ซ้อจำเป็น – ตอนที่ 11

บทที่ 11  

 

 

 

 

 

 

 

 

             เมื่อคืนผมนอนไปทั้งที่ตัวเองไม่ได้อาบน้ำเพราะความเหนื่อยล้ากับทุกเรื่องที่เจอ ตอนแรกบอกกับตัวเองไว้ว่าจะพักสายตาสักนาทีสองนาที แต่ในความเป็นจริงตื่นมาอีกทีปาเข้าไปหกโมงเช้า ตอนแรกผมตั้งใจจะล้มตัวลงนอนต่อแต่เมื่อตัวเองนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันทำงานวันแรกในบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง  เคเอส เอนเตอร์เทรนเมนท์    

 

 

 

 

 

             บริษัทนี้เป็นบริษัทชั้นนำในเรื่องซื้อขายคอนเทนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มซีรี่ย์ต่าง ๆ ที่คนทั้งประเทศติดงอมแง่มและผมคือหนึ่งในนั้น บริษัทเคเอส เอนท์เตอร์เทรนเมนท์ นี้ยังเป็นผู้นำเข้าหนังระดับเชียและนำหนังของประเทศส่งออกไปยังคู่ค้าพันธมิตรต่างแดนทั้งหมดอีกต่างหาก ตอนที่ผมรู้ก็อึ้งไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าบริษัทที่เป็นอันดับต้นของประเทศจะมีขุนศึกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  

 

 

 

 

 

              ‘ลลินคุณเคลียร์ตารางให้ผมที อีกสองวันผมต้องบินไปคุยรายละเอียดงานกับลูกค้า ใช่…’  

 

 

 

 

 

             ผมพาร่างกายตัวเองเดินตรงไปยังหน้าตู้เย็น เพื่อเปิดหาหลอดนมข้นหวานออกมาและเดินตรงไปยังชั้นวางขนมปัง ซึ่งขนมปังที่ผมซื้อมาไว้นั้นต้องเป็นขนมปังที่ไร้ขอบเพราะผมไม่กินขอบมัน กินทีไรรสชาติความอร่อยมักจะหายไปทันตาเห็น จะมองว่าผมเป็นคนเลือกกินก็ไม่เชิงแค่จะไม่กินในสิ่งที่ไม่ชอบเท่านั้นเอง  

 

 

 

 

 

              ‘ใช่ จัดการซะ เข้าไปเดี๋ยวผมเซ็น…’  

 

 

 

 

 

             ผมถือขนมปังกับหลอดนมข้นเดินตรงมานั่งบนโต๊ะอาหารที่มีขุนศึกนั่งคุยโทรศัพท์พร้อมกับนั่งไถไอแพคเช็คตลาดหุ้นไปพลาง ๆ แต่เมื่อขุนศึกเห็นผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ โทรศัพท์ที่ถือสายคุยอยู่ก็ถูกตัดทิ้งไปสายตาคมจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของผมและแน่นอนมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด  

 

 

 

 

 

             “วันนี้ไปพร้อมกันเพราะมึงเข้าบริษัทเป็นครั้งแรก สายคอยรายงานที่บ้านกูมีเยอะ ถ้ามีใครสักคนไปบอกป๊าม๊าว่ามึงขับรถไปเอง กูขี้เกียจจะอธิบาย”  

 

 

 

 

 

             “…”  

 

 

 

 

 

             สองมือของตัวเองสาละวนกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้สนใจฟังประโยคของขุนศึกเสียเท่าไหร่ ถ้าหากพูดออกไปก็มีแต่จะทำให้ทะเลาะกันแต่เช้า การนั่งเงียบเท่านั้นที่จะทำให้ผมอยู่ภายในโลกที่สงบสุขของตัวเองได้  

 

 

 

 

 

             “…”  

 

 

 

 

 

             “…”  

 

 

 

 

 

