ไม่ได้เกินจริงที่จะบอกว่าทะเลาะกัน
จี้ผิงโจวบาดเจ็บไม่มากก็น้อย นี่ต้องโทษที่เขาดันไปดึงชุดที่เปียกชื้นของเหอเจิงอย่างแรง เธอจึงขัดขืนเขาสุดฤทธิ์ ทั้งใบหน้าและมือล้วนมีแต่น้ำตา กระทั่งเสื้อไหมพรมก็ถูกดึงจนเปลี่ยนรูปทรง ราวกับงานศิลปะผุพังมาเกาะบนไหล่เธอ
เหอเจิงเอามือกดมุมเตียงเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างฉายใบหน้าของจี้ผิงโจวที่มีเลือดไหลจากบริเวณขมับ กระจายไปทั่วบริเวณหนังตา
เขาถูมือไปมา จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องอีกครั้ง
พวกเขาเห็นๆ อยู่ว่าเป็นสามีภรรยากัน
แต่กลับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
“เธอคิดว่าฉันจะจัดการเธอไม่ได้สินะ?”
เหอเจิงจำจี้ที่ห้อยอยู่บนคอของจ้าวถังชิวเส้นนั้นได้ เธอมองเขาอย่างเคียดแค้น ในใจนึกภาพเขาถูกฉีกกัดจนแหลกละเอียด ทั้งเลือดและน้ำตาไหลหลั่ง พลิกตัวไปมาอย่างเจ็บปวดและรวดร้าว
“จี้ผิงโจว ถ้าคุณแค้นฉันจริงๆ วันนี้ก็ฆ่าฉันให้ตายไปเลยสิคะ”
“ฉันจะฆ่าเธอไปทำไมกัน?” เขานั่งอยู่ใต้โคมไฟที่ร้อนระอุด้วยความเหน็ดเหนื่อย จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย เผยรอยยิ้มหนาวสั่น “ถ้าฉันฆ่าเธอ เธอก็จะลงไปเจอกับคนที่อยู่ในใจสินะ?”
“ฟางเหอเจิง ทำไมเธอฟังคำพูดเขาถึงเพียงนี้ เขาให้เธอแต่งงานกับฉัน เธอก็แต่งงานกับฉันสินะ? เธออยู่กับฉันทุกวัน ทานข้าวโต๊ะเดียวกันกับฉัน นอนเตียงเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ใบหน้าของใครอยู่ในความคิดของเธอกันแน่? วิธีการเหยียบย่ำของเธอมันเหนือชั้นจริงๆ รู้จักหาตัวแทน ทำไมเธอไม่ศัลยกรรมฉันให้เป็นหน้าเขาไปเลยละ มันคงสะใจเธอมากสินะ?!”
“เธอยกเรื่องจี้ห้อยคอบ้าๆ นั่นเพื่อหาเรื่องทะเลาะกับฉัน พูดออกมาตรงๆ ดีกว่า ที่เธอคิดถึงอยู่ตลอดเวลาคือเจ้าวัตถุนี้หรือเปล่า? ที่เธอคิดถึงอยู่เป็นคนต่างหากล่ะ!”
เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณเดิมที่แตกสลายไปแล้วราวกับถูกเขานำขึ้นมาเผาไฟ จากนั้นก็จุ่มลงไปในน้ำแข็ง เขย่าๆ สุดท้ายก็หยิบขึ้นมาแขวนบนกำแพงเพื่อปล่อยให้มันตกลงมาแตกเป็นชิ้นๆ
เหอเจิงไม่อาจยับยั้งความตื่นตระหนกและความเกลียดชังลงไปได้ เธอกัดฟันแน่น ใบหน้าเยียบเย็นดั่งวิญญาณแค้นที่ถูกซาตานทิ้งเอาไว้ในโลกมนุษย์ “คุณไปเห็นอะไรมา คุณรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกันคะ?”
“เสแสร้งต่อไปไม่ได้แล้วสินะ?”
“ฉันถามว่า คุณรู้ได้อย่างไรกันคะ?!”
เธอตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
จี้ผิงโจวหยิบของที่พกใส่กระเป๋ามาจากบ้านโดยไม่ต้องคิด มันเป็นรูปเก่าๆ ใบหนึ่ง เขายกขึ้นมา สะบัดๆ จากนั้นก็โยนใส่หน้าเหอเจิง แม้แต่ความทรงจำครั้งเก่าก่อนก็ให้มันฉีกขาดไปด้วยกัน ประหนึ่งเอาขี้เถ้าของซ่งเหวินมาเฆี่ยนใส่ความรู้สึกในวัยเยาว์ของพวกเขา
ครั้งเดียวไม่พอ
เขายกมันขึ้นมาแล้วโยนใส่หน้าเหอเจิงอีกครั้ง
“เธอซ่อนของพวกนี้ไว้ในบ้านของพวกเรา เธอยังจะถามว่าฉันรู้ได้อย่างไรอีกหรือ?”
เหอเจิงตัวแข็งขณะที่หยิบรูปถ่ายเหล่านั้นขึ้นมา จู่ๆ จี้ผิงโจวก็จับข้อมือเธอตอกเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง เธอเจ็บปวดจนหายใจไม่ออก ภาพตรงหน้าพล่าเลือน ราวกับคนที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้คือ
ซ่งเหวิน
เธออยากจะไปกับเขาเหลือเกิน
เธอเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ไปกับเขาเมื่อสามปีก่อน ถ้าหากตอนนั้นเลือกอีกเส้นทางหนึ่งล่ะก็ ตอนนี้จะออกมาในรูปนี้หรือ
เจ็บปวดทรมานกันทั้งสองฝ่ายแบบนี้?
สิ่งต่างๆ ในอดีตล้วนผิดพลาดไปหมด
สีหน้าของจี้ผิงโจวค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เขายกจดหมายลาตายของซ่งเหวินขึ้นมา จากนั้นก็คลี่สิ่งที่ดูคล้ายคำแก้ตัวออกมาวางไว้ตรงหน้าเหอเจิง เป็นตัวอักษรที่สวยงามแต่ดูเลื่อนลอย เพราะตอนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ สุขภาพของซ่งเหวินกำลังย่ำแย่มากแล้ว
เธอจินตนาการได้ถึงซ่งเหวินที่กำลังนั่งอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ ท่ามกลางแสงสีทองแห่งความตายของเขา
“อาลัยอาวรณ์นักไม่ใช่หรือ? ก็อ่านเลยสิ!”
เขาโหดร้ายเพียงใดถึงทิ้งเธอเอาไว้คนเดียว ให้ต้องเผชิญกับสถานการณ์เสมือนตายทั้งเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่
ขณะฟังคำพูดของจี้ผิงโจว หูของเหอเจิงก็สั่นไปด้วย เธอมองไปทางเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่าประหนึ่งตัวเองไม่เคยรู้จักกับคนๆ นี้มาก่อน แต่เขากลับอยากควักลูกตาของตัวเองออกมาอุทิศให้กับความรักของพวกเธอที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแม้จะมีความตายมาพรากจาก “ไม่กล้าดู หรืออยากให้ฉันอ่านออกมากันล่ะ?เพราะอะไรเธอถึงหมกหมุ่นอยู่กับจี้ห้อยคอเส้นนั้น? จะส่งความปลอดภัยให้อย่างนั้นหรือ?”
เขาที่พูดประโยคนี้รู้สึกมีความสุขอย่างกลั้นไม่อยู่ขึ้นมาแล้ว
“ในจดหมายเขาเขียนอะไรลงไปบ้างล่ะ? เขาเขียนว่าขอบคุณที่เธอมอบยันต์คุ้มครองตัวให้เขา แต่ในชีวิตนี้เขาไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว จึงหวังว่าเธอจะมอบมันให้กับฉัน ตัวเธอไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบ้างเลยหรือ?!”
ความเครียดแค้นสุมอยู่ในอกจนไม่อาจสงบลงได้ และมีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น “มาถึงตอนนี้ทำไมฉันยังมองกลโกงของพวกเธอไม่ออกอีกนะ? เธอว่า เป็นเพราะวิธีการของเธอมันเหนือเมฆเกินไป หรือฉันโง่ดักดานกันแน่?”
ร่างของเหอเจิงเต็มไปด้วยหลุมเลือด หลุมเลือดที่ถูกทิ่มแทงด้วยคำพูดอันแหลมคมของเขา เขาดึงรากผมเธอ ใบหน้าเธอจึงถูกบังคับให้แหงนขึ้นไปด้วย
น้ำตาหลั่งออกมาจากดวงตาเย็นชาของเธออย่างสิ้นหวัง
“จี้ผิงโจว คุณต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่?”
ความคับแค้นใจของเขาเบาบางลงจนเหมือนจะบื้อใบ้ไป จากนั้นเขาก็ถามอย่างตะกุกตะกักออกไปว่า: “ผมควรจะถามคุณด้วยประโยคนี้เสียมากกว่า เธอคิดว่าฉันควรจะทำอย่างไรล่ะ? หากรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนจริงๆ ก็ควรจะตายไปเสียตั้งแต่แรกเลยสิ จะมาแต่งงานกับฉันทำไม? ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือทนจริงๆ!”
“ทำไมถึงอยากแต่งงานกับคุณหรือคะ?” เหอเจิงถูกครอบงำไปด้วยความสิ้นหวัง เธอดึงรอยยิ้มกลับมา กดมือของจี้ผิงโจวเอาไว้ และแกะเส้นผมที่ติดหน้าออก เธอเช็ดน้ำตา จากนั้นก็มองเขาด้วยดวงตาที่กระจ่างใส “คุณอยากฟังความจริงไหมล่ะคะ?”
เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงอะไรออกมา
เธอก็ตัดสินโทษประหารให้กับความรู้สึกของพวกเขาแล้ว “เพื่อเงินอย่างไรล่ะคะ เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดี อีกอย่างฉันพบว่าคุณเป็นไอ้หน้าโง่ เป็นคนโง่ที่หลอกง่ายมาก คุณคิดว่าฉันรักคุณจริงๆ หรือคะ คุณรังเกียจที่ฉันมันไม่สะอาดสินะ? แต่ตอนนอนก็ดีใจเสียเหลือเกินไม่ใช่หรือ? นอนด้วยกันแล้วก็มารังเกียจฉันสารพัดอีก ทำไมคะ เป็นเพราะฉันปรนนิบัติคุณไม่ดีพออย่างนั้นหรือคะ?”
มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
ตอนสมัยวัยรุ่น ตอนที่ยังเป็นเด็กเอามากๆ ฟางเหอเจิงก็เป็นหญิงสาวที่ถูกโจมตีด้วยคำติฉินนินทาสารพัดแล้ว บ้างก็ว่าเธอหลงไหลในชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฟุ้งเฟ้อ ไร้ยางอาย ไม่มีหิริโอตัปปะ เธอชอบผู้ชายที่จะดันตัวเธอสูงขึ้นได้ อย่างเช่น จี้ผิงโจว
ครั้งแรกที่เจอกัน
เธอแต่งตัวสะสวย แต่งหน้าบางๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า “อีกหน่อยคุณจะต้องชอบฉันอย่างแน่นอนค่ะ” บางทีอาจเริ่มจากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมา ที่เธอเริ่มดีดลูกคิดรางแก้วจดจำหนทางที่จะเป็นไปในอนาคตเอาไว้แล้ว
นักธุรกิจจากตระกูลฟาง ลูกสาวนอกสมรส
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาข้องเกี่ยวกับลูกชายคนโปรดของเบื้องบนอันสูงส่งอย่างจี้ผิงโจว แต่คนอย่างฟางเหอเจิงก็จงใจทำมันจนได้ เธอมีความกล้าและความเด็ดเดี่ยวอยู่ในตัวแบบนี้แหละ
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกล้าที่จะคบจี้ผิงโจวในขณะที่กำลังหวานชื่นอยู่กับคนรักเก่าอีกด้วย
ความเกลียดชังได้ทะลุผ่านเครื่องพันธนาการไปแล้ว จี้ผิงโจวบีบนิ้วเสียแน่นจนจดหมายลาตายของซ่งเหวินที่เหลืออยู่เป็นฉบับสุดท้ายในโลกผิดรูปทรงไปจากเดิม
เหอเจิงไม่กลัว กลับส่งยิ้มอย่างคนใกล้ตายออกมา “จี้ผิงโจว หากยังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป ฉันคงไม่กล้ารับรองว่าจะไม่เอาผู้ชายมานอนบนเตียงของคุณกับฉันหรอกนะ หรือคุณจะให้พวกเราโชว์ให้คุณดูสักครั้งล่ะคะ?”
