ทะเลาะกันหรอ
ถ้าเป็นแค่การทะเลาะกัน เขาเองก็คงจะไม่คิดอะไรมาก
มือที่หยุดแล้วก็เริ่มทำงานอีก น้ำเสียงที่ถูกกลั่นออกมาแล้วฟังไม่ออกว่าเป็นสุขหรือทุกข์ “ก็ตามใจเธอ เมื่ออารมณ์ดีขึ้นก็คงจะกลับมาเลย”
“แน่ใจนะ”
คำถามที่รุนแรงถูกโยนให้กับจี้ผิงโจว
เขายืดเน็คไทของเขาให้ตรงและวางไว้ตรงหน้าเขา พูดด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “ที่ตระกูลฟางแบบนั้นรับเธอไม่ได้หรอก เธอไม่อยากกลับมา ก็ต้องถูกไล่ออกมาแหละ ”
จี้เหยียนเซียงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว “โจวโจว นายประเมินผู้หญิงต่ำไปแล้วนะ”
ผู้หญิงที่ทั้งหดหู่และผิดหวัง ต่อให้ต้องเร่ร่อนไร้ที่อยู่ ซุดหัวนอนตามถนน ก็จะไม่ยอมกลับมาในที่ๆต้องเจ็บปวดอย่างนี้อีก
แต่ว่าจี้ผิงโจวเหมือนกับว่ายังไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้
ในเวลาพลบค่ำ
รถวิ่งผ่านถนนของเมืองเหยียนจิง
เวลา 18:30 น
ก้อนเมฆที่อยู่สุดขอบฟ้าถูกย้อมด้วยสีอันสวยงามเป็นสีชมพูอ่อน แสงที่แผ่กว้างสาดส่องลงมาบนพื้น เส้นทางที่อยู่ข้างหน้าเต็มไปด้วยแสงที่สะท้อนกระทบตา
ตามปกติเวลานี้ ฟางเหอเจิงก็คงจะกำลังเตรียมอาหารเย็น
จี้ผิงโจวหลับตาลง แล้วเอามือมาจับระหว่างคิ้ว
เป๋ยเจี่ยนไม่อยากจะรบกวนเขา แต่ไม่รบกวนก็ไม่ได้ “คุณชาย ถึงบ้านตระกูลเฉินแล้ว”
ประตูรถถูกเปิดออก ลมอันหนาวเย็นพัดเข้าไปในรถ ทำให้หลังของเป๋ยเจี่ยนหนาวเย็นๆจนตัวสั่น กว่าจะตั้งสติได้ จี้ผิงโจวก็เดินมาถึงหน้ารถแล้ว
เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าเกรด Aทั้งนั้น ตั้งแต่การตัดเย็บวัสดุ ยี่ห้อจนถึงคนตัดเย็บ ล้วนแล้วถูกเอาใจใส่อย่างดี เสื้อผ้าทุกชุดในตู้เสื้อผ้า ล้วนแต่เป็นชุดที่เหอเจิงเลือกให้กับเขาด้วยใจจริง
เมื่อถูกสวมอยู่บนตัวของจี้ผิงโจว ก็เข้ากันได้อย่างดี ทำให้ดูดีไปหมด
ตอนที่เหอเจิงยังอยู่ ความหวังดีเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ พวกเขาไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อถอยรถไป 2-3ก้าว ก็เข้าไปจอดในสวนด้านนอกของตระกูลเฉินพอดี
จากบริเวณที่กระจกรถสามารถมองเห็นได้ ที่ถนนใหญ่กำลังมีรถสีขาวทั้งคันกำลังค่อยๆถอยเข้าไป เป๋ยเจี่ยนจำได้ว่า เป็นรถของฟางลู่เป่ย
คนที่จะมาร่วมงานฉลองงานแต่งของตระกูลเฉินก็มากันครบแล้ว
ด้านในเต็มไปด้วยความคึกคัก มีผู้ใหญ่ที่ผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา 2 คนกำลังคุยกับคนหนุ่มคนหนึ่ง จี้ผิงโจวเริ่มจะชินแล้ว หลังจากที่ไปทักทายแล้วก็หาที่นั่ง รอให้งานนี้จบ
