ยิ่งดึกฝนยิ่งกระหน่ำ เสียงฝนกระทบทำให้ใจสั่นไปด้วย
ป้าหมิงกางร่มรออยู่หน้าบ้านนานมากแล้ว ลมพัดกระแสฝนสาดโดนรองเท้าของเธอเปียกไปหมด เวลาเหยียบลงไปก็มีเสียงน้ำดังขึ้นในรองเท้าด้วย
รออยู่นานจึงเพิ่งจะเห็นเงาของรถแท็กซี่ขับเข้ามา
เธอรีบกางร่มไปที่นั่งด้านหลังรับเพื่อเหอเจิง เข้าไปจับมือที่เย็นเฉียบของเธอ ที่เย็นจนน่ากลัว
ป้าหมิงรีบกอดเหอเจิงเพื่อให้ความอบอุ่นกับเธอ
“รู้แบบนี้ก็ไม่ไปตั้งแต่แรกแล้ว รีบเข้าบ้านกัน เปียกฝนหมดแล้ว เดี๋ยวจะตัวร้อนเป็นหวัดเป็นไข้เอา”
รถแท็กซี่เปิดแอร์เย็นตลอดเส้นทาง เป่าผมและเสื้อผ้าที่เปียกปอนของเหอเจิงจนเย็นเฉียบ ราวกับกำลังใส่ชุดคุมน้ำแข็งที่แนบเนื้อไว้ และยังเปียกอยู่ นี่เพิ่งจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่ได้อุ่นขนาดนั้น แล้วยังมาฝนตกแบบนี้ ทำร้ายสุขภาพของเหอเจิงอีกเป็นแน่
ป้าหมิงที่พึ่งขึ้นไปชั้นบน รีบสั่งให้คนเตรียมน้ำขิงกับยาให้เหอเจิง
เธออาบน้ำร้อนเสร็จแล้ว ก็ห่มด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ ป้าหมิงหยิบที่วัดไข้มาวัดอุณหภูมิร่างกายของเธอ ถ้าหากเป็นไข้หนักก็ต้องฉีดยา
ป้าหมิงที่กำลังป้อนน้ำขิงให้เธอ : “คนขับรถออกไปกับลู่เป่ย ไม่อย่างงั้นจะให้คนออกไปรับเธอแน่นอน ไม่ให้โดนฝนขนาดนี้หรอก”
เหอเจิงรับถ้วยน้ำขิงทานเอง
ถึงแม้ว่าน้ำขิงมันจะไม่น่าดื่มเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกดีกว่าน้ำที่เย็นชืดในร้านอาหารนั่น
เธอยิ้มให้ป้าหมิง แต่ใบหน้ายังคงขาวซีด
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง ยืนตากหิมะฉันก็ยังเคยมาแล้ว นี่แค่ฝนนิดเดียว อย่าคิดมากเลยนะคะ”
ป้าหมิงยังคงดวงตาแดงก่ำ แต่อารมณ์ของเธอดีขึ้นมากแล้ว : “หิมะ? ทำไมถึงไปตากหิมะ? ”
“พี่สาวของจี้ผิงโจว ทุกครั้งที่ถึงฤดูหนาว เวลาเธอไม่ถูกใจอะไรก็ชอบลงโทษให้ฉันไปยืนตากหิมะ ไร้สาระเนอะ ว่าไหมคะ? ” เหอเจิงจิบน้ำขิงอย่างเบื่อหน่าย เม้มปากแน่น รู้สึกสบายกระเพาะขึ้น แต่น้ำเสียงของเธอกลับแหบแห้ง : “เพราะฉะนั้นฉันก็เลยชินกับมันแล้ว ฝนแค่นี้เรื่องเล็กมากค่ะ”
เธอที่ตั้งใจจะปลอบใจป้าหมิง
แต่ป้าหมิงฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเข้าไปใหญ่ : “ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยโทรกลับมาเลย ถ้าเกิดแม่กับพี่ชายของเธอรู้ว่าคนอื่นกระทำกับเธอแบบนี้ ก็คงจะไม่ยอมให้เธออยู่ที่นั่นต่ออย่างแน่นอน”
เหอเจิงยิ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับยิ้ม แววตาที่เหือดแห้งและว่างเปล่า
เธอยื่นมือไปปาดน้ำตาให้ป้าหมิง
“พอได้แล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันไม่ได้ไปสนใจอะไรกับมันมากมาย เป็นฉันเองที่ไม่รู้ว่าดินหนาฟ้าสูง”
ป้าหมิงรู้สึกเจ็บปวดและสงสารเธอจับใจ จนข้างในหัวใจสั่นสะท้านไปหมด : “ตอนเธอเด็กๆ ก็ต้องเจอกับความลำบากมาโดยตลอด ทางนี้ไม่เคยรู้เลยว่าเธอแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ยังจะต้องลำบากขนาดนี้อีก ต่อไปอย่าเป็นแบบนี้อีกนะ”
“รู้แล้วค่ะ” เหอเจิงตบไหล่ของป้าหมิงเบาๆ
อยู่ในบ้านตระกูลฟาง นอกจากเหอหยุนซิ่งแล้ว ก็มีป้าหมิงนี่แหละที่ดีกับเธอที่สุด ใส่ใจเธอตั้งแต่เด็กๆ เวลาขึ้นปีใหม่จะชอบเอาขนมให้เธอกินเยอะแยะมากมาย เวลาที่เธอจะไปแล้ว ป้าหมิงก็ยังไม่ลืมที่จะยัดขนมเต็มกระเป๋าของเธอจนเต็ม
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ เหอเจิงจำมันได้ตลอดและไม่เคยลืมเลย
แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยากที่สุดก็คือค่ำคืนนี้ เธอที่กำลังป่วยอยู่ ขอร้องป้าหมิงด้วยความน่าสงสาร : “ป้าขา ป้าช่วยพูดกับแม่ให้หน่อยได้หรือเปล่า ว่าไม่ต้องให้ฉันไปเจอกับใครอีก”
“วันนี้เขามาสายขนาดนั้น แม่เธอคงไม่ทำอีกหรอก”
“จริงเหรอคะ? ”
เหอเจิงที่เปล่งคำพูดออกมาด้วยเสียงสูง น้ำเสียงของเธอจึงแหบแห้งกว่าเดิม เธอไอไปหลายครั้ง เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังป่วย ป้าหมิงวางยาลงข้างๆ เธอ พร้อมกับกำชับกับเธอว่า : “ต้องกินยานะ ส่วนเรื่องไปเจอคน ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไป คงจะไม่มีแล้วล่ะ สิ่งสำคัญก็คืออย่าให้แม่เธอรู้ว่าเธอยังติดต่อหรือยังไปมาหาสู่กับคนบ้านตระกูลจี้อีก”
คำข้อนี้ไม่ได้หนักหนาสาหัสจนเกินไป
เธอพยักหน้า
ไฟถูกปิดลง
เข้าสู่ความมืด เหอเจิงพี่กำลังจะหลับ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นใต้หมอน เธอที่ลืมตาไม่ขึ้นเลย จึงรับโทรศัพท์ทั้งๆ ที่หลับยังตาอยู่
น้ำเสียงที่แหบแห้งและคัดจมูก : “ฮัลโหล? ”
“ฉัน”
เสียงถูกผ่านลำโพงมือถือแล้ว แต่น้ำเสียงก็ยังคงชัดเจน จี้ผิงโจวฟังออกว่าเหอเจิงไม่สบาย เสียงของเธอคัดจมูกจนอู้อี้ : “ไม่สบายเหรอ? ”