เคยพูดไว้ว่าจะไม่กลับมายังคุกแห่งตระกูลจี้นี้อีก แต่เธอก็กลับมาแล้ว
เมื่อเข้าประตูมาก็ถูกตบไปทีหนึ่ง
โดยจี้เหยียนเซียง
ตั้งแต่ที่แต่งงานกับจี้ผิงโจว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ฟางเหอเจิงถูกตบล้วนแล้วมาจากพี่สามที่เขาเคารพรักทั้งนั้น
ได้ยินมาว่าจี้เหยียนเซียงมีโรคป่วยทางจิต อารมณ์ไม่แน่ไม่นอน เป็นเพราะว่าเธอเคยถูกสามีทิ้ง ครอบครัวที่เพอร์เฟคถูกมือที่สามทำลาย และยังทิ้งลูกนอกสมรสไว้ให้อีกหนึ่งคน
เพราะอย่างนี้นี่เองจึงทำให้เธอเกลียดลูกนอกสมรสอย่างฟางเหอเจิง
“ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอเป็นดาวเคราะห์ร้าย ไม่เพียงแต่นำเคราะห์ร้ายมายังพ่อแม่ตัวเองแต่ยังนำมายังโจวโจวด้วยใช่ไหม”
ในหูมีแต่เสียอื้ออึง และคำด่าทุกคำที่หลุดออกมาจากปาก ฟางเหอเจิงได้ยินทั้งหมด ใบหน้าแดงขึ้นแก้มของเธอแสบร้อนและเจ็บปวด และในตอนที่จี้เหยียนเซียงตบมานั้น ปลายเล็บของเธอก็ขีดข่วนใบหน้านั้นจนเป็นรอยจนมีเลือดซึมผ่านรอยแผลออกมา
เหอเจิงยังคงก้มหน้าเหมือนกับรูปปั้นที่ไร้วิญญาณ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แข็งกระด้าง “พี่สาม พ่อแม่ฉันเป็นใครหรือ ทำไมฉันถึงเป็นคนที่ทำให้พวกเขาตาย”
บนทางเดินที่ยาวและบรรรยากาศที่เงียบครึมบนชั้น 2
คำถามที่มากับรอยยิ้มที่ยิ้มแย้มของเธอสะท้อนออกมา
จี้เหยียนเซียงคิดไม่ถึงว่าเหอเจิงที่เก็บกดอารมณ์ไว้ตลอดจะถามเธออย่างกะทันหัน สีหน้าเธอดูไม่ดีขึ้นมา “แม่ของเธอเล่นชู้พี่เขยตัวเองไม่ใช่หรอ จะให้ฉันเล่าประวัติอันรุ่งเรืองของนางให้ฟังอีกรอบหนึ่งไหมล่ะ”
ภายในห้อง
จี้ผิงโจวกำลังถูกฉีดยา ความเจ็บปวดที่เหลือพรรณนา เมื่อได้ยินเสียงทะเลาะจากข้างนอก เขาเก็บความเจ็บปวดไว้แล้วพูดออกไป “พวกเธอทะเลาะอะไรกันอีกแล้วเหรอ”
เมื่อได้ยินไม่ชัดจึงได้แต่เดาออกไปไม่กี่คำ
คุณน้าที่ดูแลเขากำลังจะออกไปดู เหอเจิงค่อยๆเก็บความขมขื่นไว้แล้วหันกลับมา “พี่สาม พี่ชนะใจพี่เขยไม่ได้ ยังจะมาโทษฉันอีกหรอ”
ท่ามกลางแสงโคมไฟจากบนเพดาน บนใบหน้าที่ซีดจางของจี้เหยียนเซียงเผยให้เห็นถึงความตกใจ แต่กลับยิ้มออกมาทันที “แล้วเธอล่ะ ชนะใจสามีแล้วหรอ”
เธอพูดถึงจี้ผิงโจว
เหอเจิงตอบอย่างสบายใจ “แน่นอน เพราะฉันชนะใจเขาไม่ได้ ก็เลยจะหย่ากับเขาไงล่ะ”
คำพูดนี้ทุกคนได้ยิน