ก็แค่งานฉลองงานแต่งของคนแก่ 2 คน คนที่มาไม่ใช่เป็นคนยากจน ซึ่งเป็นคนที่มีหน้ามีตาในเมืองเหยียนจิง คนที่ทำอาชีพค้าขายมีน้อยมาก เครื่องดื่มที่อยู่บนโต๊ะก็ไม่ได้เป็นประเภทเหล้าที่ดีกรีย์แรง
แต่เป็นเหล้าหวานอ่อนๆทั่วไป
ไม่มีการสำมะเลเทเมา และไม่มีการประจบสอพลอ
สถานการณ์แบบนี้ จี้ผิงโจวก็ยังอยู่ต่อไปได้ หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้หญิงแว่วผ่านเข้ามาเป็นเสียงเบาๆ ทักทายขึ้นเชิงซักถาม “คุณชายจี้ ”
เขาหันไปตามเสียง
เขาพยายามปรับสายตา กับแสงในห้องที่ส่งเข้าไปยังแก้วตา เขาเห็นใบหน้าที่สง่าตรงหน้าเขา มีความอ่อนเยาว์ และความไร้เดียงสา “สวัสดีครับ”
รอยยิ้มของเด็กผู้หญิงสดใสมาก มีความเป็นกันเอง “คุณชายจี้จำฉันไม่ได้แล้วหรือ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันที่การประชุมการรวมกลุ่มของโรงพยาบาลหลายแห่ง”
แต่ละวันจี้ผิงโจวต้องพบกับคนมากมาย อาจไม่ถึง10คนแต่ก็ราวๆ8-9คน จะจำคนมากมายได้ยังไง เมื่อกำลังคิดจะแก้ตัว
เมื่อกวาดสายตาไปก็มองเห็นคนที่อยู่ด้านหลังของเด็กผู้หญิง กำลังยิ้มอยู่ก็คือฟางลู่เป่ย
“น้องสาว พี่จำเธอได้ ถ้างั้นเรามาพูดคุยกันหน่อยดีกว่า”
น้ำเสียงของเขาก็เป็นแบบนี้แหละ เล่นไปหมดทุกเรื่อง
ผู้หญิงคนนั้นตกใจ หน้าแดงแล้วหันหลังกลับไป เหมือนกับว่าถูกผู้ชายที่โผล่หัวออกมาโดยพละกันคนนี้ทำให้ตกใจ รีบตอบกลับไปว่า “คุณชายจี้ เราไว้คุยกันวันหลังเหอะ”แล้วเธอก็รีบวิ่งไปทันที
ฟางลู่เป่ยประกบริมฝีปาก ยกไหล่อย่างหน่ายใจ “น้องเขย ยังไงนายก็เป็นคนที่แต่งงานมาแล้ว ไม่คิดจะยับยั้งชั่งใจหน่อยเหรอ ”
เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆถูกดึงออก
ฟางลู่เป่ยนั่งลงอย่างแรง ไคว้ขา แล้วยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับผู้หญิงที่เดินผ่านไป และให้ความสนใจไปทั่ว แล้วจิบเหล้าหวานจิบหนึ่ง ดูเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่จริงๆแล้วในคำพูดแฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
“แม้ว่าจะฟางเหอเจิงจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่แข็งกระด้าง นายณไม่เห็นแก่หน้าเธอ แต่ก็ควรจะให้เห็นแก่หน้าตระกุลฟางหน่อย ข่าวคราวที่เกี่ยวกับเรื่องชู้สาวด้านนอกของนาย จะให้ฉันเปิดให้นายดูทีละฉบับไหมล่ะ”
จี้ผิงโจวก้มหน้าลงรอยยิ้มหายไปทันที “ข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวของใครจะสู้ของนายได้ล่ะ”
“ก็ฉันยังโสดอยู่นี่ จะมีแฟนเพิ่มซัก 2-3 คนจะเป็นไร ”
“อ๋อ—” เขาลากเสียงยาว แล้วเอาหมัดวางลงบนอกของฟางลู่เป่ย จากนั้นก็มาวางที่อกซ้ายของตัวเอง “แต่ว่าน้องสาวของนาย ก็ไม่ได้สนใจฉันแต่ไหนแต่ไรมาแล้วนี่”