ชายหนุ่มสวมแว่นตาคนนึง มองดูแล้วท่าทางสุภาพ เดินเข้ามาอย่างมีระเบียบ และพาบอดี้การ์ดสวมชุดสูทมาด้วยสองคน
แกร๊ก
ชายสวมสูทดำสิบกว่าคน ก็เดินเรียงเข้ามาสองแถว บรรยากาศดูจัดเต็ม
เมื่อเห็นฉากนี้ คนที่อยู่ในนี้ทั้งหมดก็ชะงัก
“พี่เหวิน ท่านมาได้ยังไง?” หลุยหรุ่ยสายตาสงสัยจ้องไปที่ผู้มาเยือน และทักทายอย่างเกรงใจ
“หรือว่า ประธานเหวิน คุณมาทานข้าวเหรอครับ? เวลาไม่ค่อยเหมาะ คืนนี้ผมมีเรื่องที่นี่นิดหน่อย รบกวนคุณแล้ว ผมจะชดเชย……” ลุงสองผู้มีเกียรติของหลุยหรุ่ยคนนั้น ก็เดินเข้ามา ทักทายอย่างมีมารยาท
ชายที่เดินเข้ามา พวกหลุยหรุ่ยสองคนต่างก็รู้จัก ก็คือลูกพี่ใหญ่ของอำเภอเจียงเยว่ เซเหวินเชิง
ในอำเภอเจียงเยว่ไม่ว่าจะเป็นคนสายงานไหน อยากจะรุ่งเรือง ก็ต่างจำเป็นต้องมาเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่ท่านนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องคิดจะทำอะไรแล้ว
พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนเดินเข้ามาด้วยความกลัว ไม่ค่อยรู้เหตุผลที่เซเหวินเชิงพาคนมาที่โรงแรมเครสเซนต์
ลูกพี่ใหญ่ท่านนี้ เป็นบุคคลที่พวกเขาสองคนไม่สามารถขัดใจได้
“ประธานเหวิน เรื่องวันนี้ผมต้องขอโทษคุณด้วย คิดไม่ถึงว่าคุณจะมาทานข้าวที่นี่ รบกวนการทานอาหารของคุณที่นี่ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ไว้ผมจะช่วยคุณในวันหลังนะครับ” หลุยหรุ่ยทักทายด้วยความเป็นมิตร พลางพูดอย่างเกรงใจ
เพี๊ยะ!
จู่ๆ เซเหวินเชิงก็ยกมือขึ้นแล้วตบลงไปที่หน้าของหลุยหรุ่ยหนึ่งที
ตบฉาดนี้ ทำเอาหลุยหรุ่ยงงไปหมด จนยืนอึ้งอยู่กับที่ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ แข็งขึ้น
“ประธานเหวิน ท่าน ท่านคือ……ผม ผมจะไปกล้าทำเรื่องให้ท่านไม่พอใจที่ไหนกัน……” หลุยหรุ่ยถูกตบ ในท้องเต็มไปด้วยน้ำโห แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย
เขาเลียหน้า และถามด้วยรอยยิ้มด้านๆ
“ประธานเหวิน คือว่า มีเรื่องคุยกันดีๆ นะครับ หลุยหรุ่ยทำให้ท่านไม่พอใจตรงไหน บังอาจให้ท่านบอกมาเถอะครับ กลับไปผมจะไปสั่งสอนเขาให้ดีครับ” ลุงสองของหลุยหรุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และอึ้งเล็กน้อย
ในอำเภอเจียงเยว่อิทธิพลของเซเหวินเชิงนั้นยิ่งใหญ่มาก
ในอำเภอเจียงเยว่หลุยหรุ่ยถือได้ว่าเป็นคนระดับสูงๆ ลุงสองของเขาก็ถือได้ว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ อันดับหนึ่งอันดับสองในอำเภอ
แต่เมื่อเทียบกลับท่านผู้ใหญ่ตรงหน้า กลับด้อยกว่ามากโข
ถึงยังไง เซเหวินเชิงก็มีภูมิหลังที่ลึกซึ้งในเมืองนี้ มีข่าวลือว่าเขาได้ติดต่อกับท่านเสิ่นซานแห่งเมืองชิงหยูนที่เป็นเมืองหลวงของมณฑล คนระดับสูงอย่างนั้น พวกเขาจะสามารถไปทำให้ไม่พอใจได้ยังไง
“พวกนายสองคนรนหาที่ตายใช่มั้ย? คนแซ่หลุยพวกนายทั้งตระกูล ไม่คิดจะอยู่ที่อำเภอเจียงเยว่แล้วใช่มั้ย?” เซเหวินเชิงพูดอย่างเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
“รบกวนฉันกินข้าวไม่เท่าไหร่ แต่ดันไปรบกวนการทานอาหารของคุณหลินกับภรรยาที่อยู่ด้านใน พวกนายนี่สมองหายไปแล้วหรือไง?” เซเหวินเชิงพูดอย่างดุร้าย
“ห้ะ?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนก็สีหน้าเปลี่ยนทันที
ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักถึง ว่าได้ทำอะไรผิดไป
เซเหวินเชิงเป็นสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นเรียกมา?
