ณ สนามบินนานาชาติจี้โจว มีผู้ชายสวมเสื้อสีขาวสะอาดคนหนึ่ง กำลังเดินออกมาอย่างช้าๆ
หลินอิ่งมาถึงจี้โจวแล้ว ครั้งนี้เขามาคนเดียว ไม่ได้พาคนติดตามมาด้วยสักคน
เย่เฮยกับหวงชิงซานก็ยังปฏิบัติหน้าที่แทนเขาอยู่ ไม่ได้มารับที่สนามบิน
เดิมทีจ้าวเฉิงเฉียนจะมารับหลินอิ่ง แต่ถูกหลินอิ่งให้กลับไปแล้ว
หลินอิ่งมองวิวตึกอาคารสูงใหญ่ที่บรรยากาศคึกคัก ถนนที่ว่างเปล่า มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ว่ากันตามกฎระเบียบข้อบังคับแล้ว เขาเป็นตัวแทนของตระกูลหลินที่มาจากชางโจว สมาชิกองค์กรของตระกูลหลินที่จี้โจวจะต้องมาต้อนรับเขา นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉินเหิงเยว่เคยพูดขึ้น
ดูท่า ที่จี้โจวแห่งนี้คงจะไม่มีใครให้ความสำคัญกับหลินอิ่งเลยสินะ
มองไปรอบๆ หลินอิ่งตรวจดูข้อมูลจากมือถือ ก่อนจะไปนั่งรถไฟใต้ดิน ตรงไปยังเขตใจกลางเมืองของมณฑลจี้โจว
สถานีแรกของหลินอิ่ง ก็คือ ไปยังสำนักงานใหญ่ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย
นั่นเป็นอาณาจักรพาณิชย์ในจี้โจวของตระกูลหลิน ไม่เพียงแต่จะมีห่วงโซ่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในโลกธรรมแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าหัวกะทิของตระกูลหลินอีกด้วย
ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางหนึ่งวัน หลินอิ่งก็ถูกแม่เฒ่าออกคำสั่งให้มาเป็นกรรมการผู้จัดการ ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย
ดูจากสถานภาพผิวเผินแล้ว ในหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยหลินเซวียนเป็นหมายเลขหนึ่ง ส่วนเขาเป็นหมายเลขสอง
แต่ในความจริงแล้ว หลินอิ่งยังไม่มีศักดิ์และความน่าเชื่อถือเพียงพอที่เจียงเป่ย
หลังจากผ่านไปสิบนาที
หลินอิ่งเดินออกมาจากรถไฟใต้ดิน มาถึงยังเขตตัวเมือง บนถนนมีรถแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดขวางตรงหน้า
“พ่อหนุ่ม จะไปไหนเหรอ”
หลินอิ่งขึ้นรถ คนขับวัยกลางคนถามขึ้นอย่างเกรงใจ
“สำนักงานใหญ่ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ
“อ้อ?”คนขับวัยกลางคนขับรถไปพลาง สายตามองสำรวจหลินอิ่งด้วยความประหลาดใจ
“พ่อหนุ่ม นายไปทำอะไรที่หลินซื่อกรุ๊ปเหรอ? ไปสมัครงานหรือไง?”คนขับวัยกลางคนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ช่วงหลายปีมานี้หลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยมีชื่อเสียงอย่างมากในจี้โจว คนที่อาศัยอยู่ในจี้โจวล้วนแต่เคยได้ยินข่าวลือมาว่าหลินซื่อกรุ๊ปมาจากตระกูลกลุ่มบริษัทแถวฝั่งทะเล แถมมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งหนาแน่นกับตระกูลอันดับหนึ่งของจี้โจวตระกูลเผยอีกด้วย
ท่าทางที่คนขับวัยกลางคนมองหลินอิ่ง เหมือนกับกำลังมองนักศึกษาที่เพิ่งจะจบการศึกษา
“ช่างเถอะ”หลินอิ่งตอบกลับอย่างนิ่งๆ
“พ่อหนุ่มช่างกล้าหาญดีจริงๆ คุณสมบัติในการรับสมัครงานของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยสูงมากเลยนะ ไม่เพียงแต่จะต้องการวุฒิการศึกษาสูงจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแล้ว ยังต้องมีความสามารถที่เป็นเลิศอีกด้วย”คนขับพูดคุยเล่น”แถมถ้าสามารถได้ทำงานกับหลินซื่อกรุ๊ป ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างมากเลยล่ะ”
คนขับพูดคุยไปเรื่อย หลินอิ่งฟังด้วยสีหน้านิ่งๆ
รถแท็กซี่แล่นอยู่บนถนนสิบนาที ตอนที่กำลังแล่นผ่านถนนใหญ่ที่คึกคักสายหนึ่งอยู่นั้น
ปี๊นๆๆๆ!
จู่ๆ ริมถนนก็มีเสียงแตรรถดังขึ้น
หลินอิ่งมองตามไป เห็นขบวนรถหรูสีดำดูดีมีสไตล์กำลังขับเรียงกันมา คันที่นำหน้าคือรถโรลส์รอยซ์สีโรสโกลด์รุ่นลิมิเต็ดคันหนึ่ง
ราคาของขบวนรถพวกนี้เกรงว่าน่าจะหลายร้อยล้าน ดูทรงพลัง น่าเกรงขาม ส่งสัญญาณไฟเตือนและส่งเสียงดังสุดๆ ทำให้คนเดินเท้าและรถต่างๆที่บริเวณนั้นต่างหลบออก
“เห้อ พูดถึงก็มาเลย”คนขับวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกดดันไม่น้อย เท้าเหยียบคันเร่ง หมุนพวกมาลัยรัวๆ”พ่อหนุ่มเห็นแล้วยัง นี่ก็คือขบวนรถของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย ออกมาแล้วทรงพลังน่าเกรงขามมาก”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนระดับสูงคนไหนของหลินซื่อกรุ๊ปออกเดินทางมา ฉันต้องรีบหลีกทางให้ หลบให้ไกลสักหน่อย ถ้าเผลอไปชนเข้าล่ะชดใช้ไม่ไหวแน่ๆ”
หลินอิ่งขมวดคิ้ว พูดขึ้น”ทำไมต้องหลีกทางให้พวกเขา? ไม่มีกฎจราจรหรือไง”
คนขับวัยกลางคนพูดถอนหายใจ”พ่อหนุ่มนายน่ะยังเลือดร้อนตามประสาวัยรุ่นอยู่ คนเขาเป็นถึงคนระดับสูงของหลินซื่อกรุ๊ปออกเดินทางมาเชียวนะ มีเงินมีอำนาจ คนธรรมดาอย่างเราๆไปก้าวก่ายได้ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ระวังเผลอไปเฉี่ยวกับรถของเขาเข้า ต่อให้ สิ้นเนื้อประดาตัวก็ชดใช้ไม่ไหว”
หลินอิ่งกำลังจะพูดอะไร
เกิดเสียงโครมดังขึ้น
จู่ๆรถแท็กซี่ก็เกิดเสียงดังอย่างแรงขึ้น ถูกรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งชนด้านข้างตัวรถตรงริมถนน
“อา!”
