บทที่ 63 ผมไม่ได้พูดโกหก
“แม่ มีอะไรหรอ?”จางฉีโม่ลุกขึ้นเดินเข้ามา พร้อมต้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าสงสัย
“ลูกสาว เธอยังดูไม่ออกอีกหรอ?” ลู่หย่าฮุยโมโหจนกระทืบเท้า “หลินอิ่ง ไอ้ผู้ชายแมงดาที่เกาะกระโปรงผู้หญิงคนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาผู้หญิงข้างนอก! เธอคิดว่า เขาไปกินหัวใจของหมีหรือเปล่า ถึงได้กล้าแบบนี้?”
“พักก็บ้านของพวกเรา กินก็ของบ้านของพวกเรา แถมยังเอาเงินจากลูกสาวของฉันด้วย แต่กลับไม่มีจิตสำนึก ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย แต่บังอาจกล้าเรียนรู้จากไอ้พวกเสเพลหาผู้หญิงข้างนอกบ้าน น่าโมโหจริงๆ!” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง และมั่นใจว่าหลินอิ่งหาผู้หญิงข้างนอก
จางฉีโม่เองก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเหมือนกัน เธอซักถามขึ้นว่า “แม่ แม่อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ หลินอิ่งคงไม่ทำเหมือนอย่างที่แม่พูดหรอก”
“หรอ? เธอคิดว่าฉันใส่ร้ายป้ายสีเขาอย่างนั้นหรอ?” ลู่หย่าฮุยแค่นเสียงประชดออกมา ยิ่งดูหลินอิ่ง เขาก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ “ลูกสาว งั้นลูกก็มาดมบนตัวเขาสิ ขนาดอยู่ที่ไกลยังได้กลิ่นชัดเจนเลย อีกอย่างไม่ใช่น้ำหอมกลิ่นตามท้องตลาดด้วย เห็นได้ชัดเจนว่า เขาแอบมีชู้!”
จางฉีโม่เดินเข้ามาใกล้ๆ ยืนอยู่ห่างกันไม่กี่เมตรก็สามารถได้กลิ่นน้ำหอมดอกกุหลาบ อีกอย่างเธอมั่นใจว่าตัวเองไม่เคยใช้น้ำหอมกลิ่นนี้มาก่อน และเธอยังสามารถแยกแยะคุณภาพของกบิ่นน้ำหอมด้วย ซึ่งถือไม่ใช่เป็นกลิ่นน้ำหอมระดับล่าง……
หรือว่า หลินอิ่งแอบซ่อนผู้หญิงนอกบ้านจริงๆ?
จางฉีโม่เองก็มองประเมินหลินอิ่งด้วยสายตาสงสัยเหมือนกัน หลินอิ่งยังคงเผยสีหน้าปกติ มองไม่เห็นความผิดปกติเลย
“หืม!” จางฉีโม่แค่นเสียงประชดออกมาเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลินอิ่ง นายบอกมาหน่อยว่า นายทำได่ยังไง? ครั้งก่อนเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ที่หมิงเป่าซวน แม้แต่คุณท่านแห่งตระกูลหลง นายก็กล้ามีเรื่องด้วย แต่ปรากฏว่า หลังจากออกมาจากประตูหมิงเป่าซวน นายไม่ยอมกลับบ้าน แต่กลับไปหมกมุ่นกับผู้หญิงนอกบ้านหรอ!”
