เหอเจิงดึงผ้าพันคอออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนตอนนี้กลายเป็นสีแดงเถือก
ตอนแรกแค่รู้สึกแพ้และคันเล็กน้อย
ถ้าหลังจากทานส้ม แล้วเธอทายา ไม่นานอาการก็น่าจะทุเลาลง
แต่นี่เธอต้องพันผ้าพันคอตลอดเป็นเวลานาน ทำให้อาการของเธอหนักขึ้น
เหอเจิงตอนนี้ยังพอสติอยู่ แต่เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ไปเกาได้
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้นจึงอุ้มเธอวางไว้บนเตียง อีกมือหนึ่งก็จับข้อมือเธอไว้ และบอกว่า “ไม่ต้องเกาแล้ว เป็นแผลหมดแล้ว”
“คัน”
เมื่อเปิดไฟ ทั้งห้องก็สว่างขึ้น
ตอนนี้เหอเจิงคันจนทนไม่ไหว เธอเปิดไหล่ของเธอออก จากนั้นก็เกาอย่างแรง พร้อมกับทำเสียงคล้ายลูกแมวกำลังอ้อน
ไม่นานก็เผยให้รอยเล็บเต็มไปหมด ดูแล้วน่ากลัวมาก
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้น ก็กดมือเธอลงไปที่หมอน “อย่าเกาซิ เกาจนเป็นแบบนี้แล้วหืม เป๋ยเจี่ยนกำลังไปเอายามาให้ อีกแป๊ปก็มาแล้ว อดทนหน่อยนะ”
เมื่อเธอโดนจี้ผิงโจวจับมือไว้ เธอจึงเอาตัวไปสีกับข้อมือเขา
ผิวเย็นๆของจี้ผิงโจวตัดกันกับผิวอันร้อนผ่าวของเหอเจิง เขาไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
เหอเจิงโดนจับมือไปข้างหนึ่ง แต่ก็ยังเหลือมืออีกข้างหนึ่ง ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนโดนแมลงนับร้อยๆตัวมารุมกัดที่ผิวของเธอ
เธอจึงทำได้แค่เกาไม่หยุด จนตอนนี้เนื้อตัวเธอเต็มไปด้วยรอยเล็บ
จี้ผิงโจวเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็กดตัวเธอไว้อยู่บนเตียง
เธออึดอัดและไม่สบายตัวจนร้องครางออกมา
“คัน ฉันคัน..”
“ทนหน่อย ถ้าเกาอีกต้องเป็นแผลลึกแน่”
แต่เหอเจิงก็ดูเหมือนจะทนไม่ไหว และเพราะทั้งสองมือเธอ โดนจี้ผิงโจวล็อคไว้แล้ว ทำให้เธอทำได้แค่เอนหัวไปสีกับข้อมือของจี้ผิงโจว
จี้ผิงโจวใส่นาฬิกาอยู่ ทำให้เวลาที่เธอสีนั้น สามารถผ่อนคลายความรู้สึกคัน และอยากจะเกาของเธอลงไปได้บ้าง
เธอทำแบบนั้นได้สักพัก เป๋ยเจี่ยนก็รีบวิ่งเข้ามา
ในมือของเขาถือหลอดยาเข้ามาด้วย
เขายืนมองอยู่ไกลๆ แต่ก็สามารถเห็นรอยเล็บและรอยแดงบนตัวของเหอเจิงได้อย่างชัดเจน
ถ้ายังไม่รีบทายาบรรเทาแล้วละก็ เห็นทีว่าเธอจะต้องเกาจนเลือดไหลแน่นอน
เนื้อยาที่ทาลงไปค่อนข้างเย็น ถึงแม้จะไม่ใช่ยาที่เอาไว้ใช้รักษาอาการแพ้โดยเฉพาะ แต่ ณ เวลานี้ นี่ก็เป็นยาที่บรรเทาได้ดีมากที่สุด
มือข้างหนึ่งของจี้ผิงโจวต้องคอยจับเหอเจิงไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ค่อยๆทายาให้เธอ
ขณะที่ทายาอยู่นั้น เหอเจิงก็กำลังอดทนไม่เอื้อมมือไปเกา
เธอรู้สึกไม่สบายตัวและอึดอัดมาก
เธอจับปลายเสื้อของจี้ผิงโจวแน่น และปลายนิ้วมือเธอเกี่ยวไปทั่ว จนทำให้ชายเสื้อเขาหลุดลุ่ยออกมา
ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายเธอสูงขึ้นเล็กน้อย จี้ผิงโจวก้มหน้าลงและมองไปที่มือเธอ จากนั้นก็กระซิบเสียงเบาว่า
“เธอจะล้วงมือเข้าไปหาอะไรในนั้นเหรอไง?”
เวลาแบบนี้ จี้ผิงโจวยังจะมีอารมณ์มาล้อเล่นอยู่อีก
เหอเจิงที่กำลังอดกลั้นอยู่นั้น ก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องเขาตาเขม็ง
จี้ผิงโจวเห็นสีหน้าท่าทางเธอก็ขำ “แพ้ส้มทำไมไม่พูด แบบนี้คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร?”
“ตอนแรกฉันไม่อยากทาน..”
เหอเจิงรู้สึกสบายขึ้น เพราะยาเย็นๆที่ทาลงบริเวณคอ
ตอนนี้อาการคันของเธอทุเลาลงบ้างเล็กน้อยแล้ว
ผิวหนังเธอตอนนี้ แดงราวกับเนื้อส้ม ยิ่งทายาเนื้อใสๆลงไปแล้ว กระทบกับแสงไฟ ยิ่งทำให้สีของมันเด่นชัดขึ้นมาอีก
จากนั้นจี้ผิงโจวก็ค่อยๆทายาให้เธอเรื่อยๆ ตั้งแต่บริเวณหน้ามาจนถึงใต้คางเธอ “ก็บอกแล้วว่าไม่ให้มา ตอนนี้เสร็จจากที่นี่ พวกเราก็ออกไปไม่ได้แล้ว”
เขาไม่ได้โกรธจริงๆ เหอเจิงฟังออก
เพราะถ้าโกรธจริงๆละก็ ตอนนี้เขาคงทิ้งเธอไว้แล้ว
“ต่อไปจะไม่ใจร้อนแบบนี้แล้ว…”
“คนของบ้านฟาง สำคัญกับเธอขนาดนี้เลยเหรอ?”
สำคัญสิ สำคัญมากขนาดนี้เธอยอมทิ้งเรื่องที่บ้านตระกูลจี้มาเพื่อ ทำให้พวกเขาสบายใจ
เหอเจิงยังจับชายเสื้อของจี้ผิงโจวอยู่ วันนี้เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ กระดุมที่ติดบนเสื้อดูแน่น ไล่สายตาขึ้นไปก็เห็นลำคอที่ลูกกระเดือกที่สุดแสนจะมาดแมนของเขา
ไม่จงใจสร้างอะไรพิเศษๆ ขอแค่จ้องมองแบบนี้ ก็ทำให้บรรยากาศรอบๆมีเสน่ห์ขึ้นมา
จี้ผิงโจวเป็นผู้ชายที่ไม่ว่าจะอยู่หลบมุมหรืออยู่ตรงที่แสงส่องไปไม่ถึง แต่ก็ทำให้คนที่เห็น ต่างก็หลงใหลในตัวเขาได้อย่างไม่ลังเล
เมื่อจี้ผิงโจวไม่ได้ยินเหอเจิงตอบกลับ เขาจึงเบนสายตามามองเธอ ถึงได้เห็นว่าตอนนี้เหอเจิงกำลังจ้องมองไปที่กระดุมของเขาอย่างเหม่อลอย “ทายาเสร็จ ก็นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
เหอเจิงได้ยินดังนั้น ก็ก้มหน้าลง เล็กน้อย จากนั้นก็ถูกจี้ผิงโจวจับเงยขึ้น “เงยหน้าหน่อย ไม่งั้นจะทาอย่างไร”
ห้องอยู่ชั้นอะไรเธอก็ไม่รู้
อยู่ห้องที่เท่าไหร่เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
เมื่อทายาเสร็จ จี้ผิงโจวก็เทน้ำร้อนมาให้เธอดื่ม จากนั้นก็ไปทำธุระส่วนตัว
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไม่มีท่าทีลังเลใดๆ เขาเดินมาทิ้งตัวลงนอนข้างๆเหอเจิง
เหอเจิงเห็นดังนั้น เธอก็ค่อยๆขยับหนี แต่จี้ผิงโจวก็ค่อยๆขยับเข้าใกล้อีก จนทำให้เธอรู้ไม่สบายตัว จึงหันไปพูดกับเขาว่า “จี้ผิงโจว คุณไปเปิดห้องอีกห้องหนึ่งไม่ได้เหรอ?”
