เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่กดดันครั้งก่อนๆที่ตึกหลัก
ครั้งนี้มีคุณปู่อยู่ด้วย
จี้เหยียนเซียงไม่กล้าทำอะไรเกินไป เหอเจิงนับได้ว่าถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแล้ว
เมื่องานเสร็จแล้วเธอยืนอยู่หน้าประตู ดูเกล็ดหิมะที่ค่อยๆละลายไปบนพื้น ข้างหลังมีเสียงคนเดินไปมาตลอด แต่เธอกลับเอาเสียงเหล่านั้นวางไว้ข้างนอก คิดอยากจะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
บริเวณคอกลับมีผ้าพันคออ่อนนุ่มพันเข้ามา
เหอเจิงหันหน้ากลับไปด้วยอาการตกใจ สิ่งที่เข้าไปในตา กลับเป็นใบหน้าที่ไร้ซึ่งความบกพร่องของจี้ผิงโจว
เขาเหมือนกับหยกขาวที่ถูกห่อด้วยแก้วใสๆอันอ่อนนุ่มในพิพิธภัณฑ์ มันล้ำค่า โปร่งใส หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ ก็เป็นเหมือนแหล่งแห่งแสงสว่างแล้ว นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านมาได้แต่ชื่นชมเขาอยู่ห่างๆ
สิ่งที่แตะต้องไม่ได้
ถึงจะเป็นของที่ล้ำค่าที่สุด
เหอเจิงเหมอลอย จี้ผิงโจวกลับรู้สึกว่าน่าขำ
เวลาที่เขาอยากยิ้มแต่ไม่ยิ้มนั้นหล่อมาก เหมือนคุณชายเจ้าวิชาของตระกูลหนึ่งที่กำลังแต่งกลอนอยู่ รู้สึกหยิ่งทนงตน แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา
“ยืนอยู่ตรงนี้ทำไม คิดว่ายังป่วยไม่พอหรือไง”
แฮ่
แค่อ้าปาก เหอเจิงก็รู้เลยว่า จี้ผิงโจวยังไงก็ยังเป็นจี้ผิงโจว
เธอก้มหน้าดูผ้าพันคอบนคอตัวเอง แล้วหันไปมองคอที่ว่างเปล่าของจี้ผิงโจว แม้แต่ลูกกระเดือกที่นูนเว้าก็สวยไปหมด “นี่เป็นของนายเองใช่ไหม ฉันขอไม่ใส่”
“ใส่ดีๆ ถ้าเอาออกคืนนี้อย่าหวังว่าจะได้นอนดีๆเลย”
หิมะยังตกไม่หยุด คนใช้นำร่มมาสองคัน
ข้างหลังมีคนเรียกโจวโจว จี้ผิงโจวแค่กวาดสายตาไปดู สายตาที่ยากจะคาดเดาได้ เขาไม่เคยใช้คำพูดสั่งใคร แต่เวลาไม่สบอารมณ์ ใบหน้านี้ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกกลัวเหมือนกัน
คนใช้ยืนอยู่อย่างทื่อๆ ไม่รู้ว่าคุณชายท่านนี้เป็นอะไรอีกแล้ว
ยังดีที่พี่เฉินเข้ามา แย่งร่มจากมือไปคันหนึ่ง พูดด้วยรอยยิ้มหัวเราะ “ในตึกเหนือก็เหลือร่มแค่ไม่กี่คันแล้ว ให้จี้ซูคันหนึ่ง เธอสองคนใช้คันหนึ่ง โอเคไหม”
จี้ผิงโจวไม่ได้พูดอะไร ค่อยๆรับร่มคันที่มีด้ามจับสีเงินดำ
เขาคลายตัวล็อกออก ใบร่มกางออกเป็นรูปวงกลม เสียงพริ้งดังทีหนึ่ง กระตุกเสียงสายในใจของเหอเจิงด้วย ความรู้สึกชาพุงออกจากฝ่าเท้าขึ้นมาข้างบน จนถึงกลางอก
แสงไฟที่วุ่นวายสาดส่งลงบนพื้น จี้ผิงโจวยืนอยู่ท่ามกลางแสงเหล่านั้น ยื่นมือออกมา ฝ่ามือไม่มีสี ลายมือก็เล็กมาก “เหอเจิง เข้ามา กลับบ้านกันเถอะ”
เหอเจิงไม่อยากไปสัมผัสมือของเขา
แต่อยู่หน้าต่อหน้าแบบนี้ เห็นริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย ไม่ออกเสียง หลุดออกมาสองคำ”คุณปู่”
มือวางลงใจกลางฝ่ามือที่เย็นเฉียบของเขา เหอเจิงรู้สึกว่าเหมือน กับเป็นหุ่นเชิดของเขาเลย
เพิ่งก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว
พี่เฉินก็ออกมาเรียกพวกเขาไว้
ยืนอยู่หน้าระเบียง เสียงไม่เล็กไม่ใหญ่ พวกเขาได้ยินชัดพอดี “คุณหนูฟาง คุณปู่บอกว่าคืนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าขอให้เธอมาอีกรอบ เขามีเรื่องอยากพูดกับเธอ”
เหอเจิงผยักหน้า “ได้ ฉันจำไว้แล้วล่ะ”
ทางที่ออกจากตึกหลัก
ร่มอยู่ในกำมือของจี้ผิงโจวตลอด ด้ามจับเหล็กเมื่ออยู่ในช่วงฤดูหนาวโดยเฉพาะในวันที่หิมะตก เวลาจับเย็นมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
เสียงถูกความหนาวกรอกไว้ “คุณปู่จะหาเธอเรื่องอะไรหรอ”
เหอเจิงอารมณ์ไม่ดี ความไม่สบายใจบนโต๊ะอาหารเธอเป็นคนแบกรับไว้ “ฉันจะไปรู้หรอ พรุ่งนี้เจอกันก็รู้เองแหละ”
“เธอฉลาดอย่างนี้ จะไม่รู้ได้ยังไง”
“ต่อให้ฉันฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางรู้ล่วงหน้าหรอก”
ถูกเธอด่าว่า
ในใจกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี
จากโพรงจมูกของจี้ผิงโจวเผยรอยยิ้มออกมาหนึ่ง “เหอเจิง เธอรู้ไหมอะไรเรียกว่าธาตุแท้ถูกเปิดเผยทั้งหมด” ”
ก็คือเธอเอง
อยู่เป็นภรรยาของจี้ผิงโจวอย่างสบายๆกว่าสามปี ในที่สุดธาตุแท้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว
เหอเจิงรู้สึกโกรธเล็กน้อย ที่มาของความโกรธนี้คือว่าจี้ผิงโจวเดาถูกหมดเลย เธอหันหน้าไปกะว่าจะหนี แต่กลับไปเห็นมือของเขาที่จับด้านเหล็กของร่ม มันถูกแช่เย็นจนแดงเข้าไปในกระดูก
ดูดีดี จมูกก็แดงเหมือนกัน
ยังไงก็น่าสงสารจริงๆ
เหอเจิงเก็บอารมณ์ที่อยากระบายโทสะไว้ พูดอย่างนุ่มนวล “ให้ฉันถือบ้างก็ดี มือนายแดงไปหมดแล้ว”
“โอ้”จี้ผิงโจวไม่ร้อนไม่เย็น “จริงๆด้วย”
เขาพูดอย่างนั้น กลับไม่ยื่นร่มให้เหอเจิง ยังคงถือไว้คนเดียว
วันที่หิมะตกหนัก
คนแทบอยากจะเอามือซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ คุณชายอย่างจี้ผิงโจว จะทนได้ยังไง
เหอเจิงยื่นมือออกไปจับ จับข้างล่างมือของเขาครึ่งหนึ่ง หนาวอย่างกับก้อนน้ำแข็ง ความหนาวนั้นเย็นเฉียบมาก คลุมผ่านผิวหนังทะลุเข้าไปในกระดูก
“ให้ฉันถือแป๊ปนึงก็ดี”
จี้ผิงโจวไม่ปล่อยมือ ใช้สายตาของนักพูดตลกจ้องมองเธอ “เธอกางร่มมันจะติดหนังหัวของฉันอยู่แล้ว ทรมานจะตาย ปล่อยมือ”
มันก็ใช่อยู่
เมื่อเทียบดูแล้ว เหอเจิงเตี้ยกว่าจี้ผิงโจวเยอะ ถ้ากางร่มตามความเคยชินของเธอ จะทำให้จี้ผิงโจวลำบากมากจริงๆ
กำลังจะอ้าปากพูด ตามทางที่กำลังเดินไปก็มีเสียงร้องอย่างน่าเอ็นดูเข้ามา ผ่านบรรยากาศยามค่ำคืน
คนที่วิ่งไปก่อนเป็นเหอเจิง
จี้ผิงโจวยืนถือร่มอยู่ เดินถอยหลังอย่างช้าๆ อยู่ไกลจากที่เกิดเหตุไม่กี่เมตร มองดูจี้ซูที่หกล้มอย่างไม่ใยดี เหอเจิงค่อยๆประคับประคองเอวเธอลุกขึ้อย่างระมัดระวัง พยุงไปด้วยถามไปด้วย “ล้มเจ็บตรงไหนบ้าง จะไปหาหมอตรวจดูหน่อยไหม”
จี้ซูจับเอวตัวเองยืนขึ้นอย่างลำบาก เจ็บจนหน้าบึ้ง “โชคร้ายจัง ทำไมพื้นมันลื่นอย่างนี้เนี่ย”
“ต้องยอมมันจริงๆเลย”
