ยามค่ำหิมะตกหนักขึ้น ก่อตัวราวกับจะกลบเมืองทั้งเมืองได้
ทำให้การจราจรเป็นอัมพาต
คนขับรถขับอ้อมกลับมาอย่างไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ ขับมาอย่างช้าๆ ในช่วงเวลานี้ทำให้เหอเจิงที่กำลังอยู่ในภาวะหายใจไม่ออกสงบใจลงได้ในที่สุด
เมื่อเธอขึ้นรถก็แจ้งจุดหมายปลายทาง เธอนั่งอยู่ด้านหลังรถอย่างไร้จิตวิญญาณ ราวกับตกลงไปในถ้ำที่ว่างเปล่า จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเงียบๆ
โชคดีที่เธอไม่ได้แต่งหน้าเข้มมาก
ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงเหมือนผีสาวไปแล้ว
รถจอดอยู่นอกสวนเหอเฟิง ไม่มีไฟบริเวณจุดรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้นั้นกำลังเคลิ้มทำท่าจะสัปหงกอยู่ จู่ๆ ก็เห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งเดินผ่านกล้องวงจรปิดไป ฝีเท้าเธอเชื่องช้า ทุกก้าวจมลึกเข้าไปในกองหิมะหนาลึก
เขาจำเหอเจิงได้ จึงรีบหยิบร่มวิ่งออกมาเรียกเธอจากทางด้านหลัง: “คุณหญิงจี้ครับ!”
แต่ราวกับเธอได้ปิดโหมดการรับฟังไปเรียบร้อยแล้ว
เธอก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินตามได้สองก้าว ตรงทางเข้าก็มีรถไม่คุ้นตาขับผ่านเข้ามา เขาจึงย้อนกลับไปอย่างเสียไม่ได้พลันพึมพำอยู่ในใจว่า คืนนี้ดูท่าสามีภรรยาคู่นี้จะมีอะไรผิดปกติเสียแล้ว
ตกดึก
เนื่องจากรถติดอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน เดิมทีจะต้องมาถึงสวนเหอเฟิงก่อนสี่ทุ่ม แต่กว่าจะมายืนอยู่ตรงขั้นบันไดสีขาวใต้ตึกก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว ลมหนาวไร้รูปพัดเข้ามาถึงกระดูกของเหอเจิงดั่งยาพิษ ทำให้การรับรู้ทั้งหมดของเธอถูกแช่แข็งเอาไว้
ประตูใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดออก
เธอกดนิ้วลงไปเบาๆ ก็มีเสียง “ติ้ง” ดังขึ้นมา ดังราวกับถูกสำเร็จโทษด้วยกระสุนปืน
เธอเดินผ่านลานบ้านใต้ระเบียงและมองผ่านกระจกหน้าต่างเข้าไปก็เห็นแสงไฟสว่างไสว ราวกับมีเงาคนอยู่ในนั้นด้วย ภายในห้องดูท่าจะอบอุ่น จี้ผิงโจวถึงสวมเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ ที่ใช้ใส่ตอนช่วงฤดูใบไม้ร่วง และพับแขนหลวมๆ ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
เขาก้มตัวลงไปขยับๆ เครื่องทำความสะอาดระบบอัลตราโซนิกเครื่องใหม่ที่อยู่ข้างทีวีในห้องนั่งเล่น
เป็นเครื่องสำหรับล้างแว่นตาโดยเฉพาะ แต่ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยได้ใส่แว่นสักเท่าไหร่
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู จี้ผิงโจวก็เอาสายไฟมาเสียบเข้ากับเครื่อง เขาหันไปมองเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เห็นร่างของเหอเจิง เขาก็เอานิ้วกดสวิตซ์เปิดปิด
จากนั้นก็มีเสียงน้ำตามมา
ไหลรินออกมาเป็นสาย
“ข้างนอกฝนตกอยู่ ได้พกร่มหรือเปล่า?”
