หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ณ ภูเขาเจียงเยว่ บนถนนที่คดเคี้ยว มีรถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น
ฮาเดสเปิดประตูรถออก หลินอิ่งก้าวลงจากรถ แล้วเดินขึ้นยอดเขาไปเพียงลำพัง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฮาเดสได้นั่งอยู่ตรงฝั่งคนขับ เฝ้ารอการกลับมาของหลินอิ่ง
กู่ชางไห่นั้นได้เข้าป่าจากอีกฝั่งหนึ่ง และหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่หลินอิ่งมอบหมายให้กู่ชางไห่ไปทำก็คือ ให้เขาเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตา แล้วหาจังหวะเคลื่อนไหวอีกที
แผนลับในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญก็คือการช่วยเหลือฉีโม่ให้ได้ในช่วงเวลาสำคัญ
ไม่นาน หลินอิ่งก็เดินขึ้นเขาไปตามทาง จนพบกับหุบเขาเล็กๆ ในนั้น ภายใต้แสงจันทร์ที่เบาบาง ยังคงสามารถมองเห็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเฉพาะกิจที่อยู่ไกลออกไป
ท่ามกลางพื้นดินเรียบๆ ที่กว้างขวางนั้น ได้มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดสีดำยืนอยู่ ทุกคนต่างก็จ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาอันโหดเหี้ยมที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
รวมๆ แล้วมีประมาณสามสิบคนเห็นจะได้ ที่มือของที่คนต่างก็สวมถุงมือที่สะท้อนแสงสีเงินอ่อนๆ ออกมา
และยังมีหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดูเป็นผู้ดีมีความรู้ยืนอยู่ท่ามกลางของคนกลุ่มนั้น จ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้ม
แวบแรกที่เห็นหลินอิ่งก็นึกออกแล้ว ว่าเธอก็คือเหวินเทียนเฟิ่งที่มีความแค้นอันใหญ่หลวง
และที่ข้างๆ ของเหวินเทียนเฟิ่งยังมีชายชุดดำที่สวมหน้ากากสัมฤทธิ์ยืนอยู่อีกคน
หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว
“ฉีโม่อยู่ไหน?” หลินอิ่งถามเบาๆ
“ฮึฮึ หลินอิ่ง แกมาตามนัดจริงๆ ด้วย” เหวินเทียนเฟิ่งพูดด้วยความขบขัน “คงคิดไม่ถึงสินะ ว่าการที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”
“แกคงจะยังไม่ลืมหรอกนะ ว่าตอนอยู่ที่ตี้จิง แกสังหารพี่เหวินเทียนเจียวยังไง?” เหวินเทียนเฟิ่งถามด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
มุมปากของหลินอิ่งได้ปรากฏรอยยิ้มที่ไม่สบอารมณ์ออกมา
ผู้หญิงที่จิตใจเหี้ยมโหดอย่างเหวินเทียนเฟิ่ง เขาไม่อยากไปเสวนากับเธอเลยสักนิด
แล้วยังจะมาถามหาการตายของพี่ชายของเธออีก?
ตอนอยู่ที่ตี้จิง เหวินเทียนเฟิ่งนี่แหละที่สั่งคนไปฆ่าเหวินเทียนเจียวเอง เหตุผลก็เพื่อฆ่าคนปิดปาก กลัวว่าเหวินเทียนเจียวที่ถูกเขาจับไปจะถูกบีบจนเปิดเผยความลับออกมา
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเอาเรื่องการตายของพี่ชาย มาป้ายความผิดให้เขา มันชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ
“หลินอิ่ง แกอยากเจอหน้าเมียแกใช่มั้ย? ถ้าอยากเจอ ก็มาขอร้องฉันสิ” เหวินเทียนเฟิ่งพูดขบขันด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “คุณยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะต่อรองอะไรกับผม เรียกท่านมังกรดำออกมาพบผม”
พูดตามตรง เขาไม่ได้เห็นทุกคนตรงนี้อยู่ในสายตาเลย
มีแค่ท่านมังกรดำคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะพูดกับเขาได้
ในใจของหลินอิ่งนั้นรู้ดี ถ้าท่านมังกรดำไม่ได้สั่ง ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉีโม่แน่นอน
และจุดประสงค์ของท่านมังกรดำก็ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือการได้รับการสืบทอดแก๊งมังกรจากเขานั่นเอง
คนคนนี้วางแผนเตรียมการมาเนิ่นนาน แล้วจะยอมเผยช่องโหว่ออกมาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ได้ยังไงล่ะ
ก่อนที่จะได้รับการสืบทอดแก๊งมังกรจากเขา ท่านมังกรดำก็ไม่มีทางกล้าทำให้เขาโกรธเด็ดขาด
“ฮึฮึฮึ หลินอิ่ง ถึงตอนนี้แล้วแกยังกล้าทำตัวยโสอีกเหรอ?” เหวินเทียนเฟิ่งจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจ “เมื่อมาถึงเจาเจียงเยว่แล้ว แกคิดว่าตัวเองยังสามารถกลับไปอย่างปลอดภัยได้อีกรึไง? แกคิดว่าคำพูดของตัวเองยังใช้ได้อยู่อีกรึไง?”
