รีสอร์ทเดอะเพนนินซูล่าเพิ่งจะพัฒนามาได้สองปี และรายได้ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลประกอบการของพวกดีขึ้นๆ ก็มาจากลูกคนรวยประเภทเดียวกันกับฟางลู่เป่ยนี่เอง
เรื่องบ่อน้ำพุมีสารปนเปื้อนนี้ ทำให้บริเวณด้านในเต็มไปด้วยรถพยาบาล ส่งผลให้คนด้านในออกไม่ได้ และคนด้านนอกก็ยากที่จะเข้าไปได้เช่นกัน
แต่ยังดีที่จี้ผิงโจวมาด้วย เพราะว่าชื่อเสียงของเขา ทำให้การที่เข้าไปด้านในได้จึงไม่ใช่เรื่องยาก
ชั้นหนึ่งด้านในรีสอร์ทถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ราวกับอยู่ในราชวังของจักรพรรดิ์ แต่คนที่จะมาที่ได้ ถ้าไม่ใช่
ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่ แต่คนที่แช่น้ำพุร้อนทุกคนต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล พวกเขาค่อยๆต่อแถวขึ้นรถฉุกเฉินไปทีละคัน ทีละคัน จนทำให้การจราจรด้านหน้าค่อนข้างแออัดและติดขัด
เป๋ยเจี่ยนยังคงอยู่ในรถ
มีแค่จี้ผิงโจวที่พาเหอเจิงลงมา เขาดึงผ้าพันคอเธอขึ้นมาปิดจมูกไว้ “เมื่อกี้ฉันถามดูแล้ว บ่อน้ำพุร้อนที่มีเรื่องก็มีแค่ที่นี่ ถ้าฟางลู่เป่ยไม่อยู่ที่นี่ แสดงว่าเขาก็ไม่เป็นอะไร”
รถฉุกเฉินยังคงเข้ามารับและส่งคนอย่างต่อเนื่อง และด้วยสภาพอากาศที่มีหิมะตกอยู่ด้วย ทำให้บริเวณนั้นดูยุ่งวุ่นวายไปหมด
เหอเจิงเดินไปหาฟางลู่เป่ยตรงบริเวณที่คนกำลังต่อแถวอยู่อย่างร้อนรน
จี้ผิงโจวก็จับมือและเดินตามไปกับเธอไม่ห่าง ทั้งสองวิ่งกันจนเหนื่อย จี้ผิงโจวจึงพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหาแล้ว เดี๋ยวเข้าไปถามข้างในเลยดีกว่า เผลอๆเขาอาจจะไม่ได้มาที่นี่ด้วยซ้ำ”
สถานการณ์แบบนี้ทำเอาเหอเจิงทำตัวไม่ถูกเลย
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้น จึงประสานมือเธอแน่น แต่เธอก็ยังเลือกที่จะวิ่งตามหาต่อ
จนในที่สุดเขาทนไม่ไหว จึงดึงชายผ้าพันคอเธอ ทำให้เธอเอนเข้ามาในอ้อมกอดเขา จากนั้นเขาก็พูดข้างหูเธอว่า “บอกว่าไม่ต้องวิ่งหาแล้ว อยู่ๆข้างฉันก็พอ ฉันสัญญาว่าจะตามหาเขาให้ได้ โอเคไหม?”
พูดจบ จี้ผิงโจวก็พาเธอเดินไปทางด้านในตึก
เดินไปดูเหอเจิงไป ท่าทางตอนนี้ของเธอดูร้อนรนมาก ถึงแม้หมอจะบอกแล้วว่า แช่แค่ครั้งเดียวไม่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ก็ตาม แต่เธอก็ยังดูเหมือนไม่สบายใจอยู่
เมื่อทัั้งสองเดินเข้าตึกมา นอกจากคนของโรงพยาบาบแล้ว ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่แช่น้ำร้อนมา
พวกเขาเหล่านั้นกำลังโหวกเหวกโวยวายร้องให้รีสอร์ทชดใช้ค่าเสียหาย
ทั้งวุ่นวายและเสียงดังมาก
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้นก็พาเหอเจิงมานั่งบริเวณที่พักผ่อน ตอนนี้แก้มและหน้าผากของเธอแดงไปหมด “เธอนั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปถามให้”
เพราะที่นี่คนเยอะมาก
จึงทำให้เหอเจิงรู้สึกอึดอัด และเหมือนขาดอ็อกซิเจน
เธอมองแผ่นหลังของจี้ผิงโจวที่เบียดเสียดเข้ากลุ่มคนไป และเห็นเขาเข้าไปยืนคุยกับพนักงานบริเวณแผนกต้อนรับ จากนั้นเขาก็พาจี้ผิงโจวเดินเข้าไปที่ห้องประชุมด้านหลัง
ตอนนี้ยังมีเสียงเอะอะโวยวายไม่หยุด จนทำให้คนทั้งตึกต่างก็ได้เสียงรบกวนนี่
แถมด้านนอกยังมีรถของสำนักข่าวมาแล้วด้วย
ข่าวนี้แพร่กระจายไปเร็วมาก เพราะที่นี่เป็นรีสอร์ทที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเมืองเหยียนจิง
เหอเจิงเกามือของตัวเอง รู้สึกเริ่มคันขึ้นเรื่อยๆ
สักพักเมื่อจี้ผิงโจวกลับมา ก็เห็นสีหน้าของเหอเจิงไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เขาเดินไปจับมือเธอและบอกว่า “ห้องของฟางลู่เป่ยอยู่ชั้น 26 ตามบันทึกบอกว่าวันนี้เขาไปบริเวณน้ำพุร้อน แต่ไม่เห็นเขาออกมา”
เหอเจิงได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งทำให้ช็อค จนทำอะไรไม่ถูก
จี้ผิงโจวจึงดึงเธอขึ้นลิฟต์ไป
เขาไล่ตามหมายเลขหน้าห้อง เพื่อไปหาห้องที่ฟางลู่เป่ยเปิดไว้ จนในที่สุดก็หาเจอ
จี้ผิงโจวกดกริ่งหน้าห้องอยู่เป็นสิบนาที ถึงจะได้ยินเสียงผู้หญิงดังออกมาจากด้านใน
“ใครอะ?”