“ตกลงนายเห็นลูกสาวของฉันเป็นอะไรหรอ?” จางซิ่วเฟิงอารมณ์ขึ้น พร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ยังจะต้องพูดอีกหรอ? หลินอิ่งทำเรื่องไม่ดีอะไรมา ฉันเคยเห็นมาหมดแล้ว” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น “เขาอยู่กับฉีโม่เพราะแค่ยากมีข้าวกิน ดังนั้นเมื่อเห็นคนแนะนำหลานชายแห่งตระกูลหวางต่อจางฉีโม่ เขาเลยกลัวจางฉีโม่ได้ดิบได้ดี และไม่สนใจเขา เขาเป็นคนใจแคบ มองไม่เห็นถึงความดีของฉีโม่เลย และคงคิดว่าตัวเองคงสู้หลานชายของพี่สาวคนรองไม่ได้ เลยคิดหาวิธีการทำให้คนอื่นเสียหน้า”
“หลินอิ่ง นายบอกมาหน่อยสิว่า นายมีปัญหาสามารถหาเงินให้กับตัวได้ไหม? หรือว่าต้องการอยู่กับจางฉีโม่เพราะต้องการแค่ข้าวกิน? นายรู้ดีว่าตัวเองสู้กับหวางจื่อเหวินไม่ได้ แต่บังอาจอวดดีไปมีเรื่องกับคนตระกูลใหญ่ คิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรอ?” ลู่หย่าฮุยด่าทอขึ้น
“นายพูดมา ตกลงนายมีความคิดแบบนี้หรอ? ไม่เห็นถึงความดีของจางฉีโม่?” จางซิ่วเฟิงพูดขึ้น
“เขาช่างใจร้ายใจดำมากนัก! ทำลายเรื่องน่ายินดีของฉันโม่ และสร้างความลำบากต่อบ้านเราด้วย แถมยังแอบไปเล่นกับผู้หญิงข้างนอกอีกหรอ?” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นขึ้น พร้อมจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาแหลมคม “จิตสำนึกของนายถูกหมาคาบไปกินหมดแล้วหรอ?”
ครั้งนี้จางฉีโม่ไม่ช่วยพูดแทนหลินอิ่ง แต่ซักถามด้วยความสงสัยว่า : “หลินอิ่ง เมื่อกี้คุณไปทำอะไรมาหรอ? ไปหาผู้หญิงนอกบ้านจริงหรือเปล่า?”
“ผมไม่ได้ไปหาผู้หญิงนอกบ้าน มีผู้หญิงมาหาผม” หลินอิ่งจ้องมองจางฉีโม่ และพูดด้วยสีหน้าจริงใจ
“ว่ายังไงนะ? เธอดูเขาพูดสิ!” ลู่หย่าฮุยเบิกตากว้างจ้องมองหลินอิ่ง “แทบไม่เห็นฉีโม่ และผู้ใหญ่สองคนอย่างเราในสายตาเลย! แถมยังกล้าพูดเรื่องหน้าไม่อายอย่างหน้าตาเฉยออกมาด้วย!”
“นายรู้ไหมว่าใครเป็นคนเลี้ยงนาย? ฉีโม่ไม่ให้นายเป็นผู้ช่วยแล้ว นายรีบไสหัวกลับไปขายของริมถนนเลย!” ลู่หย่าฮุยโมโหจนบนหน้าผากเผยเส้นเลือดปูด
“แม่ค่ะ แม่อย่าเพิ่งรีบร้อนด่าทอหลินอิ่งสิ ซักถามให้ชัดเจนก่อนว่าเขาไปทำอะไรมา” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“ยังต้องถามอีกหรอ? เขายอมรับชัดเจนขนาดนี้แล้ว! แทบไม่สนใจความเป็นตายร้ายดีของครอบครัวเราเลย บังอาจมากไปหาเรื่องตระกูลหวาง ฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรมา ทำไมถึงได้ลูกเขยแบบนี้เข้ามาอยู่ในบ้าน! ทำไมลูกสาวของฉันถึงต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย!” ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น
“หลินอิ่ง ผู้หญิงคนนั้นมาหานายทำไมหรอ? พวกคุณไปไหนกันหรอ?” จางฉีโม่ซักถามด้วยสีหน้าสงสัยขึ้น
หลินอิ่งพูดขึ้นว่า “ไปร้านชา คุยธุรกิจ”
จางฉีโม่ซักถามขึ้นว่า : “คุณคุยเรื่องธุรกิจอะไรหรอ แล้วเธอคือใคร?”
หลินอิ่งจ้องมองจางฉีโม่ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวาง หวางหงหลิง ผมเพิ่งรู้จักกับเธอวันนี้ เธอสนใจเชิญผมร่วมงานกับบริษัทสะสมแห่งหนึ่ง”
“หน้าไม่อายจริงๆ!” ยิ่งลู่หย่าฮุยได้ยินก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น เลยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาถามขึ้นว่า “ขนาดพูดโกหกนายยังกล้าเอาข้ออ้างแบบนี้มาโกหกอีกหรอ? คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางมาหานายเพื่อคุยธุรกิจหรอ? นายคิดว่าตัวเองเป็นใครหรอ? นายมีความสามารถอะไรทำให้เธออยากเอานายเข้าทำงานบริษัท?”
“หลินอิ่ง หากนายพูดแบบนี้ข้างนอก คนอื่นคงหัวเราะจนฟันร่วงปากแน่!” จางซิ่วเฟิงพูดประชดขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่หลินอิ่งพูด
หลินอิ่งเป็นใครหรอ? ไอ้ขยะที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน เป็นแหล่งกำเนิดที่ครอบครัวถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ!
คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางมาหาเขา เพราะเห็นถึงความสามารถของเขา และอยากเชิญทำงานกับบริษัท อย่างนี้หรอ?
แล้วหวางรงหลิงคือใครหรอ? ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหวาง! หัวแก้วหัวแหวนของตระกูลหวาง และเป็นคนที่ใครหลายคนในเมืองชิงหยูนต่างอยากประจบสอพลอ แต่ไม่มีใครพูดได้ใจเลยสักคน
“ผมไม่ได้พูดโกหก” หลินอิ่งจ้องมองจางด้วยสายตาจริงจัง
จางฉีโม่พยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า : “ฉันเชื่อคุณ”
พ่อกับแม่อาจจะไม่รู้ถึงความสามารถของหลินอิ่ง แต่เธอเคยเห็นมากับตาของตัวเองว่า หลินอิ่งสามารถวิเคราะห์อัญมณีด้วยตาของตัวเองที่หมิงเป่าซวน
ดังนั้นเลยอาจจะทำให้คนอื่นใจอยากให้ทำงาน
ยิ่งไปกว่านั้น ในความทรงจำของเธอ หลินอิ่งไม่เคยพูดโกหกกับตัวเองเลย
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และไม่อยากพูดอธิบายอะไรแล้ว ขอเพียงแค่จางฉีโม่เชื่อก็เพียงพอแล้ว
คนอื่นเข้าใจผิด เขาไม่คิดอยากอธิบายเลย นอกจากจางฉีโม่
“ลูกสาว? คำพูดโกหกของเขาลูกเชื่อหรอ?” ลู่หย่าฮุยจ้องมองจางฉีโม่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “โอ้ สวรรค์! ลูกสาว เขาสร้างความลำบากต่อลูก และครอบครัวเรา ลูกก็ยังเชื่อเขาหรอ?”
“หลินอิ่งพูดแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าลูกจะเชื่อ ลูกช่างหลอกง่ายดีจริงๆ!” จางซิ่วเฟิงถอนหายใจอย่างจนปัญญาขึ้น
“เอาล่ะ หลินอิ่ง ฉันขอถามนายหน่อย” ลู่หย่าฮุยพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม และไม่สามารถระบายความอัดอั้นตันใจได้
“นายบอกว่า คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางมาหานายเพราะคุยธุรกิจ ต้องการให้นายทำงานบริษัทของตระกูลหวางใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น เธอบอกไหมว่าจะมอบค่าตอบแทนให้นายอะไรบ้าง?” ลู่หย่าฮุยซักถามขึ้น