เมื่อได้ยินแบบนี้ แม้แต่เซเหวินเชิงยังปฏิบัติต่อสามีภรรยาคู่นั้นอย่างกับพระเจ้า!
นี่ สรุปแล้วว่าเขาไปทำให้ใครไม่พอใจกัน?
คนที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านในนั้น เป็นใครกันแน่? เล่นใหญ่เบอร์นี้ ทำให้เซเหวินเชิงบุคคลระดับสูงผู้นี้ยอมเป็นหมาเฝ้าประตู มาคอยเฝ้าความปลอดภัย?
“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าคุณท่านหลุย คืนนี้คงจะกำจัดไอ้โง่อย่างพวกนายสองคนทิ้งไปแล้ว!ให้ตายยังไงก็หนีไม่พ้น!” เซเหวินเชิงดุอย่างเย็นชา
พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาตกใจจนเข่าเกือบอ่อน เทียบกับท่าทีที่ทำกร่างต่อหน้าหลินอิ่งเมื่อครู่แล้ว ต่างกันมากจริงๆ
“คือ ประธานเหวิน ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ไอ้เด็กหลุยหรุ่ยคนนี้มันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไปทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ไม่พอใจ ผม ผมจะพาเขาเข้าไปด้านในไปยกเหล้าขออภัยคุณหลิน” หน้าผากของหลุยเจียงเต็มไปด้วยเหงื่อพลางพูด
เพี๊ยะ!
เมื่อเพิ่งพูดจบ เซเหวินเชิงก็ยกมือขึ้นและตบลงไปอย่างแรงอีกครั้ง
ตบจนหลุยเจียงทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าแดงก่ำ
เขาคิดไม่ถึงว่า เซเหวินเชิงจะไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด บอกจะตบก็ตบ
“ขอโทษคุณหลิน? นายมีค่าพอจะยกเหล้าให้คุณหลินเหรอ? ไม่ต้องพูดถึงนายหลุยหรุ่ย ถึงพ่อนายจะมา ก็ไม่กล้าจะเดินเข้าห้องไปแม้สักก้าว กล้าลอดเข้าไป ตาย!” เซเหวินเชิงดุอย่างโกรธเกรี้ยว ทำเอาพวกหลุยหรุ่ยสองคนตกใจกลัวตัวสั่น
ล้อเล่นบ้าอะไร แม้แต่เขาเซเหวินเชิงยังไม่มีสิทธิ์ที่จะพบหน้าคุณหลินเลย
สองคนนี้ ยังอยากจะเข้าไปรินเหล้า? คู่ควรเหรอ?
“คุกเข่า” เซเหวินเชิงพูดด้วยเสียงเย็นชา “พวกนายสองคนคุกเข่าอยู่ตรงนี้ รอให้คุณหลินกับภรรยาทานข้าวเสร็จและจากไป พวกนายค่อยลุกขึ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่อาจจะต้านทานเหล่านี้ ใบหน้าของหลุยหรุ่ยและหลุยเจียงก็ซีดลง
คำสั่งนี้ เหมือนว่าจะมากเกินไป มันเหมือนการเอาศักดิ์ศรีของพวกเขาสองคนมาเหยียบขยี้ลงพื้น!
“ยังไม่คุกเข่าใช่มั้ย?”
