บทที่ 84จับมือ
เมื่อจางซิ่วเฟิงเห็นว่าภรรยาของตัวเองล้มลงกับพื้น เขาก็รีบลงจากรถ แล้วมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่โกรธแค้นมาก
“หลินอิ่ง นี่แกทำอะไรลงไป? หลายปีที่เราเลี้ยงดูแกมามันช่างไร้ค่าจริงๆ ที่แกกล้าปล่อยให้นังแพศยาแบบนี้มาทำร้ายแม่ยายของแกแบบนี้!” จางซิ่วเฟิงพูดออกมาด้วยความโมโห
สีหน้าของจางฉีโม่เองก็ดูไม่ดีเลย เธอจึงรีบเดินเข้าไปดูแม่ของตัวเอง “แม่ เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ไม่ต้องมายุ่ง!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดประชดประชัน “ลูกรัก แกเห็นรึยัง ว่าหลินอิ่งที่แกเชื่อใจนักหนาได้ทำอะไรลงไป? มันกล้าลงมือกับแม่แล้วเนี่ย!”
“ลูกรัก วันนี้แกต้องเปลี่ยนใจสักทีนะ แกควรไล่หลินอิ่งออกจากบ้านเราได้แล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างจริงจัง “ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้แม่ก็จะไม่ลุกขึ้นเด็ดขาด!”
“แม่คะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ ถ้าใครมาเห็นเข้ามันจะดูไม่ดีเอาได้นะคะ” จางฉีโม่ทำหน้าลำบากใจ ไม่คิดว่าแม่ตัวเองจะใช้โอกาสนี้มาบีบบังคับเธอ “นี่มันคนละเรื่องกันนะคะ แม่จะเอามันมารวมกันได้ยังไง?”
“มีอะไรให้อาย? แม่จะให้คนของตระกูลจางทั้งหมดได้เห็นว่าหลินอิ่งคนนี้มันเนรคุณขนาดไหน! ให้พวกเขาได้รู้ว่ามันสมควรที่จะถูกขับออกจากตระกูลขนาดไหน!” ลู่หย่าฮุ่ยสบถอยู่ในลำคอ “จะไม่เป็นไรได้ยังไง? ลูกรัก แกยังมองไม่ออกอีกเหรอว่าหลินอิ่งมันเป็นคนยังไง?”
จางฉีโม่ทำหน้าลำบากใจมาก พยุงตัวแม่ให้ยืนขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า “แม่คะ ในเมื่อแม่ก็ไม่ได้เป็นอะไร งั้นเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะค่ะ”
“ทำไมแม่จะไม่เป็นไร? แม่เจ็บแขน! เจ็บหลังไปหมดแล้ว! แกรีบสั่งให้หลินอิ่งไปตบหน้านังแพศยาคนนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ! บอกให้มันมาขอโทษแม่เดี๋ยวนี้!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
จากนั้นก็หันไปมองหน้าหลินอิ่งด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วพูดออกมาอย่างสง่างามว่า “หลินอิ่ง ได้ยินรึยัง? แกบอกว่าแกบริสุทธิ์ใจไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่ฉันพูดซะ ตบสั่งสอนนังผู้หญิงคนนั้นเดี๋ยวนี้ บอกให้มันขอโทษฉันด้วย!”
“จะให้ฉันขอโทษคุณอย่างนั้นเหรอ? ตบฉันอย่างนั้นเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะให้เกียรติหลินอิ่งละก็ ฉันคงตบคุณไปหลายฉาดแล้วค่ะ!” หวางหงหลิวพูดด้วยความโมโห กับคนที่เป็นถึงคุณหนูตระกูลหวางอย่างเธอ ไม่เคยถูกใครดูถูกอย่างนี้มาก่อนเลยนะ
“อะไรนะ? ลูกได้ยินแล้วใช่ไหม? นี่แหละคือธาตุแท้ของหลินอิ่ง มันตั้งใจใช้ผู้หญิงคนนี้มาก่อกวนแม่! มันเกินไปหรือเปล่า?” ลู่หย่าฮุ่ยคำรามออกมา “ถนนเส้นนี้มีแต่เพื่อนบ้านที่เก่าแก่ของตระกูลจาง ซิ่วเฟิงคะ คุณรีบไปตามให้เพื่อนบ้านมาช่วยสั่งสอนนังแพศยาคนนี้หน่อยได้ไหมคะ!”