หลินอิ่งส่ายหน้า ไม่ได้สนใจเหวินเทียนเฟิ่ง เหลือบตา มองไปยังผู้ชายที่สวมหน้ากากสัมฤทธิ์คนนั้น
“คุณคือหัวหน้าองครักษ์มังกรดำคนปัจจุบันอย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งถามออกมาเบาๆ
แววตาของนายพลงูกระตุกไปทีหนึ่ง ในใจของเขากำลังตื่นเต้นมาก ไม่รู้ทำไม ตอนที่เผชิญหน้ากับหลินอิ่งตรงๆ ถึงต้องรู้สึกกระวนกระวายใจตลอดด้วย รู้สึกกังวลเหมือนกำลังจะได้เจอกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากๆ
ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับมังกรหรือพยัคฆ์ที่ดุร้ายอยู่ บรรยากาศที่ส่งออกมานั้นทำให้อยากที่จะจำนนด้วยความหวาดกลัว
“ถ้าใช่แล้วมันจะทำไม?” นายพลงูพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
เขาเป็นองครักษ์มังกรดำคนปัจจุบันจริง การที่เรื่องนี้จะถูกหลินอิ่งคาดการได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร
อีกอย่าง ถ้าไม่มีการทรยศของอาจารย์ต้ากู้ละก็ ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่หน้าเขาตอนนี้ ก็น่าจะเป็นคนที่เขาต้องเรียกขานว่าท่านประมุขแก๊งแน่นอน
การต้องมาเผชิญหน้ากับคนแบบนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้หลินอิ่งยังอยู่ในช่วงที่กำลังอ่อนแอ แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกกดดันไม่น้อยเลย
“หลินอิ่ง สิ่งที่นายท่านต้องการ คุณได้เอามาด้วยมั้ย?” นายพลงูเปลี่ยนเรื่องแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
มุมปากของหลินอิ่งปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ชอบใจออกมา แล้วพูดไปว่า “สิ่งที่ท่านมังกรดำต้องการ มันได้สลักอยู่ในสมองของผมแล้ว”
“ถ้าเขาอยากได้ ก็ต้องถามผมก่อน”
“หือ?” น้ำเสียงของนายพลงูดูไม่ชอบใจ และพูดออกไปอย่างเคร่งขรึมว่า “หลินอิ่ง นายท่านต้องการอะไร คุณน่าจะรู้ดีแก่ใจ อย่าคิดทำอะไรตุกติก ไม่อย่างนั้น ภรรยาของคุณก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!”
“ที่สำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านถูกใจคุณ อยากที่จะร่วมมือกับคุณละก็ คืนนี้ เราก็สามารถจับตัวคุณไว้ แล้วบังคับให้คุณยอมเปิดปากคายความลับพวกนั้นออกมาก็ได้!”
พอได้ยินคำพูดที่มีแต่การข่มขู่ของนายพลงู สีหน้าของหลินอิ่งก็ยังไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร
“ร่วมมือ? ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านมังกรดำของพวกคุณนั้นจะร่วมมือกับผมยังไง?” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “จับภรรยาของผมไป บังคับให้ผมมอบของที่ต้องการให้ แล้วยังคิดที่จะร่วมมือกับผมอีกเนี่ยนะ?”
นายพลงูพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “หลินอิ่ง นายท่านถูกใจคุณค่าในฐานะของคุณ และถูกใจความสามารถที่คุณมี ถ้าคุณยอมให้ความร่วมมือดีๆ โดยการมอบของที่นายท่านอยากได้ออกมา แบบนั้น ทุกอย่างค่อยคุยกันง่ายหน่อย”
“ส่วนภรรยาของคุณ เราก็จะยอมปล่อยเธอกลับไปอย่างปลอดภัย ต่อไป คุณก็สามารถยืมกำลังของนายท่านเพื่อทวงคืนแก๊งมังกรได้”
“คำมั่นที่นายท่านจะให้กับคุณก็คือการแบ่งแก๊งมังกรกันอย่างเท่าเทียม”
“แบ่งแก๊งมังกรกันอย่างเท่าเทียมอย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งจ้องมองนายพลงูด้วยความรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้ว่าท่านมังกรดำกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
อยากแบ่งแก๊งมังกรกับเขาคนละครึ่ง ความคิดนี้ถือว่าใช้ได้เลย รู้ว่าเขาต้องอยากที่จะคิดคด อยากที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของแก๊งมังกรแน่ๆ
ส่วนท่านมังกรดำนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก ไม่อยากที่จะอยู่ภายใต้การปกครองของอาจารย์กู้ต้า
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยอมปิดบังอาจารย์กู้ต้ากับพวกระดับสูงของแก๊งมังกรเพื่อมาจัดการกับเขาเพียงลำพังหรอก
“สถานการณ์ของแก๊งมังกรตอนนี้ พวกอาจารย์กู้ต้านั้นไม่กลัวอดีตท่านประมุขแก๊งหวนคืนกลับมารึไง?” หลินอิ่งพูดออกมาช้าๆ
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้อาจารย์นั้นเป็นยังไง จึงได้ลองถามหยั่งเชิงดู” อดีตท่านประมุขแก๊งอย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของนายพลงูดูลังเลไปแวบหนึ่ง แล้วพูดออกไปว่า “อดีตท่านประมุขแก๊งได้หายสาบสูญไปนานแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลวในการปลีกวิเวก จนตายไปแล้ว……”
“คุณไม่ต้องอ้างชื่อของอดีตท่านประมุขแก๊งมาข่มขู่กันเลย”
“และผมก็สามารถบอกคุณได้อีกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อดีตท่านประมุขแก๊งจะเสร็จอาจารย์กู้ต้าที่โหดเหี้ยมไปแล้ว ถ้าคุณอยากแก้แค้นให้อาจารย์ของคุณละก็ มาร่วมมือกับนายท่านซะ รับรองว่ามันต้องเป็นการตัดสินใจอันชาญฉลาดแน่นอน” นายพลงูพูดออกมาอย่างช้าๆ
หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย แต่ในใจนั้นกลับกำลังวุ่นวายอย่างมาก
อาจารย์จะถูกลอบทำร้ายจนตายเลยอย่างนั้นเหรอ?
พูดตามตรง หลินอิงนั้นไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
ระดับบูโดของอาจารย์นั้นอยู่เหนือมนุษย์จนไม่อาจจินตนาการได้แล้ว
สิ่งที่จะเป็นไปได้ก็มีแค่ได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ปลีกวิเวกจนตายเท่านั้น
“จะคุยเรื่องร่วมมือกันก็ย่อมได้ แต่ต้องเรียกท่านมังกรดำออกมาพบผม คุณไม่มีคุณสมบัติมากพอ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“ฮึ หลินอิ่ง เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว คุณยังคิดจะวางตัวเป็นท่านประมุขแก๊งอยู่อีกเหรอ?” นายพลงูขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ
“ถ้าต้องการเข้าพบนายท่าน ก็ต้องดูว่าคุณเหลือน้ำยาอีกเท่าไหร่!”
พูดจบ นายพลงูก็โบกมือ กลุ่มของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็เคลื่อนไหวราวกับพายุ พุ่งเข้ามาหวังที่จะปลิดชีพหลินอิ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน!