เมื่อสิ้นเสียงเขา
เหล่าผู้คนห้องรับแขกก็เงยหน้าขึ้นมอง
หน้าตาเขาดูสะอาดสะอ้าน และเมื่อมองเห็นเหอเจิง เขาก็แสดงสีหน้าอ่อนโยน จากนั้นก็อ้าแขนไปทางเหอเจิง
เหอเจิงช็อคเล็กน้อย
“อาเหอ!”
เหอหยุนซิ่งยิ้มอย่างพอใจ และยังอ้าแขนไว้อย่างนั้น
ตั้งแต่ไหนแต่ไร เหอเจิงก็มักจะชินกับการที่เธอต้องวิ่งเข้าไปกอดเขา ตอนเด็กๆ เหอหยุนซิ่งมักจะกอดเธอไว้แบบนั้น และเขาก็ดีกับเธอมาก
ขณะที่เธอเตรียมจะวิ่งไปนั้น ก็ถูกจี้ผิงโจวถึงแขนไว้ สายตาเขามองไปทางผู้ชายที่อยู่ข้างล่าง จากนั้นก็มา กระซิบกับเหอเจิงว่า
“อายุยี่สิบแล้วฟางเหอเจิง คิดว่าตัวเองสิบขวบอยู่หรือไง? จะวิ่งเข้าไปกอดเขางั้นเหรอ?”
ตอนอายุสิบสองเธอสามารถเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเหอหยุนซิ่งตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แล้ว
และยิ่งอยู่ในสายตาของจีผิงโจวแล้ว
ยิ่งไม่ได้ไปกันใหญ่
เธอยิ้มแฉ่งให้กับเหอหยุนซิ่ง จากนั้นก็กระซิบกับจี้ผิงโจวว่า “คุณก็ยี่สิบเจ็ดแล้วไม่ใช่สิบเจ็ด ยังจะเอาแต่แกล้งคุกคามคนอื่นอยู่ได้”
เพราะเขาอยู่ด้านหลัง ทำให้เหอเจิงมองไม่เห็นอารมณ์และสีหน้าของเขา จากนั้นก็รีบเดินลงไปหาอาเหอ และเข้าไปกอดเขา แต่ก็กอดแค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ถอยออกมา
พวกป้าๆ อาๆคนอื่นเห็นก็ขำเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ความสัมพันธ์ของเหอเจิงกับอาเหอนี่ยังดีอยู่เลย”
“ตั้งแต่เล็กก็ดีแบบนี้แล้ว”
“หยุนซิ่ง ก็อย่าเอาแต่ตามใจเธอ โตขนาดนี้แล้วนะ”
จากนั้นเหอหยุนซิ่งก็ยื่นมือมาลูบผมเหอเจิงอย่างเอ็นดู ราวกับกำลังลูบขนแมวที่เลี้ยงมา
“เจิงยังเด็ก ควรได้รับมันนะ”
เหอหยุนซิ่งขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นจี้ผิงโจว “โย่ว โจวโจวก็อยู่เหรอเนี่ย ไม่เจอกันนานเลย”
จากนั้นทุกคนก็มองไปทางจี้ผิงโจว
จี้ผิงโจวพยายามปรับอารมณ์สีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ เขาเดินไปข้างเหอเจิง และจับมือเธอไว้ ราวกับประกาศตัวความเป็นเจ้าของ
“สวัสดีครับคุณอาคุณป้า” เขาทักทายตามมารยาท จากนั้นก็หันมาทางเหอหยุนซิ่ง และกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณอาจะกลับประเทศแล้ว?”
“ใช่ ถือโอกาสกลับมาฉลองวันเกิดพี่สะใภ้พอดี แต่ว่าดูเหมือนจะสายไปวันหนึ่ง น่าเศร้าจริงๆ” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องมาถามเหอเจิงว่า “ได้ยินมาว่า สามปีมานี้เจิงไม่กลับบ้านเลย วันนี้ฉันบังเอิญจริงๆ”
จี้ผิงโจวๆค่อยเลื่อนมือของเหอหยุนซิ่งออก จากนั้นก็ดึงมือเหอเจิงให้ออกห่างเขา
“ไม่บังเอิญหรอกครับ วันนี้เธอก็จะกลับไปกับผม”
เมื่อวานไม่ได้พูดแบบนี้นะ
เหอเจิงเงยหน้าขึ้นและจ้องเขาตาเขม็ง แต่ก็ไม่สามารถพูดหักหน้าเขาต่อหน้าผู้คนได้
เพราะใครทำเขาขายหน้า เหยียดหยาม หรือสบประมาทเขา เขาจะเอาคืนสิบเท่า
เธอจำได้ว่าปีนั้นเธอโกหกเขาแค่ครั้งเดียว แต่เธอต้องทนทุกข์รมานถึงสามปี
เพราะฉะนั้นครั้งนี้เหอเจิงจึงทำได้แค่ยิ้มแหยๆ “คุณอากลับมาแล้ว งั้นฉันขอคุยอีกสักสองวัน”
เธอโดนจิกที่นิ้ว
นี่คือคำเตือนของจี้ผิงโจว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ เอื้อมมือไปจับแขนของเหอหยุนซิ่ง และถามว่า “วันนี้คุณอาจะอยู่ทานข้าวไหมคะ?”