จี้ผิงโจวทนไม่ไหว จึงทุบไปที่ประตูสองสามที ก่อนจะตะโกนลั่นว่า “ฟางลู่เป่ย ถ้ายังไม่ตายก็ออกมาเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ก็ได้ยินเสียงผู้ชายกำลังบ่นอย่างหัวเสีย
จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้อง สภาพเขาตอนนี้หัวยุ่งเหยิง และใส่เพียงชุดคลุมอาบน้ำอยู่
“อะไรกันเนี่ย!ทำไมพวกนายไม่อยู่ที่บ้าน หิมะตกหนักขนาดนี้มาทำอะไรกันที่นี่?”
ดูแล้วเขาไม่เห็นได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
จี้ผิงโจวจึงหันไปมองทางเหอเจิง ตอนนี้ท่าทางเธอเหมือนอึ้งๆอยู่ เธอกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ที่บ้านโทรหาพี่ทำไมพี่ไม่รับสาย? พี่ไปแช่น้ำพุร้อนมาไม่ใช่เหรอ?”
“โทรศัพท์?” ฟางลู่เป่ยพูดจบก็หันไปมองภายในห้อง “อ้อ เมื่อกี้มีคนโทรมาอยู่นั่น มีคนรำคาญเลยปิดเครื่องไปแล้ว น้ำพุร้อนทำไม? ฉันไม่ได้ไปหรอก คนเยอะจะตาย ถ้าจะไปเบียดกันอยู่ที่นั่น สู้กลับมาแช่น้ำที่ห้องดีกว่า”
ท่าทางเขาทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกโมโห
เหอเจิงก็ไม่ได้ด่าว่าอะไรเขา แต่เธอรู้สึกผิดกับจี้ผิงโจวมากกว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นพวกฉันไปล่ะ”
ฟางลู่เป่ยถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะดึงจี้ผิงโจวและบอกว่า “ข้างนอกมีเรื่องอะไร ฉันได้ยินเสียงรถฉุกเฉิน”
“บ่อน้ำพุร้อนมีปัญหา ถ้านายไม่ไปก็ไม่มีอะไร”
ถึงตอนนี้จี้ผิงโจวยังอธิบายให้ฟางลู่เป่ยฟังอย่างใจดี แต่สายที่มองเขากลับแปลกๆ “ไปเที่ยวไหนก็ไม่ไป แต่ดันมาที่นี่?”
ฟางลู่เป่ยได้ยินดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นรีสอร์ทนี้ ถึงแล้วถึงได้รู้”
“ต่อไปไม่ต้องมาแล้ว”
พูดจบ
จี้ผิงโจวก็ดึงมือเหอเจิงและเดินออกมา
โดยมีเสียงของฟางลู่เป่ยไล่หลังมาว่า “ไหนๆก็มาแล้ว จะไม่ทานข้าวด้วยกันหน่อยเหรอ?”
ทั้งสองไม่ได้ตอบกลับอะไร
สถานการณ์แบบนี้ ในรีสอร์ทคงไม่มีร้านอาหารไหนเปิดแน่ๆ
เมื่อทั้งสองเดินมาจนใกล้ถึงหน้าลิฟต์ ก็เห็นเป๋ยเจี่ยนรีบวิ่งออกมา ท่าทางเขาดูเหนื่อยล้า เขาวนหาที่จอดอยู่นานกว่าจะรีบตามขึ้นมาได้
เขาหอบเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “พี่ครับ ข้างล่างมีรถของพวกนักข่าวเต็มไปหมด พวกเรารอดึกกว่านี้ค่อนไปดีกว่าครับ ตอนนี้รถติดมาก”
แต่จี้ผิงโจวก็ไม่ได้สนใจใดๆ กลับเดินเร็วขึ้น จนเหอเจิงเดินตามไม่ทัน
“ถ้าดึกกว่านี้ก็กลับไม่ได้แล้ว”
พวกเขาไม่ควรรีบร้อนเข้ามาที่นี่เพราะเรื่องของฟางลู่เป่ย
พอเข้ามาได้แล้ว จะออกไปก็ยากเหมือนกัน
เมื่อลิฟต์มาถึง โชคดีที่ในนั้นไม่มีคน
เหอเจิงที่อยู่ในลิฟต์ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมา ได้แต่ยืนฟังจี้ผิงโจวกับเป๋ยเจี่ยนคุยกัน
ไม่นานลิฟต์ก็มาถึงชั้นหนึ่ง
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พวกวเขาทั้งสามก็เห็นชายสองคนใส่สูทผูกเนคไทกำลังยืนคุยกันอยู่ด้านหน้า
“รีบไปเคลียร์เรื่องค่าเสียหายให้แขกทุกคนก่อน จากนั้นก็เชิญพวกนักข่าว…”
พูดยังไม่ทันจบ
เขาก็หันมาเห็นจี้ผิงโจวพอดี เขาคนนั้นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นอมยิ้มอย่างรวดเร็ว
“บังเอิญจังเลย นี่โจวโจวไม่ใช่เหรอ?”