ขณะที่พวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนกำลังลังเลอยู่นั้น บอดี้การ์ดข้างกายของเซเหวินเชิงก็พุ่งเข้ามาล็อกพวกเขาไว้ และรุมตีไปหนึ่งยก
ทำเอาพวกเขาสองคน ลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น หดหู่ใจ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
ส่วนลูกน้องที่พวกหลุยหรุ่ยพามา ก็ถูกทำให้ตกใจไม่น้อย ไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเข้ามาช่วย
เซเหวินเชิงพวกเขาต่างรู้จัก ให้พูดก็คือเจ้าพ่อบอกอำเภอเจียงเยว่ นั่นไม่ใช่การพูดเกินจริงสักนิด
มองดูพวกหลุยหรุ่ยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น จู่ๆ บรรยากาศก็กลายเป็นมาคุอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำเอาทุกคนในที่นี้ตกใจ
พนักงานต้อนรับหญิง ตาเบิกกว้างยิ่งกว่าอีก และรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย
ที่จริงเธอคิดว่า หลุยหรุ่ยเรียกลุงสองมา เรียกคนมาเยอะขนาดนี้ จะต้องมาเล่นงานหนุ่มแซ่หลินนั่นแบบไม่พิการไม่เลิกรา
เธอยังรอดูเรื่องน่าสนุกอยู่เลย
แต่คิดไม่ถึง จู่ๆ เพียงชั่วครู่ ท่านผู้ใหญ่เซเหวินเชิงก็มา และก็ซ้อมจนพวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนลงไปคุกเข่า
ความสามารถที่น่ากลัวนี้ คุณหลินชายหนุ่มท่านนั้น เป็นผู้ใหญ่ระดับไหนกันแน่เนี่ย?
หลุยหรุ่ยกับหลุยเจียงคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับ สีหน้าเขียวปั๊ด และขายหน้าจนแดง จนอยากจะหารูมุดหนีไป
พวกเขามองสถานการณ์ความเป็นจริง เซเหวินเชิงพาคนมา เฝ้าด้านนอกห้องอาหารอย่างเคารพ ในใจก็กลัวสุดๆ
คิดอยู่ในใจ คุณหลินที่นั่งกินข้าวอยู่ในห้องรังสรรค์ ถึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงสินะ
ไม่ต้องออกหน้า เซเหวินเชิงก็ถึงกับพาคนมาที่นี่เพื่อแสดงมารยาท
นี่จะต้องมีอิทธิพลขนาดไหน ถึงจะมีหน้าทำแบบนี้ได้กัน?
ผ่านไปสิบกว่านาที
หลินอิ่งกับจางฉีโม่พูดคุยยิ้มแย้มพลางเดินออกมาจากห้องรังสรรค์
“คุณหลิน……ท่าน ท่านมีอะไรจะสั่งมั้ยครับ?”
เซเหวินเชิงก้มหัว พลางทักทายด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย
หลินอิ่งทำหน้าไร้อารมณ์ และมองไปรอบๆ
พวกหลุยหรุ่ยสองคนนั้นก้มหน้า ไม่กล้ามองหลินอิ่งแล้ว ใบหน้าแดงก่ำ สายตาเลิ่กลั่ก
“นายจัดการตามสมควรเถอะ” หลินอิ่งเหลือบมองเซเหวินเชิง และพูดอย่างนิ่งๆ
จากนั้น เขาก็จูงมือจางฉีโม่ และเดินลงไปข้างล่างเงียบๆ
กู่ชางไห่ได้ไปเอารถมารออยู่ด้านล่างไว้แล้ว
ทั้งสองขึ้นรถ และออกไปจากโรงแรมเครสเซนต์
หลินอิ่งออกไปอย่างเงียบ แต่ด้านในโรงแรมเครสเซนต์ บรรยากาศยังคงอึดอัดอยู่ เซเหวินเชิงมองพวกหลุยหรุ่ยทั้งสองคนด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม พายุที่สั่นสะเทือนทั้งอำเภอเจียงเยว่ก็ได้เริ่มขึ้น
ควันหลงของเรื่องในคืนนี้ ทุกคนทั้งอำเภอเจียงเยว่ต่างตกตะลึง
เมื่อมาถึงระดับอย่างหลินอิ่ง แค่การกระทำเล็กน้อย เพียงครู่เดียว ก็สามารถส่งผลกระทบต่อคนนับพันหมื่นคน เปลี่ยนชะตาของพวกเขา
รถหรูสีดำกำลังขับอยู่บนถนน ตรงที่นั่งด้านหลัง มีเสียงติ๊ดๆ ดังขึ้น จู่ๆ โทรศัพท์ของจางฉีโม่ก็ดังขึ้น
“ฉีโม่ ทำไมงั้นเหรอ?” หลินอิ่งเอ่ยปากถาม
“ไม่รู้สิ ที่โรงพยาบาลโทรมา บอกว่าเมื่อกี้มีคนมาเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาล ชื่อหลินชิงเย่อะไรสักอย่าง บอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ ตอนนี้รออยู่ที่โรงพยาบาลแหนะ” จางฉีโม่วางสาย ก็งงๆ สีหน้าสงสัยพลางมองหลินอิ่ง