ทันใดนั้นลำคอเธอก็ถูกยกขึ้นราวกับกิ่งต้นหลิวที่ขาดชีวิตชีวา ขอเพียงจี้ผิงโจวจับคอเธอพลิกเบาๆ เธอก็พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ น้ำเสียงเขาแหบแห้ง ลมหายใจแผ่วเบา “เธอมันต่ำช้าหรือเปล่าล่ะ?”
ชีวิตเธอกำลังจะถูกทำลาย จิตวิญญาณราวกับจะหลุดออกจากร่าง ทั้งน้ำเสียงและลมหายใจของเหอเจิงดูอ่อนแรง รูม่านตาเอ่อน้ำ จี้ผิงโจวบีบจนสมองเธอเริ่มขาดอากาศ ในสถานการณ์ที่ความตายใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้านี้ เธอกลับยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ เพื่อสัมผัสกับจดหมายลาตายของซ่งเหวิน คล้ายกับว่าหากได้ลูบมันก่อนตายสักครั้งจะได้กลับมาเกิดใหม่พร้อมกับเขา
ในที่สุดก็จะสัมผัสได้อยู่แล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น……
จดหมายที่ราวกับฝุ่นละอองเก่าๆ และผุพังนั่นได้ถูกฉีกจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ในขณะเดียวกัน ชีวิตของเหอเจิงก็กำลังจะถูกช่วงชิงไปเช่นกัน และแล้วลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอก็กลับคืนสู่ร่าง เกือบไปแล้ว……อีกแค่วินาทีเดียวจี้ผิงโจวก็จะบีบคอเธอตายแล้ว
หากแต่ในวินาทีต่อมา
เขากลับกอดเธอเอาไว้ เธอตัวอ่อนปวกเปียก ผิวหนังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยสีเลือดช้ำม่วง ลำคอขาวนวลมีรอยมือให้เห็นเด่นชัด เธอถูกบังคับให้ฟุบลงกับหัวไหล่เขา เส้นโลหิตเย็นไปทั่วร่าง เขาโอบกอดเธอ กอดเอาไว้อย่างแนบแน่น อย่างหวาดกลัวว่าจะสูญเสียเธอไป
ราวกับคนที่กำลังจะตายนั่นเป็นเขาเสียเอง
เสียงทุ่มต่ำของจี้ผิงโจวดังอยู่ข้างหูเหอเจิง แทรกซึมแช่อยู่ในกระดูกเธอ “เธอดูตัวเธอในตอนนี้สิ ทะเลาะกับฉันเพื่อคนที่ตายไปแล้ว มันคุ้มค่าแล้วหรือ?”
ตั้งแต่ได้เห็นของที่อยู่บนคอของจ้าวถังชิว
เหอเจิงก็ยอมรับแล้ว
เธอแค้นเสียจนอยากจะพังพินาศไปด้วยกันกับจี้ผิงโจว
แต่พอเธอเดินผ่านหิมะกองโตกลับมายืนอยู่ในห้องรับแขก จนลมหายใจที่อุ่นร้อนค่อยๆ ไต่ขึ้นไปตามผิวหนัง และเพียงแวบแรกที่เธอได้เห็นชายหนุ่มกำลังนั่งยองๆ วุ่นกับเครื่องทำความสะอาดแว่นตาอยู่หน้าทีวี ด้วยนิ้วมือและใบหน้าอันงดงามของเขานั่น ในชุดที่สะอาดและบางเบา พร้อมกับถามเธออย่างเย็นชาว่า เธอได้พกร่มหรือเปล่า?
ดูคล้ายกับว่าพวกเขายังเป็นสามีภรรยาธรรมดาๆ ที่เพียงทะเลาะกัน ก็สามารถกลับมาคืนดีกันได้ดังเดิมในวันต่อมาเสียอย่างนั้น
ต้องโง่ยิ่งกว่า
เธอมันโง่เสียยิ่งกว่าจี้ผิงโจว
ที่จมไปกับคำพูดเอาใจใส่เพียงประโยคเดียวของเขา
ผ่านมาหลายปีแล้ว เขาก็ยังเป็นเหมือนค่ำคืนที่มีหิมะในปีนั้น ที่เอาเสื้อโค้ทตัวใหญ่โอบอุ้มตัวเธอ ทะนุถนอม และจูบเธอด้วยความรักอย่างสุดหัวใจ
หลังจากจูบเสร็จ
ยังใช้ปลายนิ้วเช็ดริมฝีปากเปียกชื้นให้เธอ
แต่เธอรู้ดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ต้องจบสิ้นลง