นี่มันคำพูดด่าทอกันชัดๆ แต่เหอเจิงกลับได้ยินเป็นเสียงเงียบเหงาอย่างเดียว
นี่มันไม่ใช่อารมณ์ที่คนอย่างจี้ผิงโจวจะมีเลย
เหอเจิงเดินเข้าไปพร้อมกับความกดดันที่เพิ่มขึ้น เข้าไปอยู่ใต้ร่มของเขา ก้มหน้าดู ร้องเท้าหนังที่ถูกแสงสีน้ำตาลเหลืองสาดส่องและเปียก แม้ว่าจะเป็นหนังแท้เกรดเอ แต่ก็ต้านอุณหภูมิที่หนาวจัดอย่างนี้ไม่ไหว
ก็คงจะคิดออกนะว่าตอนนี้เขาหนาวขนาดไหน
“ฉันให้นายกลับไปก่อนไม่ใช่หรอ”
ทันทีทันใดอย่างนี้เหอเจิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี มือจับด้ามร่มไว้ ฝ่ามือลูบผ่านหลังมือของจี้ผิงโจวเหมือนดอกหลิวปุยๆอันหนาวเย็นและน่ากลัว
“จี้ซูล้มเจ็บหนักไหม”
“ก็ไม่เท่าไหร่ บาดเจ็บที่เอว คงต้องนอนพักสักพัก”
ทางเส้นนั้นก็อันตรายจริงๆ
เวลาหิมะตก ถ้าไม่ระวังก็จะหกล้ม แม้แต่เหอเจิงก็หนีไม่พ้น จี้ผิงโจวรู้สึกว่าเป็นเรื่องขำ “เธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าหล่อนตรงไหนหรอก”
รู้แล้วแหละว่าเขาต้องไม่ปล่อยโอกาสหัวเราะเยาะคนอื่นอย่างนี้แน่นอน
เหอเจิงได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากต่อปากต่อคำกับเขา สองคนยังไงก็จะแยกกันในไม่ช้าแล้ว ทำไมจะต้องทิ้งความเกลียดชังไว้ให้แก่กันด้วยล่ะ
เขาตั้งใจจับไหล่ของเหอเจิง ใช้ร่มที่ถูกคลุมด้วยหิมะปิดบังเขาสองคน จะจูบเธอต้องโค้งงอคอมาก ถ้าอยู่ต่อนานก็จะรู้สึกเมื่อยคอ
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้แค่จูบบนขอบริมฝีปากของเธอเบาๆทีหนึ่ง
ไม่สนอะไรทั้งนั้น
ช่วงเวลานั้นเขาต้องการรับรู้รสของริมฝีปากของเธออย่างเดียว
เป็นรสที่ใหม่สดมาแรงของผลิตภัณฑ์ชั้นยอด ผสมกับกลิ่นหอมของไกลคอนในฤดูหนาว
พิมพ์จูบนั้นเหอเจิงไม่ได้เอาใส่ใจเลย
แต่มันกลับอยู่ในสายตาของคนบางคน
พวกเขาสิบนิ้วประสานกัน จริงๆแล้วเป็นจี้ผิงโจวเองที่ดื้อรังจะจับมือของเหอเจิง ในตัวของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งทนง ไม่ชอบการถูกปฏิเสธ ถ้ายอมตั้งแต่แรกก็ยังดี แต่ถ้าทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาละก็ เขาจะใช้ทุกวิถีทางในการลงโทษจากนั้นค่อยทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับ
ถ้าจะถูกแกล้งอย่างนี้ การยอมเชื่อฟังตั้งแต่แรกก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
นี่เป็นกฎที่เหอเจิงค่อยๆค้นพบเอง
รอยเท้าท่ามกลางหิมะถูกหิมะที่ตกปกปิดไว้
คนใช้ถือร่มยืนอยู่ เป็นเพื่อนจี้เหยียนเซียง มองคนสองคนที่เป็นเหมือนคู่ที่สง่างามเดินจากไป ลมเป็นลมหนาว ผู้หญิงข้างกายก็เย็นชาเหมือนกัน
จ้องมองไปที่ร่างของคนที่หายค่อยๆไป
จี้เหยียนเซียงพูดด้วยเสียงกระซิบที่ละเอียดละอ่อน “โจวโจวเป็นคนที่กระดูกสันหลังอ่อนจริงๆ แค่ถูกคนบ้าคนนั้นงอนนิดหน่อยก็ยอมแล้ว ”
“พี่สามก็…”
จริงๆตั้งใจจะเตือนเธอระวังการพูดจาหน่อย
แต่จะว่าไปแล้วเหอเจิงยังไม่ได้หย่ากับจี้ผิงโจวจริงๆ เรียกเธอแบบนี้ ยังไงก็ไม่ดีเท่าไหร่
แต่ฉากเมื่อกี้ก็เป็นอะไรที่กระทบแรงมาก
แค่เวลาสั้นๆจี้เหยียนเซียงจะสงบอารมณ์ได้ยังไง
ทุกคนรู้สึกว่าจี้ผิงโจวรังเกียจเหอเจิงจะเป็นจะตายอยู่แล้ว แค่เห็นเธอก็รู้สึกหงุดหงิด แต่ในใจลึกๆ เขากลับแอบรั้งเหอเจิงไว้ และในคืนหิมะที่ไร้ผู้คนก็พยายามเข้าใกล้เธอด้วย
แล้วตกลงคนไหนกันแน่ที่เป็นตัวจริงของเขา
จี้เหยียนเซียงก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ไปกันเถอะ กลับไป”
คนใช้กางร่มตามไปติดๆ “คุณหนูสามจะไม่ไปเยี่ยมคุณหนูเสี่ยวซูแล้วหรอ”
เธอเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ “ไม่มีอารมณ์ไปแล้ว”
วันถัดมาเหอเจิงไปยังตึกหลักตั้งแต่เช้า
ตอนที่ไปจี้ผิงโจวยังไม่ตื่น
รอตอนที่เขาตื่นขึ้นมานั้น ไออุ่นของที่นอนข้างๆได้หายไปตั้งนานแล้ว พี่เฉินกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทุกที่ ได้เตรียมขนมปังกับนมวัวไว้ด้วย ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ถูกปากของเขาทั้งหมด
ที่ตึกหลักทางโน้นไม่ชินกับการทานอาหารเช้า
เวลาเช้าคุณปู่ชอบดื่มชา การดื่มชาอย่างเดียวไม่ดีต่อกระเพาะ จี้ผิงโจวเคยบอกเขาหลายหนแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง
คนแก่ก็มีเหตุผลของคนแก่
เวลานานไป
เลยตามใจเขาแล้วกัน
“ภรรยาโจวโจวมาหรือยัง”
คนใช้ได้ยินเสียงสะดุ้งทีหนึ่ง แต่ก็ยังคงส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้เขา”มารอนานมากแล้ว เธอบอกว่าไม่ต้องรบกวนคุณท่าน เธอรออยู่อย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน”
ไม่ได้ดีใจ แต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสีย คุณปู่จี้พูดตอบกลางๆ “เป็นคนที่มีนิสัยดีเหมือนกันนี่”
“คุณหนูฟางเป็นคนที่ใจดีตลอดค่ะ”
“อืม”คุณปู่เป็นคนที่ช่างคิด “เทียบกับแม่ของหล่อนแล้ว ไม่เหมือนกันเลย”
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าตอบรับคำพูดของเขา
ไม่ใช่ไม่อยากรับ แต่ก็ไม่ใช่ไม่กล้ารับ เพราะไม่รู้ว่าควรตอบรับยังไงดี
ตามที่ทุกคนรู้คือว่า เหอเจิงมีแม่สองคน คนหนึ่งคือแม่ผู้ให้กำเนิด อีกคนไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด แต่เธอเรียกว่าแม่ทั้งสองคน คุณปู่พูดออกมาอย่างนั้นเฉยๆ ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใครกันแน่
ความเงียบนี้กับการต่อสู้ทางใจที่น่ากลัวล้วนอยู่ในสายตาของคุณปู่
เขาเอ่ยอย่างเย็นชาคำหนึ่ง โยนผ้าเช็ดหน้าไป “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าพวกเธอคิดอะไรอยู่ มีอะไรไม่กล้าพูดล่ะ จะเป็นแม่แท้ๆของเธอที่ร้ายอย่างกับกองไฟแล้วไงล่ะ ใครจะไปคิดว่าจะทำเรื่องแย่ๆอย่างนั้นได้ สมน้ำหน้าที่ถูกส่งออกไป”
ตอนนั้นข่าวไม่ดีถูกปล่อยออกไป
สิ่งที่เสียหายไม่เพียงแค่เสียหน้าคนคนหนึ่ง แต่เป็นความขายหน้าของสองตระกูลเลย
และฟางเหอเจิงก็เป็นสิ่งที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด
จริงๆเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลจี้เลย แต่ใครจะไปคิดว่า จี้ผิงโจวจะกลายเป็นบ้าเหมือนถูกผีหลอกต้องการจะแต่งงานกับเธอให้ได้
“นิสัยร้ายของแม่นั้นไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาแม้แต่น้อย แต่ได้นิสัยที่เหมือนกับนางสุนัขจิ้งจอกจอมเสน่ห์ กำลังคิดว่าจะล่อคนนี้ดีไหมน่ะ”
กระจกที่สว่างไสว ลายของแสงตกทอดไปบนน้ำที่นิ่ง ใบหน้าที่ดูมอมแมมและดูชราภาพของคุณปู่เกิดความรู้สึกที่มีความสุขลอยออกมา “ตระกูลจี้คงเก็บเธอไว้ไม่ได้หรอก”
เดินเข้าไปในห้องรับแขก
คุณปู่ได้เปลี่ยนสีหน้าทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนเป็นสุภาพ เมตตา คำพูดที่เบาๆออกมาอย่างช้าๆแฝงด้วยความรู้สึกอ่อนโยน “หลานสะใภ้ โจวโจวล่ะ”
เหอเจิงตื่นเช้าเกินไป
ง่วงมาก ขนาดนั่งอยู่ยังสัปหงกเลย เสียงเรียกครั้งนี้ของผู้เฒ่า เธอสะดุ้งจากอาการกึ่งตื่นกึ่งหลับ ยืนขึ้นอย่างแรง ก้มหัวอย่างเคารพ คำพูดมาถึงปากกลับไม่รู้ว่าจะเรียกคุณปู่ว่าอะไร
หลังจากแต่งงานมีครั้งหนึ่งเธอได้พบกับแม่ของจี้ผิงโจว เป็นผู้หญิงที่มีความเป็นนักแสวงบุญเล็กน้อย ตลอดกว่า10ปีที่อยู่ที่เหยียนจิง เธอไม่เหลือความตรงไปตรงมาและความทะมัดทะแมงแล้ว แต่กลับมีความอ่อนโยน
เหอเจิงเรียกเธอว่า แม่ เบาๆ
แต่กลับได้รับสายตาที่ทิ่มแทงอย่างไม่เบาไม่หนัก แววตานั้นเหมือนกับไม่เคารพเธออย่างนั้น
ในระหว่างทางกลับ แม้แต่จี้ผิงโจวก็เตือนเธอว่า “เธอมีแม่กี่คนยังไม่รู้อีกหรอ เรียกแบบนั้น เหมือนตั้งใจหาเรื่องใส่ตัว”
ตั้งแต่นั้นมา เธอก็ไม่กล้าเรียกคนอาวุโสของคนตระกูลจี้อีกเลย
คนใช้ไปเปลี่ยนเป็นชาร้อนๆมาแก้วหนึ่ง กลิ่นหอมของชานั้นปกคลุมทั่วไปหมด เหอเจิงไม่กล้าขยับ
คุณปู่มองออกไปยังข้างนอกที่ท้องฟ้าแจ่มใส พูดอย่างคลุมเครือว่า “หลานสะใภ้โจวโจว เธอรู้ไหมว่าฉันเรียกเธอมาทำไม”
“ท่านว่ามาเถอะ”
“ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้บางแล้ว”
“ใช่”
“ถ้างั้นเธอลองพูดมาก่อนไหม”
โจทย์ยากถูกโยนไปโยนมา
ไม่ว่าใครจะเป็นคนเอ่ยปาก ก็ต้องพูดให้เข้าใจกันให้ได้
ยังดีที่เหอเจิงเป็นผู้หญิง คุณปู่จี้ก็ไม่อยากทำให้เธอลำบากใจ วางแก้วชาลง ท่าทางที่อ่อนช้อยและสวยงามอย่างนั้น เป็นการฝึกที่ทุ่มเทแรงไปไม่น้อยเลย
ในความคิดนั้น เมื่อดื่มชาผ่านไปจอกหนึ่ง ต่อไปก็เป็นการปรับมือกันแล้ว
เหอเจิงก้มหัวเล็กน้อย เธอไม่ใช่คนที่เด่นอะไร วันนี้อยู่ที่นี่ ก็แค่หมาจนตรอกที่ไร้เจ้าของเท่านั้นเอง ก็เหมือนเมื่อสามปีก่อนที่เธอปรากฎในงานปาร์ตี้ แล้วริมเหล้าให้กับจี้ผิงโจว พูดอย่างมั่นใจว่า ในอนาคตเขาจะต้องตกหลุมรักตัวเองอย่างแน่นอน
“ช่างมันเถอะ”คุณปู่เหมือนจะท้อใจบ้างแล้ว “คำพูดที่เกินจำเป็นไม่ต้องพูดแล้ว เธอแค่บอกว่า จะยอมหย่ากับจี้ผิงโจวไหม”
ลมพัดทะลุห้องโถวพัดผ่านใบหน้า
โศกเศร้า การดิ้นรน ความอาลัย เหอเจิงถูกอารมณ์ควบคุมไว้ เมื่อคำพูดมาถึงปาก กลับเต็มไปด้วยความสงบเรียบ “ฉันได้พูดกับเขาแล้ว ท่านวางใจเถอะ คำพูดเมื่อสามปีก่อน ฉันคิดทบทวนมันมาตลอด”