้นจนถึงโต๊ะเจรจา
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ถูกจับตามองโดยผู้มีอำนาจ ทั้งสวีไป๋เห้อและเผียวจินฮุนต่างก็เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก แผ่นหลังก็ถูกเหงื่อชุ่มอยู่เหมือนกัน พวกเขาไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้าสบตากับหลินอิ่งเลยด้วยซ้ำ