คนขับวัยกลางคนหันไปมอง เป็นรถจากขบวนรถของหลินซื่อกรุ๊ป ถึงเขาจะไม่เป็นไร แต่ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว รีบเปิดประตูรถออกทันที
“ขอโทษครับ ขอโทษด้วย เถ้าแก่ทั้งหลาย……”คนขับวัยกลางคนรีบพูดขอโทษกับชายชุดสูทกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากข้างในรถเบนซ์ทันที
“แกขับรถเป็นไหม? ไม่ดูตาม้าตาเรือหรือไง? ไม่รู้จักรถของหลินซื่อกรุ๊ปเหรอ? ขับรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาบนถนน ไม่รู้จักหลีกทางหรือไง?”ผู้หญิงชุดยูนิฟอร์มสีดำนำหน้าพูดด้วยความโมโห
“อา ขอโทษครับ ขอโทษ คือ……”คนขับวัยกลางคนก้มหัวลงขอโทษทันที
หลินอิ่งลงมาจากรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นฉากตรงหน้านี้ สีหน้าก็นิ่งขรึมลง
เห็นๆอยู่ว่ารถเบนซ์คันนี้จงใจชนเข้ามา แต่กลับยังพูดตำหนิด่าทอคนขับรถอีก
ไม่ถามตัวเองกับคนขับเลยว่าถูกชนบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
คนคนนี้ช่างยโสโอหังจริงๆ
“แกเป็นคนขับของบริษัทแท็กซี่ไหน? อยู่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใช่ไหม? ฉันจะแจ้งให้ประธานของบริษัทของพวกแกทราบเดี๋ยวนี้ ว่าให้ไล่แกออกไปซะ”
สาวชุดสูทดำพูดขึ้นอย่างยโสโอหัง
“อา ขอโทษครับ ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว เถ้าแก่ คนใหญ่คนโตมีอำนาจบาตรใหญ่แบบพวกคุณอย่ามาถือสาเอาความอะไรกับผมเลยครับ ผมทำงานหาเลี้ยงครอบครัวลำบากมาก”คนขับวัยกลางคนก้มลงขอร้องอ้อนวอน สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและตึงเครียด
“เหอะๆ”หญิงชุดดำหัวเราะอย่างเย้ยหยัน สีหน้าสะอกสะใจไม่น้อย ราวกับว่าเพลิดเพลินกับท่าทางขอร้องอ้อนวอนของคนอื่นที่มีต่อเธอ
“คนยากจนซอมซ่อแบบแกก็ยังถือว่ารู้ตัวอยู่เหมือนกันนะ รีบขับรถพังๆของแกไปซะ อย่ามาขวางทาง กล้ามาขวางการเดินทางของคุณหนูใหญ่หลิน ต่อให้แกมีกี่หัวก็ชดให้ไม่ไหวหรอก”
ในเวลานี้เองคนขับรีบพูดขอบคุณทันที หันกลับไปจะขับรถที่ถูกชนออกไป
ในตอนนี้ หลินอิ่งเดินเข้ามา บังคนขับวัยกลางคนเอาไว้ มองไปยังผู้หญิงชุดสูทดำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“คุณเป็นฝ่ายมาชนรถของคนอื่นแท้ๆ ยังยโสโอหังขนาดนี้อีกเหรอ?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เกี่ยวอะไรกับแกด้วย?”หญิงชุดสูทดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ”รถเบนซ์เอสคลาสคันนี้ชนแล้วฉันก็ไม่ได้ให้มันชดใช้ นี่ถือว่าเมตตาสุดๆแล้ว”
หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”ผมนั่งอยู่ข้างใน คุณขับเข้ามาชน ไหนคุณว่ามาซิ ว่าไม่เกี่ยวข้องกับผมตรงไหน?”
“เหอะ แล้วยังไง? คิดจะรีดไถ่เงินอย่างนั้นเหรอ? ไม่แหกตาดูว่าพวกเราเป็นคนของบริษัทไหน กล้ามารีดไถ่เงิน?”หญิงชุดสูทดำมองสำรวจหลินอิ่งด้วยสายตาดูถูก
“คนต่ำต้อยแบบแก อย่าว่าแต่ชนแกนิดหน่อยเลย ต่อให้ชนแกตายแล้วมันจะยังไง? ยังกล้ามาเถียงไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก?”หญิงชุดสูทดำพูดอย่างเย้ยหยัน
“พอเถอะ พ่อหนุ่ม ช่างมัน นี่เป็นคนของหลินซื่อกรุ๊ป พวกเรายุแหย่ไม่ได้หรอก……”คนขับวัยกลางคนพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆตัวของหลินอิ่ง
หลินอิ่งมองรถโรลส์รอยซ์ตรงกลางของขบวนรถที่อยู่ไกลออกไปคันนั้น ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”คุณเป็นคนของหลินซื่อกรุ๊ป? รถคันนั้นข้างหลังคุณ ใครนั่งอยู่ข้างใน? ให้เขาโผล่หัวออกมา”