“ได้! เดี๋ยวผมจะรีบไปตามคนมาเดี๋ยวนี้เลย!” จางซิ่วเฟิงพูดออกมาด้วยความโมโฆ
จางฉีโม่รีบขวางจางซิ่วเฟิงเอาไว้ สีหน้าลำบากใจมาก เธอถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “เฮ้อ……พ่อคะ แม่คะ เลิกโวยวายสักทีได้ไหมคะ พวกท่านรู้ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์กับหลินอิ่งกันแน่ มาถึงก็ด่ากันฉอดๆๆ เป็นใครก็ต้องโกรธเป็นธรรมดาแหละค่ะ” เธอเชื่อแล้วว่าหลินอิ่งไม่ได้เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ
ตอนนั่งอยู่ในรถเธอเองก็ได้ยินไปหมดแล้ว สิ่งที่แม่ของเธอพูดออกมามันก็เกินไปจริงๆ ยิ่งพูดกับผู้หญิงแบบนี้แล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอ ก็คงต้องเดินเข้าไปผลักบางเหมือนกัน
“ยังต้องถามอีกเหรอ? ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกมันเป็นคู่ที่น่ารังเกียจขนาดไหน!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ “ลูกรัก ทำไมแกโง่อย่างนี้? จนถึงขั้นนี้แล้วแกยังคิดว่าหลินอิ่งสามารถพึ่งได้อีกเหรอ?”
“นี่คุณป้า ถ้าคุณยังไม่หยุดแหกปากอีก ฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” หวางหงหลิงที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า กำลังกระทืบเท้า
ตอนนี้ ไอ้หกไอ้เจ็ดก็เดินเข้ามาแล้ว จ้องมองไปที่ลู่หย่าฮุ่ยด้วยสายตาที่เย็นเยือก หักนิ้วจนเกิดเสียงดัง
“ดีนี่! หลินอิ่งนี่แกจ้างสมุนมาด้วยสินะ ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว รอเสร็จเรื่องก่อนเถอะ ฉันจะให้น้ารองของฉีโม่ช่วยฉันระบายความคับแค้นใจในครั้งนี้คอยดู!”
ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ลากจางฉีโม่เข้าบ้านไปด้วยความโมโห
จางซิ่วเฟิงเองก็หันมามองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจเหมือนกัน “ฉันละผิดหวังในตัวแกจริงๆ ไอ้คนเนรคุณ! ต่อไปแกก็พึ่งพาตัวเองไปแล้วกัน!”
คนในครอบครัวของจางฉีโม่ได้เข้าไปในบ้านเก่าของตระกูลจางหมดแล้ว
หวางหงหลิงหน้าแดงก่ำ แล้วหันไปมองหลินอิ่งที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยิ่งทำให้เธออยากจะระเบิดออกมาเลย นี่เขายังนิ่งเฉยอยู่ได้ยังกันเนี่ย?
“มีพ่อตาแม่ยายอย่างนี้คุณทนไหวได้ยังไงเนี่ย? ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัวแทนเลย!” หวางหงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตระกูลจางที่เน่าเฟะขนาดนี้ไม่เห็นจะน่าอยู่เลย ถ้าฉันเป็นคุณละก็คงอาละวาดไปนานแล้ว!”
แต่หลินอิ่งยังคงดูดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “พ่อตาแม่ยายไม่ใช่คู่ชีวิตของผมสักหน่อย”
“โอ้วพระเจ้า คุณนี่สมองมีปัญหาจริงๆ สินะ?” หวางหงหลิงทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่มีความสามารถอย่างหลินอิ่ง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็สามารถออกไปสร้างทางของตนเองแท้ๆ! แล้วยังจะมาทนอยู่ในสภาพแบบนี้ทำไม?
“คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย แล้วเดินเข้าบ้านเก่าของตระกูลจางไป
“นี่คุณ? คุณยังคิดจะเข้าไปในบ้านของตระกูลจางอีกเหรอคะ? ทั้งๆ ที่พวกเขาทำกับคุณถึงขนาดนี่เนี่ยนะ!” หวางหงหลิงมองตามแผ่นหลังของหลินอิ่งไป จนอยากจะเป็นลม เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วหลินอิ่งยังคิดจะเข้าไปอีกเหรอ? หรือเขาเป็นพวกซาดิสม์อย่างนั้นเหรอ?
“ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ใช้ชีวิตกับคนตระกูลจางสักหน่อย”
เสียงของหลินอิ่งลอยมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หายเข้าไปในประตูของบ้านตระกูลจาง
“ไอ้หก ไอ้เจ็ด พวกคุณคิดว่า การที่คนตระกูลจางต่างก็ทำกับหลินอิ่งถึงขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังทนอยู่ที่นี่อีก?” หวางหงหลิงพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “จางฉีโม่ภรรยาของเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเขาสักเท่าไหร่ นี่ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเขาจะไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า แล้วพวกคุณคิดว่าหลินอิ่งเขาทำไปเพื่ออะไรกัน?”
ไอ้หกไอ้เจ็ดมองหน้ากัน แล้วทำหน้าสงสัย จริงๆ สิ่งที่พวกเขาอยากจะพูดก็คือ : ความจริงแล้วหลินอิ่งเองก็ดูไม่ได้สนใจอะไรคุณหนูเหมือนกัน แล้วคุณหนูล่ะทำไปเพื่ออะไร?