ไม่มีเสียงตอบรับ
เขายื่นมือไปปิดเครื่องแล้วลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกคล้ายจะเป็นลมหน้ามืดจนต้องถอยกลับมา รอจนอาการดีขึ้น ถึงมองเห็นร่างคล้ายตุ๊กตาหิมะของเหอเจิงปรากฎตัวอยู่ภายในห้อง
แต่เหมือนเธอไม่รู้สึกถึงความหนาวสักเท่าไหร่
ขนตาเธอเปียกเป็นกระจุกเหมือนไปแช่น้ำมา ใบหน้าแข็งตัวราวเกล็ดน้ำแข็ง ขาวซีดไม่ต่างจากหิมะที่อยู่ข้างนอก เสื้อผ้าที่ใส่อยู่เปียกไปหมดทั้งด้านนอกและด้านใน
รองเท้าก็มีแต่โคลน และหิมะ
จี้ผิงโจวมีสีหน้าเครียดขึ้ง แต่กลับไม่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอะไรมาก เขาหันกลับไปขยับๆ เจ้าเครื่องตัวนั้นต่อด้วยท่าทีที่เยียบเย็น “ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยลงมาทานข้าว”
นิ้วมือเขาแตะไปที่ปุ่มกด
เจ้าเครื่องทำความสะอาดถูกออกแบบให้ดูเหว้าๆ แหว่งๆ การเคลื่อนไหวเปิดเผยตรงไปตรงมา ตามตัวมีกลิ่นหอมของไม้สนจางๆ ดูสะอาดสะอ้าน
เหอเจิงกระพริบตาเดินขึ้นชั้นบน จากนั้นก็ปิดประตู
จี้ผิงโจวก้มศีรษะ เหมือนคนที่คลานอยู่ริมฝั่งมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงอากาศอันบริสุทธิ์ในที่สุด
ผู้หญิงคนหนึ่งใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้านานขนาดไหนกันนะ?
อาหารในห้องอาหารเป็นของที่เขาเดินทางไปสั่งถึงร้านเสียวหม่านย่วนแห่งเมืองเหยียนจิง แล้วสั่งให้มาส่งตอนสองทุ่ม เขารอจนถึงสี่ทุ่มถึงค่อยนำมาอุ่นให้ร้อนด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากยังควบคุมอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องครัวไม่คล่องนัก จึงทำน้ำแกงสาดใส่ตัวไปสองสามหยด เขาจึงต้องไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ
เสื้อที่ใส่อยู่ในตอนนี้ก็เป็นเสื้อเชิ้ตที่ใช้ใส่ตอนฤดูใบไม้ร่วงที่ลืมทิ้งไว้เมื่อปีที่แล้ว
เมื่อเอามาใส่ก็รู้สึกว่ายังพอดีตัว แต่คนดูคล้ายจะเปลี่ยนไปแล้ว
อาหารนั่นก็เย็นอีกแล้ว
แต่จี้ผิงโจวกลับไม่มีความคิดที่จะอุ่นให้ร้อนอีกเป็นครั้งที่สอง เขาขึ้นไปเคาะประตู ระหว่างที่กำลังจะยกมือขึ้น มือถือที่อยู่ชั้นล่างก็ดังขึ้นมา เขาจึงลงไปรับโทรศัพท์
เป็นเป๋ยเจี่ยนที่โทรมา
ทั้งหัวใจเขาทั้งน้ำเสียงล้วนว่างเปล่า “มีเรื่องอะไรเอาไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”
แต่ขณะที่กำลังจะวางสาย
น้ำเสียงของเป๋ยเจี่ยนกลับสั่นเทิ้มไปด้วยความร้อนใจ “พี่โจว จี้ห้อยคอที่พี่หาเมื่อตอนกลางวัน ผมรู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน”
จี้ผิงโจวมองขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็เหลือบมองเสื้อโค้ทที่เขาโยนไว้บนโซฟา “มันไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว”
“พี่ฟังผมพูดให้จบก่อนครับ……”
เขาบีบๆ บริเวณโหนกคิ้ว
เพื่อให้เวลาแก่เป๋ยเจี่ยน
“หลังผ่านวันคริสต์มาสไปแล้ว คุณให้คุณจ้าวไปเลือกของขวัญในรถ คุณจ้าวเอาจี้ห้อยคอเส้นนั้นไปครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเอาไปให้พี่เชินซ่อมน่ะครับ เดิมทีผมกะจะบอกคุณวันนี้ คุณก็แบบนั้นอยู่……ทีนี้เมื่อกี้คุณจ้าวโทรมาบอกว่าได้เจอกับคุณนายฟางที่ร้านอาหารตรงหอกลองนั่น……”
ครืน ——
จี้ผิงโจวนึกว่าเป็นเสียงกำแพงใจที่เขาก่อขึ้นมาอย่างยากลำบากได้ล้มครืนลงมา แต่เมื่อฟังดูดีๆ ก็พบว่าเป็นเครื่องจักรที่เขาติดตั้งอยู่นานก็ยังไม่เรียบร้อยดีได้หยุดการทำงานเองเสียแล้ว
“พี่โจวครับ?”
เสียงดูเป็นกังวลของเป๋ยเจี่ยนดังผ่านไมโครโฟนออกมา
จี้ผิงโจวเงียบเสียงไป เขามองเจ้าเครื่องที่ดับไปเครื่องนั้นด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้เล็กๆ
“ทางนั้น เธอ……พูดอย่างไรบ้าง?”
