ซ่อน | รัก | ลับ – ตอนที่ 63 น่าสงสาร

ลมหายใจอุ่นๆที่พ่นออกมาแฝงไปด้วยกลิ่นของเหล้า กลิ่นหอมของเหล้าที่คนทำขึ้นมา อีกทั้งยังมีกลิ่นเลือดจางๆอยู่

วันนี้หิมะไม่ตกจึงเผยให้เห็นพระจันทร์

แสงของพระจันทร์ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง และตกกระทบบนรองเท้าที่เปื้อนเลือดของจี้ผิงโจว เมื่อถอดรองเท้าเสร็จ เขาก็ใช้สองมือตรึงเหอเจิงไว้

และเพราะเหอเจิงไม่ได้มีแรงอะไรมาก จึงขืนไม่ไหว

เวลาที่จี้ผิงโจวเมา เขาจะเหมือนไม่ใช่คน และจะปฏิบัติกับคนอื่นราวกับไม่ใช่คนเหมือนกัน

ห้องกว้างนี้ มีเพียงแค่เขาสองคนเท่านั้น จึงไม่มีใครเลยที่จะสามารถมาช่วยเธอได้

เธอทำได้แค่ต้องช่วยตัวเอง และระหว่างที่เหอเจิงพยายามดิ้นขัดขืนอยู่นั้น จี้ผิงโจวเอื้อมมือจะไปตีที่มือของเธอ แต่ก็พลาดไปฟาดโดนคางและแก้มของเธอเข้า

ฟาดแรงเสียงดังฟังชัด

เขาตกใจเล็กน้อย เหอเจิงเองก็เจ็บมากจนน้ำตาไหล เธอค่อยๆเอามือมาจับหน้า

ตอนแรกเขานึกสงสารเธอ

แต่พอนึกถึงคำที่ซุนไจ่อวี่พูดพวกนั้น

ความรู้สึกผิดและอยากจะขอโทษก็หายไป

เรื่องทุกอย่างยังคงดำเนินไปใต้แสงจันทร์ แม้เหล้าจะทำให้ความทรงจำของคนไม่ชัดเจนบ้าง แต่ไม่สามารถทำให้เรื่องจริงเปลี่ยนไปได้

หมอนข้างกายขาวสะอาด บนนั้นมีเส้นผมอยู่ และแสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาตกกระทบร่องรอยเหล่านั้นพอดี

ร่องรอยแห่งความอบอุ่นนั่น ยังไม่ได้จัดเก็บให้เรียบร้อย

จี้ผิงโจวแฮงค์ และปวดหัวมาก เขาหันไปมองด้านบนตู้ข้างหัวเตียง ไม่มียาและน้ำอุ่นเตรียมไว้ให้เหมือนเก่า ถ้าเป็นแต่ก่อน ไม่ว่าเขาจะทำโหดเหี้ยมแค่ไหน เช้าอีกวัน เหอเจิงก็จะกลับมาดูแลเขาอย่างอบอุ่นเหมือนเดิม

เมื่อวานนี้เหมือนเขาจะทำเกินไป

เพราะฉะนั้นเหอเจิงจึงไม่แม้แต่จะเก็บทำความสะอาดผมของเธอที่ร่วงหล่นเต็มไปหมด เหมือนกับตั้งใจวางเพื่อตอกย้ำให้จี้ผิงโจวเห็นว่าเขาทำอะไรกับเธอลงไป

เอาเถอะ ขี้เกียจจะสนใจอารมณ์ผู้หญิง

ดังนั้นจี้ผิงโจวจึงไปเปลี่ยนเสื้อ คิดว่าลงมาคงจะเห็นเหอเจิงกำลังนั่งทานข้าวอยู่ แต่เปล่าเลย ในห้องอาหารมีเพียงแค่พี่เฉินที่กำลังยุ่งกับการเตรียมอาหารเช้าอยู่

“อ้าว โจวโจวตื่นแล้วเหรอ มาทานข้าวค่ะ”

จี้ผิงโจวถามเสียงเรียบว่า “เหอเจิงล่ะ?”

พี่เฉินดึงเก้าอี้มา และตอบว่า “เธอออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ฉันถามว่าเธอจะไปไหน เธอก็ไม่บอก บอกแค่ว่าตอนเย็นๆจะกลับมา มีอะไร ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอคะ?”

“เหอเจิงบอกเหรอ?”

“เปล่า “ พี่เฉินทำท่าทางครุ่นคิด “เธอแค่บอกให้ฉันมาเช้าๆหน่อย เพื่อมาดูแลคุณค่ะ ฉันเห็นตาเธอแดงๆ น่าสงสารมาก”

เพราะเมื่อวานเธอเอาแต่ร้องไห้ ขัดขืนหรือทำอะไรไม่ได้ก็เอาแต่ร้อง

แต่จริงๆก็ไม่ควรโทษเธอ

และอย่างไรซะเขาก็คงต้องขอโทษเธอ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องทำ อีกอย่างเพราะเมื่อวานคำพูดแทงใจของซุนไจ่อวี่ ทำให้เขาทำเกินไป

“พี่เฉิน?”

“มีอะไรเหรอคะ?”

“พี่ช่วยโทรไปถามที่บ้านฟางหน่อย ว่าเหอเจิงกลับไปที่นั่นหรือเปล่า”

“ตอนนี้เหรอคะ?”

“ใช่”

นอกจากบ้านตระกูลฟางแล้ว ที่เธอจะไปได้อีก ก็คงจะมีแต่ที่นั่น

คนรับใช้ของที่บ้านตระกูลฟางรับสาย บอกว่าเหอเจิงไม่อยู่ และไม่ได้กลับมา จากนั้นก็วางสายไป

พี่เฉินรายงานทุกคำพูดให้จี้ผิงโจวฟัง

จากนั้นก็ค่อยๆถามว่า “ทะเลาะกันจริงๆเหรอคะ? ครั้งนี้เป็นเพราะอะไรอีก?”

“ไม่มีอะไรครับ” จี้ผิงโจวดื่มนมหมดไปครึ่งแก้ว แต่ก็ยังรู้สึกปวดหัวอยู่

ไม่ใช่แค่ร่างกายที่รู้สึกไม่สบาย แต่ในใจเขาก็ไม่สงบเหมือนกัน

เขาจะง้อผู้หญิงอย่างเหอเจิงอย่างไรดี

จี้ผิงโจวเดินออกมาด้านหน้าตึกเหนือ ก็เจอกับเป๋ยเจี่ยนที่รออยู่ในรถ แต่จี้ผิงโจวไม่ได้ขึ้นไป เขาก้มตัวลงและเคาะกระจกเรียกเป๋ยเจี่ยน จากนั้นก็พูดว่า “วันนี้ไม่ไปโรงพยาบาลนะ นายช่วยไปซื้อของให้ฉันหน่อย”

เป๋ยเจี่ยนไม่กล้าซักไซ้มาก จึงถามแค่ว่า “ซื้ออะไรครับ?”

“ซื้ออะไรก็ได้ ให้ของขวัญเหอเจิง นายเลือกๆเอาเอง”

เป็นของขวัญที่ทำผิดกับเธอ

ทุกครั้งที่เป๋ยเจี่ยนซื้อของขวัญให้เธอ ต่างก็เป็นเพราะชื่อเสียงและหน้าตาของเขา เหอเจิงเองก็รู้ดี แต่เธอก็ยังขอบคุณอย่างจริงใจทุกครั้ง

เป๋ยเจี่ยนไปได้ไม่นาน

จี้ผิงโจวก็ขับรถออกมา

เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับเส้นทางสายนั้นเท่าไหร่ เขาวนอยู่หลายต่อหลายรอบตามการบอกทาง จนเจออาคารดนตรี ภายใต้แสงฤดูหนาวที่สว่างไสว ถูกปกคลุมไปด้วยความสวยงามและความหวังใบหน้าของนักเรียนเหล่านั้น ความไร้เดียงสาของพวกเขา ทำให้คนที่มองเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ

ถ้าเดินตรงตามไปทางข้างหน้า ก็จะเห็นห้องดนตรีอยู่

เดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง ก็มีกลุ่มนักเรียนเดินผ่านจี้ผิงโจว พวกเขาเหล่านั้นต่างก็แบกเครื่องดนตรีหนักๆไว้ เหมือนกับกำลังแบกความฝันของพวกเขาไว้ ไม่มีความเหนื่อยล้าเผยให้เห็นบนใบหน้าเหล่านั้น ใบหน้าของทุกคนเตรียมไปด้วยความสุขและความคึกคัก

ภายในตึกค่อนข้างเงียบ

ทุกๆห้องเป็นห้องเก็บเสียง

จี้ผิงโจวไม่รู้ว่าเหอเจิงอยู่ที่ห้องไหน ห้องเรียนเยอะขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหาทีละห้องๆ เขาเกรงว่าถ้าทำแบบนั้นแล้ว หาจนค่ำคงหาไม่เจอ

เขาจึงสุ่มเด็กนักเรียนคนหนึ่งมาถามอย่างสุภาพและอ่อนโยน “สวัสดีครับ ที่นี่มีห้องเรียนเชลโลไหมครับ?”

เด็กนักเรียนครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า

“พวกเขาเข้าเรียนแล้วครับ อยู่ที่ชั้น 3 ห้อง 5”

เหอเจิงไม่ได้เป็นนักเรียนของที่นี่นานแล้ว

แต่เพราะวงออเคสตราของพวกเธอสร้างประวัติศาตร์ไว้ ทำให้โรงเรียนยังเก็บห้องนั้นไว้

จี้ผิงโจวไม่ถามอะไรต่อ กล่าวขอบคุณเสร็จก็เดินจากไป

เขากดลิฟต์ไปที่ชั้นบนสุด เมื่อเดินออกไปก็ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงของวงออเคสตรา

จี้ผิงโจวไม่ค่อยเข้าใจหรือสันทัดเรื่องดนตรีสักเท่าไหร่ ถ้าถามเขาแล้ว ดนตรีมีไว้คลายความเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่ถ้าจะให้เขาไปลึกซึ้งกับดนตรี เขาคงทำไม่ได้

เขาค่อยๆเดินผ่านห้องเรียนที่ไม่มีคนอยู่ไปทีละห้องๆ

จากนั้นเขาก็หยุดลงที่หน้าหน้าต่าง

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ห้องเรียนจึงค่อนข้างโปร่งสบาย มีลมพัดเข้ามารอบๆเล็กน้อย เหอเจิงเธอวางเสื้อคลุมไว้ข้างๆ และนั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าเธอคือเปียโนที่ได้รับประสบการณ์มาหลายต่อหลายครั้ง และดูเหมือนจะถูกจารึกไว้ว่าเป็นอดีตที่สวยงามที่สุดของเธอ

เก้าอี้แถวหน้าไม่มีคนดู

เปียโนข้างๆก็ไม่มีคนเล่นแล้ว

มีแค่เธอคนเดียว ที่เอาแต่ก้มๆเงยๆดูโน้ตเพลงอยู่ เธอค่อยๆลองสีเชลโลดู จนมีเสียงออกมาและเธอก็หยุด จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบาๆ ดูเหมือนจะกลุ้มใจมาก

จี้ผิงโจวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก

เขาคิดแต่ว่าเหอเจิงคนที่กำลังสีเชลโลอยู่นี้ กับเหอเจิงคนที่คอยดูแลและทำหน้าที่ภรรยาของเขาอยู่ที่บ้าน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ความคล่องแคล่วของเธอเหมือนจะหายไป สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขา

ใบหน้าของเหอเจิงยังคงมีรอยอยู่

นั่นคือรอยที่เขาทำกับเธอเมื่อคืนวานนี้

ถ้าจะบอกว่าไม่เสียใจก็คงจะโกหก

วิธีที่จะขอโทษเธอ คงไม่ใช่การเดินเข้าไปกวนเธอ แต่เป็นการให้เวลาเธอตอนนี้ เธออยากทำอะไรก็ให้เธอทำ

จี้ผิงโจวหันหลังไปพิงกำแพง และฟังเสียงดนตรีที่เล็ดลอดออกมา เล่นๆหยุดๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ ก็ดูเหมือนว่าเธอเพลงใกล้จะจบแล้ว

แต่อย่างไรซะก็มีเธอแค่คนเดียว ไม่ว่าเธอจะพยายามเล่นแค่ไหน แต่มันก็ดูเหมือนยังไม่สมบูรณ์

จี้ผิงโจวฟังแล้วรู้สึกคล้ายว่าเพลงนี้จะเป็นบทกลอนอะไรสักอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้อินหรือลึกซึ้งไปกับมัน

ช่วงที่จะจบ อยู่ๆเสียงเพลงก็เงียบไป

เขาจึงหันไปมองเหอเจิง เธอกำลังก้มหน้าให้กับเชลโล ดูเธอหดหู่และเซื่องซึม

ให้เวลาเธอมากพอแล้ว

ขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้าไป

ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจากปลายสุดของทางเดินด้วยอารมณ์ศิลป์ เธอสวมแว่นตาสีดำ จากนั้นเธอก็มองที่จี้ผิงโจวและหันไปมองคนในห้อง

“โทษนะคะ คุณคือ?”

จี้ผิงโจวดูไม่เหมือนนักเรียน และถ้าจะบอกว่าเป็นอาจารย์ก็ยิ่งไม่เหมือนไปใหญ่

“ผมรู้จักคนในห้อง ผมมาหาเธอ”

เธอถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เหอเจิง?”

“ครับ”

เธอคิดเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “คุณเป็นอะไรกับเธอ?”

จี้ผิงโจวตอบอย่างไม่ลังเล “เป็นแฟนครับ ผมมารับเธอ”

ซ่อน | รัก | ลับ

ซ่อน | รัก | ลับ

ฟางเหอเจิงแต่งงานกับจี้ผิงโจวในฐานะลูกสาวนอกกฎหมายของตระกูลฟาง เธอถ่อมตัวต่อหน้าเขา เธอเก็บความรู้สึกทุกอย่างได้จนสามารถกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับคนรักของเขาได้ ระยะเวลาสามปีเต็ม ไม่มีใครเคยเห็นฟางเหอเจิงอิจฉาและเสียอารมณ์ จนกระทั้งมีการเปิดเผยข้อตกลงการหย่าร้างต่อสาธารณะ ไม่มีใครรู้เลยว่าฟางเหอเจิงรักใครอีกคน ในคืนแรกของการแต่งงานเธอจูบดวงตาของเขา เรื่องที่ฟางเหอเจิงแต่งงานกับเขา มีคนถามว่าเธอรัก ฟางเหอเจิงแต่งงานกับเพราะอะไร? เธอตอบว่าเพราะดวงตาเขา เธอรักดวงตาของเขาเท่านั้น ..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset