ผ่านไปหนึ่งวันที่เมืองเหยียนจิงมีฝนตกโปรยโปรย ฝนตกแบบนี้ ทั้งดอกไม้และต้นหญ้าของตระกูลฟางเปียกชุ่มไปหมด น้ำฝนนองเต็มทั่วพื้นดิน
ฟ้าเพิ่งส่าง เธอฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่มีใครเห็น เหอเจิงก็แอบหนีออกมาจากบ้านตระกูลฟาง
ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะไปที่ไหน และไม่มีใครเป็นห่วงเป็นใยด้วย
คุณป้าได้ไปแจ้งให้กับฟางลู่เป่ย เขาตอบอย่างไม่เต็มใจมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ขับรถไปยังสวนซาง จี้ผิงโจวยังคงพักผ่อนอยู่ บาดแผลบนเท้าที่ไม่ได้สาหัสนัก แต่ก็เป็นอุปสรรคในการเดิน เขาถูกเป๋ยเจี่ยนพยุงเดินลงบันได แล้วนั่งลงบนโซฟา นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและอาการง่วง
ร่างกายอ่อนแอก็คืออ่อนแอนั่นแหละ
ตระกูลจี้นอกจากเหล่าเยา ทั้งครอบครัวต่างก็มีโรคกันทั้งนั้น
“ถูกหมากัดจริงๆด้วย” ฟางลู่เป่ยตกใจมาก ก้มหน้าลงแล้วค่อยๆเดินเข้ามาดู ปากก็พูดไปด้วย “จุ๊ จุ๊ จุ็” พร้อมกับมองไปยังเป๋ยเจี่ยน “นี่คงจะเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตของโจวโจวแล้วละมั้ง”
เป๋ยเจี่ยนรู้สึกไม่พอใจ ลุกขึ้นยืนแล้วจะเถียงกลับทันที “นั่นไม่ใช่เป็นเพราะปกป้อง—-”
“เป่ยเจี่ยน นายพูดมากไปแล้ว”
เรื่องที่น่าอายที่สุดไม่ใช่เพราะถูกหมากัด แต่เพราะว่าทำเพื่อเหอเจิงแล้วถูกกัดต่างหาก จี้ผิงโจวคิดถึงใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกโมโห ในใจยังเต็มด้วยความเจ็บปวด “นายมาทำอะไร คงไม่ใช่เป็นเพราะว่าว่างมากถึงขั้นมาหัวเราะเยาะฉันด้วยตัวเองหรอกนะ”
ฟางลู่เป๋ยจัดเนคไท พูดเบาๆว่า “ใช่ที่ไหนกันเล่า ฉันมาก็เพื่อที่จะมาขอโทษแทนเจ้าหัวดื้อคนนั้นต่างหาก”
“เธอให้นายมาหรอ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” น้ำเสียงของเขาขึ้นสูงกว่าเดิม จากนั้นก็ลดน้ำเสียงลงมาครึ่งหนึ่งพูดด้วยเสียงหัวเราะ “นายคงจะไม่รู้หรอกนะว่า ตอนที่นายถูกหมากัดนั้นเธอร้องไห้ จนทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลออกมา แล้วยังบอกอีกว่าจากนี้จะเชื่อฟังจะไม่ดื้ออีกแล้ว เธอรักนายแค่ไหน ใครไม่รู้บ้าง”
เมื่อพูดถึงฟางเหอเจิง
จี้ผิงโจวไม่อยากจะฟังคำประจบประแจงของฟางลู่เป่ย แต่เขาก็ยังคงทนฟังต่อไป
“ฟางเหอเจิงรู้ว่านายดีกับเธอ ทั้งการกินการอยู่ของตระกูลจี้ดีกว่าของตระกูลฟาง” ฟางลู่เป่ยถอนหายใจทีหนึ่ง คำพูดโกหกติดต่อกันมา ได้ทำลายความตั้งใจจริงของเหอเจิงทั้งหมด “ แล้วเราทุกคนก็รู้แก่ใจว่า ถ้าเธอจากนายไปแล้ว จะไปไหนไม่ได้อีกเลย”
มาไม้นี้ ทำเหมือนกับว่าฟางเหอเจิงมีอารมณ์โกรธ แค่โมโห 2-3 วันก็ดีขึ้นเอง
จี้ผิงโจวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตรงหน้าของเขาเต็มไปด้วยหมอกเลือนลาง “คำพูดนี้ เป็นคำพูดของเธอจริงๆหรอ”
“ก็คงใช่แหละ ไม่ว่ายังไง…ความหมายก็ประมาณนี้”
“แล้วเจ้าตัวล่ะ”
ใครจะไม่รู้ล่ะว่าฟางลู่เป่ยเป็นคนที่เห็นคนพูดอย่างคน เห็นผีพูดอย่างผี เขายิ้ม ฮิ ฮิ “พูดอย่างนี้ก็จริง แต่ว่าก็ต้องรอให้เธอสงบสติอารมณ์สักสองสามวัน จากนั้นเธอก็จะมาขอโทษนายด้วยตัวเองเองแหละ”
สองวัน
ตั้งแต่พูดเรื่องการหย่าจนถึงตอนนี้ ฟางเหอเจิงยังคงเล่นตัวอยู่
และอีกอย่าง จี้ผิงโจวได้รับบาดเจ็บ นิสัยอ่อนโยนและสง่างามของเขาไม่ยอมให้เขาเสียอารมณ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง จึงถอยให้เหมือนกับว่าเป็นการขอร้อง ทิ้งคำพูดไว้ให้กับฟางลู่เป่ยคำหนึ่ง “หวังว่าจะเป็นอย่างที่นายพูดนะ”
เขาเดินไปตามทางสวนซาง ใบไม้ที่เต็มบนพื้นชุ่มไปด้วยฝน
เป๋ยเจี่ยนกางร่มเพื่อไปส่งฟางลู่เป่ย แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความเคารพ แต่ก็ไม่กล้าที่จะสบตากับเขาโดยตรง
ตอนที่สนทนา
เขาถูกจี้ผิงโจวตัดบทพูด ฟางลู่เป่ยเองก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน
ใบไม้ที่ถูกเหยียบขยับไปมา เกิดเป็นเสียงกรอบแกรบเข้ามาข้างหู ท่ามกลางเสียงฟังที่วุ่นวาย ฟางลู่เป่ยทำเป็นเหมือนไม่ได้ตั้งใจถามว่า “เสียวเจี่ยน เมื่อกี้นายอยากจะพูดอะไรหรอ”
กลัวอะไรมั้งเจออย่างนั้น
เป่ยเจี่ยนเร่งฝีเท้ามากกว่าเดิม “ไม่ ไม่มีอะไรหรอก”
“นายว่าโจวโจวทำไปเพื่อปกป้องอะไรนะ”
“คุณฟังผิดแล้วล่ะ”
“ฉันฟังผิดหรอ”
ทุกๆก้าวถูกกดดันเรื่อยๆ จนเป่ยเจี่ยนถึงกลับกลืนน้ำลาย มือที่กางร่มอยู่ก็มีอาการสั่นเล็กน้อย “เพื่อปกป้องพี่สาวฟาง พี่โจวถึงได้ถูกหมากัด ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปรับพี่สาวฟางกลับมา เรื่องนั้นเป็นอุบัติเหตุ วันหลังท่านก็ไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้ว”
น่าขายหน้าจริงๆ
สิ่งที่ฟางลู่เป่ยแปลกใจไม่ใช่เรื่องนี้ เขาหยุดเดิน แล้วหันกลับไปสบตากับเป๋ยเจี่ยน ใช้นิ้วชี้ไปยังขมับของเขา “ตอนนี้ร่างกายของเขามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า โดยเฉพาะ—สายตาหรือว่าสมอง นายว่า เขาปกป้องเหอเจิง คงไม่ใช่เป็นเพราะสัญชาตญาณของร่างกายหรอกนะ”
ใจเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
เป๋ยเจี่ยนตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป เขามองไปซ้ายทีขวาทีเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีคน จากนั้นเขาปัดมือของฟางลู่เป่ยลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที พูดด้วยเสียงอันหนักแน่น “วันหลังคุณห้ามพูดเรื่องนี้ในตระกูลจี้เด็ดขาด ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของพี่โจว เราจะแย่กันหมด”
“กลัวอะไรอีกล่ะ”ฟางลู่เป่ยเหมือนกับว่าจะไม่ได้ใส่ใจ “3 ปีมาแล้วนี่”
“ก็เพราะว่า 3 ปีมาแล้วนี่แหละ จึงยิ่งไม่ควรมีอะไรที่แปลกไปจากเดิม”