โดยที่ไม่ได้สนใจบาดแผลของตน จี้ผิงโจวเอามือกดระหว่างคิ้ว แล้วหันหน้าไปยังประตู น้ำเสียงเผยให้เห็นถึงว่ามีอันตรายและความอดกลั้น “ไปพาฟางเหอเจิงเข้ามา ให้เธอหุบปาก”
เข็มที่แหลมคมได้แทงเข้าไปตามเส้นเลือดใหญ่
ยาได้ฉีดเข้าไปจนหมด
เป๋ยเจี่ยนกดรอยแผลของจี้ผิงโจว “คุณกดไว้ก่อน ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ไม่ทันแล้ว ทุกอย่างไม่ทันแล้ว
ตอนที่เขาเปิดประตู จี้เหยียนเซียงกวักมือสั่งน้าของตนเอง สั่งด้วยน้ำเสียงที่เอาจริง “โทรไปเลย ให้ตระกูลฟางส่งคนมารับคนป่าคนนี้กลับไป ตระกูลจี้เรารับผู้หญิงที่ไม่ได้รับการสั่งสอนแบบนี้ไม่ได้”
ตระกูลฟางไม่มีใครสนใจแล้ว มีแต่ฟางลู่เป่ยที่ยังสนใจเรื่องนี้
โทรศัพท์สายนี้ ต้องเป็นเขามารับแน่นอน
กลางดึกประมาณ 23:00 น
เสียงสนุกเฮฮาและเสียงของแก้วเหล้าชนกัน เหมือนกับภาพวาดโลกมนุษย์ที่ใครหลงเข้าไปแล้วจะออกมาได้
ท่ามกลางบรรยากาศที่ขุ่นมัวเต็มไปด้วยควันบุหรี่ ท่ามกลางแสงสีที่หลากหลาย มือที่อ่อนช้อยย้อมเล็บด้วยสีชมพู กำลังลูบไปลูบมาตามคอของชายหนุ่ม
เขาถูกลูบจนรู้สึกจั๊กจี้
ฟางลู่เป่ยจับมือหญิงสาวไว้ แล้วเอาขึ้นมาหอมทีหนึ่ง ชื่นชมเธอ “หอมจริง”
สาวสวยยิ้มและกำลังจะไปที่จูบริมฝีปากของฟางลู่เป่ย แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ เขายื่นมือจะไปหยิบ แต่ผู้หญิงยังคงเล้าโลมเขา “เด็กดี ขอรับโทรศัพท์เดี๋ยวนะ”
“คงไม่ใช่ผู้หญิงที่ไหนหรอกนะ”
วิธีนี้เป็นการทำให้ผู้หญิงหึง ฟางลู่เป่ยไหลไปตามน้ำทันที “มีแค่เธอคนเดียว ผู้หญิงที่อื่นมีที่ไหนเล่า อย่าโมโหใช่อารมณ์สิ”
เขาพูดโกหกโดยที่ไม่ต้องกระพริบตา ทั่วเมืองเหยียนจิงใครล่ะจะไม่รู้ว่าฟางลู่เป่ยเป็นคนเที่ยวเตร่ ไม่แน่ไม่นอน เทียบกับน้องเขยที่จู้จี้จุกจิกกับผู้หญิงแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน
แต่เสน่ห์ของทั้งสองก็ไม่ได้เหมือนกัน
เมื่อเจอที่ที่เงียบสงบแล้ว ฟางลู่เป่ยก็รับสาย และจุดบุหรี่สุบไปด้วยอย่างสบายใจ “ใครหรอ”
จี้เหยียนเซียงไม่ยอมลดฐานะไปคุยกับเสือผู้ชายอย่างฟางลู่เป่ยแน่นอน
เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตระกูลจี้
คุณน้าของเธอรับผิดชอบเป็นผู้ติดต่อสื่อสาร
ฟังจบ
ฟางลู่เป่ยที่ยังอมน้ำลายจากการสูบบุหรี่ บ้วนน้ำลายออก “ได้ เข้าใจแล้วล่ะ จะไปรับเหอเจิงเดี๋ยวนี้แหละ”