“ตอนนี้พวกเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แล้วทำไมต้องเปิดห้องแยกอีกห้องหนึ่งด้วย?”
“แต่ไม่นานเราก็ไม่ใช่แล้ว”
“นั่นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต”
เหอเจิงได้ยินดังนั้น จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
บรรยากาศตอนนี้ค่อนข้างเงียบ จนทำให้ได้เสียงลมหายใจของเขาชัดเจน
ยิ่งเป็นแบบนี้แล้ว ยิ่งทำให้ใจเธอเต้นแรงมากขึ้น
ผ่านไปสักพัก
จี้ผิงโจวยังหลับไม่สนิทดี เขาเอาปลายจมูกมาถูบริเวณไหล่ของเหอเจิง
เหอเจิงตกใจเล็กน้อย และเตรียมจะขยับหนี แต่จี้ผิงโจวก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “เหอเจิง กลิ่นตัวเธอหอมจัง”
หอมเหรอ?
ทั้งตัวมีแต่กลิ่นยาเนี่ยนะ
เขาน่าจะมึนหัวจนจมูกเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
จากนั้นไม่นาน จี้ผิงโจวก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาเอานิ้ววางไปที่หลังคอของเหอเจิง
เหอเจิงเกร็งจนตัวแข็งและไม่กล้าขยับ เมื่อจี้ผิงโจวเห็นท่าทางเธอ ก็ขำออกมาเบาๆ ก่อนจะจูบไปที่หลังคอเธอเบาๆ และก็หลับไป
ตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว เมื่อเหอเจิงเห็นว่าจี้ผิงโจวหลับสนิทแล้ว เธอก็ค่อยๆจับมือเขาออก และขยับตัวลุกออกจากที่นอน
ตอนนี้ทั้งห้องมืดสนิท ไม่มีแสงใดๆเล็ดลอดเข้ามา
เหอเจิงค่อยๆจัดการเสื้อผ้าของตัวเอง และเดินออกมาจากห้องด้วยรองเท้าสลิปเปอร์อย่างแผ่วเบา
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ ทำให้เธอไม่ค่อยรู้ทางเดินสักเท่าไหร่
เธอเดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกหนาว จึงจับเสื้อคลุมให้กระชับขึ้น จากนั้นก็มองซ้ายมองขวาและเดินต่อไป
ขณะที่เดินไปเกือบสุดทางเดินนั้น เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้า
เงาคนที่ยืนตรงมุมนั้น สะท้อนให้อยู่บนพื้น เหอเจิงเห็นดังนั้นก็ตกใจตาโต
เพราะเงานั้นดูแล้วอยู่ห่างจากเธอไม่กี่ก้าวเท่านั้น และเพียงแค่แวบเดียวก็มีคนเดินออกมาจากมุมๆนั้น