เป๋ยเจี่ยนไตร่ตรองอยู่สักพัก
สงวนท่าทีเล็กน้อย
แม้กระทั่งคำพูดเจ็บแสบสักคำก็ไม่กล้าให้เล็ดลอดออกไป
ไหนเลยจะรู้ว่าเรื่องนี้ได้ตายสนิทไปเสียแล้ว
“คุณจ้าวพูดว่า……คุณนายฟางถามไปคำว่าคุณเป็นคนให้หรือไม่ จากนั้นก็พยักหน้ายิ้มๆ แล้วค่อยเดินจากไปครับ……”
โทรศัพท์ถูกวางไปแล้ว
ไฟก็ดับไปเช่นเดียวกัน
จี้ผิงโจวถอดปลั๊กออก เขาจำได้ว่ามีแผ่นให้ความร้อนอยู่ในลิ้นชัก จึงหยิบมันขึ้นไปชั้นบน เขาเปิดประตูโดยไม่เคาะประตูก่อน ห้องมืดมากจนมองไม่เห็นข้างใน ดูราวกับมิติคู่ขนานที่ออกมาจากอีกโลกหนึ่ง เหอเจิงซ่อนตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมพบหน้าใครทั้งนั้น
เธอที่ทั้งตัวเล็กและผอมบางในม้วนผ้าห่มสีขาวเทากำลังขดตัวอยู่ตรงมุมกำแพง กระทั่งเส้นผมสักเส้นก็ไม่มีเล็ดลอดออกมาให้เห็น
บริเวณพื้นใกล้ๆ ขอบเตียงมีหิมะหยดออกมาจากเสื้อผ้าของเธอ
มันจับตัวกันเป็นก้อน แช่แข็งความเศร้าเสียใจของเธอเอาไว้
จี้ผิงโจวเปิดโคมไฟ
คนที่อยู่มุมเตียงตัวสั่นขึ้นมา
เมื่อเขาเดินเข้าไป เธอก็ตัวสั่นมากขึ้น เขาดึงชายผ้าห่มออกมาด้วยมือที่เหยียบเย็น ในตอนนี้เขาถึงเห็นว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แม้แต่เสื้อโค้ทที่มีหิมะเกาะก็อยู่ในม้วนผ้าห่มเช่นเดียวกัน
แบบนี้จะไม่หนาวได้หรือ?
“ลุกขึ้นมาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทานข้าว”
จี้ผิงโจวเอามือลูบเส้นผมเปียกชื้นของเหอเจิง มันเปียกจนจับตัวเป็นกระจุก เป็นปมชื้นๆ ทั้งยังมีไอเย็นติดมาด้วย ตอนนี้เตียงนอนเปียกชื้นไปหมดก็เพราะเธอ แต่ไม่รู้ว่ามันคือหิมะหรือน้ำตากันแน่
ขณะที่พูดใจเขาก็สั่นไปด้วย สั่นเหมือนบ้านเก่าๆ เตี้ยๆ ที่ล้มครืนลงมาท่ามกลางหมอกควันและภัสม์ธุลี
สั่นสะเทือนจนหายใจไม่ทัน
“เธอทำแบบนี้ต้องการจะแข็งตายให้ใครดู?” เขาเอ่ยปากพูดอย่างขัดเคือง ทำไมปากกับใจไม่ตรงกันถึงเพียงนี้ “ลุกขึ้นมา อย่าให้ฉันต้องลงมือ”
เงาร่างอันหงอยเหงาก่อตัวเป็นกำแพงป้องกันตัว ไม่ขยับใดๆ ทั้งสิ้นราวกับคนที่ตายไปแล้ว จากนั้นก็มีเสียงราวกับปีนขึ้นมาจากโลงศพออกมาว่า “จี้ผิงโจว คุณบอกว่าจี้ของฉันแตกไปแล้ว แต่ทำไมฉันถึงเห็นมันห้อยอยู่บนคอของคนอื่นได้ล่ะคะ?”
“เรื่องนี้ฉันเพิ่งจะ……”
“วันนี้ในที่สุดฉันก็รู้แล้ว……” เธอเหม่อมองไปยังเงาสีเทาของจี้ผิงโจวที่อยู่ตรงกำแพงสีขาวนั่น แล้วใช้มือลูบไปตามลำตัวของเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ “ที่แท้คุณก็แค้นฉันถึงเพียงนี้……คุณมอบให้คนที่ชอบก็ช่างเถอะ ฉันยังพอหลอกตัวเองได้ว่าคุณกำลังโกรธฉันอยู่……แต่คุณกลับเอาไปให้ผู้หญิงนั่น แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ”
จี้ผิงโจวหายใจเข้าลึกๆ “เธอลุกขึ้นมาก่อนเถอะ”