“ที่เขายังสามารถทนได้ถึงขนาดนี้ สรุปเขารักจางฉีโม่ถึงขนาดไหนกันเนี่ย?” หวางหงหลิงเอานิ้วจิ้มคาง กัดริมฝีปากเบาๆ และแสดงความอิจฉาออกมาทางแววตา
……
เมื่อหลินอิ่งเดินเข้าในบ้านเก่าของตระกูลจางแล้ว เขาก็นั่งลงที่ข้างๆ ของจางฉีโม่
“หลินอิ่ง ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอคะ? เธอเป็นอะไรกับคุณ?” จางฉีโม่แอบถามอย่างเงียบๆ สีหน้าดูสับสนและแอบมีความหวั่นใจซ่อนอยู่ในนั้นด้วย
“ผมเคยบอกคุณไปแล้วนะ เธอคือหวางหงหลิง” หลินอิ่งตอบไปตามตรง “และผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเธอด้วยครับ” จางฉีโม่ทำหน้าตกใจ “เธอก็คือคุณหนูของตระกูลหวาง หวางหงหลิงอย่างนั้นเหรอคะ?”
“ฉันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าหวางหงหลินนั้นขึ้นชื่อเรื่องนิสัยเสีย ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก เป็นคุณหนูที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ ในเมืองชิงหยูนนี้ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องเธอเลยนะคะ แล้วเธอทนต่อการที่ถูกแม่ต่อว่าขนาดนั้นได้ยังไงกัน?” จางฉีโม่พูดด้วยความสงสัย และเชื่อไม่ลงจริงๆ
เธอเคยได้ยินข่าวลือเรื่องหนึ่งมานานแล้ว ในเมืองชิงหยูนเคยมีคุณชายของตระกูลนักเลงคนหนึ่งเข้าไปจีบหวางหงหลิง ในการพบกันครั้งแรกเธอก็สั่งให้บอดี้การ์ดหักขาของชายคนนั้นทิ้งซะ และที่สำคัญคือตระกูลของชายคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึงเรื่องนี้เลย
พูดได้ว่า ในเมืองชิงหยูนนี้หวางหงหลิงนั้นขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายเลยล่ะ
“ไม่รู้สิครับ” หลินอิ่งตอบ
“งั้นก็แสดงว่าเธอต้องสนใจในตัวคุณมากเลย เธอคงต้องการให้คุณไปทำงานที่บริษัทของเธอมากแน่ๆ? แล้วคุณจะไปไหมคะ?” จางฉีโม่แอบถาม
“ผมไม่มีทางไปแน่นอนครับ” หลินอิ่งได้ยิ้มออกมา “แล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาเหรอครับ?”
จางฉีโม่กัดริมฝีกปากเบาๆ จากนั้นก็พูดออกมา “พ่อกับแม่ต่างก็กระทำกับคุณอย่างนี้ คนในตระกูลจางก็จ้องแต่จะไล่คุณออกไป แล้วคุณยังคิดที่จะอยู่กับตระกูลจางต่ออีกเหรอคะ?”
หลินอิ่งหันไปมองจางฉีโม่ แล้วถามไปด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “แล้วคุณอยากให้ผมอยู่ต่อหรือเปล่าล่ะครับ?”
“ฉัน……” จางฉีโม่หันไปมองหลินอิ่งอย่างไม่ค่อยกล้าสู้ตาเขานัก “ฉันยิมยอมชั่วคราวค่ะ! เพราะคุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด”
“ขอแค่คุณอยากให้ผมอยู่ ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งผมได้ ไม่มีใครสามารถไล่ผมออกจากที่นี่ได้หรอกครับ”
หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย แล้วยื่นมือไปกุมมือของจางฉีโม่เอาไว้
ใบหน้าของจางฉีโม่ค่อยๆ แดงขึ้นเรื่อยๆ แล้วกัดริมฝีปากเบาๆ
ถึงหลินอิ่งจะแต่งงานกับเธอมาสองปีกว่าแล้วก็ตาม แต่นี่คือครั้งแรกเลยที่เขาจับมือกับเธอ……
และนี่ก็คือครั้งแรกเลยที่ทั้งคู่ได้ใจสั่นพร้อมกัน
“หลินอิ่ง! ได้ยินว่าแกกล้าพาผู้หญิงคนอื่นมาที่นี่ด้วยใช่ไหม? แถมยังกล้าทำร้ายแม่ยายของตัวเองอีกจริงไหม?”
ในตอนนั้น จางหงอี้ก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห แล้วก็เริ่มด่าทอหลินอิ่งขึ้นมาทันที
จางหงอี้กระทืบเท้าอย่างแรง แล้วจ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความหยิ่งยโส
“ช่างเป็นหมาที่ใจกล้าจริงๆ เลยนะ! ที่กล้ามารังแกคนของตระกูลจางถึงหน้าบ้าน วันนี้ไม่เพียงแค่แกคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกไล่ตะเพิดไป แต่นังแพศยาคนนั้นเองก็จะต้องมาคุกเข่าขอขมาอยู่ตรงหน้าประตูของตระกูลจางอีกด้วย!”