เห็นเธอหกล้ม คนที่ไม่เป็นห่วงเลยกลับเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอ จี้ซูเห็นเขาเหมือนสมน้ำหน้าตัวเอง อ้าปากกะจะด่าแม่เขา แต่รีบร้อนเกินไป ทำให้กระทบอาการเจ็บที่เอวด้วย เลยได้คิดก่อน แม่เขาก็เป็นแม่ของตัวเองด้วยเหมือนกัน อารมณ์โกรธนี้ก็ค่อยๆซาลง
แต่เหอเจิงกลับเป็นห่วงแทบแย่ ประคองเธอไม่ยอมปล่อยมือ “เดี๋ยวฉันเรียกเสียวเจี่ยนไปส่งเธอที่โรงพยาบาล”
“ไม่จำเป็นหรอก”
จี้ซูเจ็บจนน้ำเสียงไม่ค่อยดี
จี้ผิงโจวไม่รู้จะทำอะไรกับพวกเธอดี
ที่ผ่านมาได้ยินว่าคนใช้หลายคนก็หกล้มตามทางนี้ อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคืนก่อนเหอเจิงก็คงจะหกล้มท่านี้แหละ
ดูๆแล้ว
ทางนี้ก็มีปัญหาหน่อยจริงๆ
“เธอบอกว่าไม่จำเป็น”จี้ผิงโจวหนาวจนรู้สึกกลัวเล็กน้อย ก้านร่มเหล็กที่ถือไว้บนมือเหมือนกับหนีบก้อนหิมะที่แทบจะเอาชีวิตเขา เขาหายใจออกมา รวมกับอากาศเย็นสีขาว “จะไปต่อไหม”
ความหวังดีของเหอเจิงเกิดไม่ถูกเวลาจริงๆ
“นายกลับไปก่อนเลย ฉันจะส่งเธอกลับไปก่อน”
สีหน้าของจี้ผิงโจวดูไม่ดีเลย ข้อนิ้วมือเจ็บอย่างนิ่งๆ แต่เหอเจิงกลับเหมือนอยู่กับตัวเองเก็บร่มที่ตกไว้บนพื้น ประคองเธอไปด้วยกันร่มให้เธอไปด้วย เดินผ่านข้างๆเขาเหมือนไม่เห็น
หิมะยังคงตกต่อไป บางๆเป็นชั้นๆ สองคนเหยียบลงไป ทิ้งร่องรอยที่เบาะบางไว้ให้
ตามรอยเท้านั้นไป
จี้ผิงโจวเกิดความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความอดทนมุ่งมานะ
มีภรรยาที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เขาเองก็รั้งไม่อยู่แล้ว
จี้ซูพักอยู่ในตึกเล็กๆใกล้ตึกเหนือ เป็นที่สำหรับเธอโดยเฉพาะ แต่เดิมเธออยู่กับจี้เหยียนเซียงที่ตึกใต้น้อย แต่จี้เหยียนเซียงเป็นคนขี้โรค เวลาดึกๆไม่มีอะไรก็จะอาเจียนเป็นเลือด ทำให้คนทั้งตึกไม่ได้อยู่อย่างสงบ
เธอเรียกร้องมาก บอกว่าถ้าอยู่ที่นั่นนานๆตัวเองจะเป็นโรคไปด้วย
เห็นว่าตระกูลจี้ก็มีแต่เธอแล้วที่เป็นเด็กไม่มีโรค
เลยสร้างตึกพิเศษให้กับเธอโดยเฉพาะหนึ่งตึก
ตอนนั้นเธอเพิ่งจะอายุ13ปี
เหอเจิงได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก ใบหน้ายังยิ้มอยู่ แต่ในใจกลับเป็นความรู้สึกโศกเศร้าที่ถูกโชคชะตากลั่นแกร้ง
13ปี…
ตอนที่เธอยังโศกเศร้าเพราะไม่รู้ว่าอาหารมื้อต่อไปจะได้กินไหมนั้น จี้ซูกลับมีตึกเป็นของตัวเองแล้ว อยากรู้จังว่าตอนนั้นจี้ผิงโจวกำลังทำอะไรอยู่
ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอสามารถเดาได้เลย
เมื่อส่งจี้ซูกลับไปเสร็จแล้ว
เหอเจิงเดินออกมาจากตึก เพียงชั่วพริบตาเดียว หิมะกลับคลุมทางที่เรียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย เกล็ดหิมะที่สาดลงมาบนพื้นถูกลำแสงสะท้อนอย่างอบอุ่น แม้แต่คนที่ยืนรอเธออยู่กลางหิมะเมื่อดูแล้วก็อบอุ่นไม่แพ้กันเลย
เธอคิดไม่ถึงว่าจี้ผิงโจวจะตามมา ยืนรอเธออยู่ข้างนอก
จิตใจเหมือนถูกคนดึงเบาๆทีหนึ่ง แล้วก็เหมือนบ่อน้ำที่ถูกต้มอยู่ แต่สุดท้าย ก็คงต้องกลับสู่ความเงียบเหงาเหมือนเดิม
“ทำไมนายไม่กลับไปก่อนล่ะ”
จี้ผิงโจวยกเสียงขึ้นตอบ “เธอไม่กลับไปด้วยฉันคนเดียวจะกลับไปไหนหรอ”