“ทานซิ”
“งั้นพวกเราไปร้านอาหารกัน พวกป้าๆอาๆไปไหมคะ?”
เธอถามทุกคนยกเว้นจี้ผิงโจว
จนป้าหมิงรู้สึกสงสารเขา จึงพูดแทนว่า “คุณลูกเขยก็ไปด้วยซิคะ ตอนนี้โรงพยาบาลน่าจะไม่ยุ่งใช่ไหม ทานข้าวเที่ยงเสร็จค่อยไปก็ได้ค่ะ ตั้งแต่คืนวานที่มาถึงยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
จี้ผิงโจวค่อยๆพยักหน้า เพราะเหมือนกับว่าเขาต้องไปร้านอาหารคนเดียว
พวกป้าๆอาๆ เห็นเหตุการณ์ไม่ปกติ จึงไม่อยากไปขัดพวกเขา และตกลงจะพากันไปเอง
เหอเจิงและเหอหยุนซิ่งอยู่ข้างหน้า
และค่อนข้างทิ้งระยะห่างกับจี้ผิงโจ
เหอหยุนซิงหรี่ตามอง และถามว่า
“หลายปีมาแล้ว โจวโจวยังเหมือนเดิมเลย นี่โกรธอีกแล้วเหรอ?”
เหอเจิงรีบโบกมือ และตอบกลับว่า “ไม่หรอกค่ะ”
“กับเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีมากค่ะ”
เธอโกหกทั้งเพ
เหอหยุนซิ่งเห็นแบบนั้นก็ขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “แต่อาได้ยินลู่เป่ยบอกมาว่า โจวโจวมักจะอยู่กับผู้หญิงข้างนอก แล้วเธอก็ไม่โกรธเขาอีก?”
“พี่พูดเชื่อได้ที่ไหนกันคะ?” เหอเจิงแกล้งขำ “อีกอย่างผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้ชอบเขาจริงๆ เพราะงั้นหนูเลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจค่ะ”
“ยากมากที่เธอจะใจกว้างแบบนี้”
“ธรรมดาค่ะ”
เธอแสร้งยิ้ม เพื่อให้รู้สึกว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องกิ๊กกั๊กของจี้ผิงโจวจริงๆ
เหอหยุนซิ่งก็ยิ้มตามเธอ และกุมมือเธอไว้ พูดว่า “ถ้าไม่มีความสุขหรือไม่ยุติธรรม ก็อย่าปกปิดมันไว้อีก อย่างไรซะตอนนี้เธอก็ไม่ได้ต้องการให้เขาช่วยใครแล้ว แล้วทำไมจะต้องทน”
“คุณอาคะ” เหอเจิงพูดและเอามือออก “พวกคุณอาเข้าใจผิดแล้ว ตอนที่แต่งงานกับเขา ไม่ใช่เป็นเพราะแค่เรื่องครูซ่งหรอกนะคะ”
“งั้นเป็นเพราะอะไร?”
ใกล้เดินถึงร้านอาหาร
ก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันเสียงดัง ดูคึกคักมาก จากนั้นก็มีคนเรียกโจวโจว และบอกให้อีกสักพักเขามานั่งกับเหอเจิง
เขาบอกว่าโอเค
ขณะเดียวกัน
เหอเจิงเป็นคนกล้ารักและกล้าที่จะเกลียด ถึงแม้เธอจะหย่าแล้ว แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธรักแรกของเธอได้ “ก็เพราะว่าชอบเขาไงคะ ถ้าแค่เพราะว่าอยากช่วยครูซ่ง หนูคงไม่เอาตัวไปยุ่งแบบนี้”
เหอเจิงพยายามเปลี่ยนเรื่อง “พวกเราเข้าไปกันเถอะค่ะ อย่าให้พวกป้าๆอาๆรอนาน”
เหอหยุนซิ่งพยักหน้า “โอเค”
ผู้หญิงข้างนอกนั่งโต๊ะหนึ่ง ส่วนเหอเจิง เหอหยุนซิ่ง เครือญาติก็นั่งอีกโต๊ะหนึ่ง มีแค่กำแพงบางๆเป็นฉากกั้นเท่านั้น
อาหารมื้อนี้ดูปราณีตและละเอียดอ่อนมากกว่ามื้อค่ำเมื่อวานเสียอีก
เหอเจิงถูกป้าหมิงพามานั่งข้างๆ จี้ผิงโจว
เธอนั่งลงและถามว่า “พี่ไม่กลับมาทานด้วยเหรอคะ?”
“ไม่กลับค่ะ” ป้าหมิงเตรียมช้อนและตะเกียบให้เธอ จากนั้นก็ยกอาหารจานโปรดของเธอมาไว้ข้างหน้าให้ “เมื่อวานเขาไม่ได้กลับค่ะ วันๆเอาแต่มั่วสุมอยู่กับสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่ได้ไปวันหนึ่งน่าจะลงแดง”
เหอหยุนซิ่งพูดแทนฟางลู่เป่ยว่า “เขาก็แค่นิสัยแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรไม่ดีนี่นา”
จากนั้นจี้ผิงโจวก็พูดว่า “สองพี่น้องต่างก็ไม่ชอบกลับบ้านเหมือนกัน”
จากบรรยากาศครึกครื้น
แต่พอจี้ผิงโจวพูด ก็เงียบกริบ