             ผมบีบนมข้นจนเต็มพื้นที่หน้าขนมปังแล้วยกขึ้นมากัดกินโดยสายตาของขุนศึกก็ยังคงมองไม่วางตา สายตาผมตอนที่เงยขึ้นกัดขนมปังประจวบเหมาะกับตอนที่ผมดันเผลอไปสบตาด้วย แววตาคู่นั้นดูจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักเมื่อผมไม่ตอบ ไม่คุย ราวกับมันเป็นอากาศธาตุ และจู่ ๆ ร่างกายสูงก็ลุกขึ้นออกจากโต๊ะและจงใจเลื่อนเก้าอี้เสียงดังเพื่อระบายอามณ์เมื่อถูกผมเมินใส่ ก่อนจะหันตัวเองหายเข้าไปในห้องครัว นัยน์ตาผมหันมองแผ่นหลังกว้างของขุนศึกเล็กน้อยแล้วก้มลงกัดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อโดยไม่ใส่ใจอะไรมาก  

 

 

 

 

 

             “ประสาท…”  

 

 

 

 

 

             ผมเปล่งคำออกมาด้วยเสียงที่เบาหวิวกับตัวเอง เมื่อร่างของขุนศึกทำท่าทีฟึดฟัดไม่พอใจตอนที่ผมนั่งนิ่งเฉยไม่สนใจที่จะตอบกลับ พอนั่งกินไปสักพักร่างสูงหน้าตาไม่สบอารมณ์ก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะโดยมีแก้วน้ำชาถือติดมือมาด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยเหมือนกลิ่นของเมื่อวานที่ม๊าให้ผมดม จึงเป็นตัวกระตุ้นทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อแก้วถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า  

 

 

 

 

 

             “อะไร”  

 

 

 

 

 

             ที่ถามออกไปไม่ใช่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร แต่ที่ถามเพราะอยากจะรู้ว่ามันเอามาให้ผมกินทำไม ผมไม่จำเป็นต้องกินตามที่ม๊าบอกเพราะผมไม่มีจุดประสงค์แบบนั้นอยู่แล้ว  

 

 

 

 

 

             “กินซะสิ ม๊าบอกให้มึงกินหลังอาหาร”  

 

 

 

 

 

             “กูไม่กิน เอาไปเททิ้งทุกวันเดี๋ยวมันก็หมดเอง”  

 

 

 

 

 

             ผมตอบแบบขอไปทีแล้วนั่งกัดขนมปังราดนมต่อ จากหนึ่งชิ้นเป็นสอง จากสองเป็นสามโดยมีสายตาจ้องมองมาจากคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร ขุนศึกมองผมโดยไม่ละสายตาไปไหน มองผมอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกอิ่มและในจังหวะที่กำลังลุกขึ้นไปเก็บจานขุนศึกก็ลุกขึ้นมาหาหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ใช้นิ้วเลื่อนไอแพดวีดิโอหาใครบางคน รอสายไม่นานบุคคลที่ขุนศึกโทรหานั่นก็คือม๊าของผมเอง  

 

 

 

 

 

              ‘สวัสดีครับม๊า สวยแต่เช้าเลยนะครับ’  

 

 

 

 

 

             เมื่อผมเห็นว่าเป็นม๊าสองมือจึงยกขึ้นไหว้ ตามด้วยเสียงทักทายพร้อมรอยยิ้มของเจ้าตัวไหนจะประโยคอวยยศให้ม๊าผมอีก ปากหวานแบบนี้ไงผู้หญิงถึงหลงกลเชื่อคำพูด ซึงผมไม่แปลกใจนักเพราะเอกลักษณ์ประจำตัวของมันคือการพูดหวาน ล่อให้ผู้หญิงตายใจและแน่นอนคงใช้ไม่ได้กับผม  

 

 

 

 

 

              ‘ลูกเขยคนนี้ปากหวานใช่ย่อยเลยนะ ม๊ากำลังจะออกไปวิ่งจ๊ะ กินข้าวกันหรือยังลูก เดี๋ยววันนี้ม๊าจะให้หวานซื้อของเข้าไปไว้ให้ พวกลูกสองคนอยากได้อะไรเพิ่มไลน์บอกม๊านะ เดี๋ยวม๊าจะได้ให้หวานไปซื้อทีเดียว’  

 

 

 

 

 

             สายตาผมมองม๊าที่กำลังเดินออกจากตัวบ้านมายังด้านนอก ซึ่งในชีวิตประจำวันของม๊ามักจะออกไปวิ่งเรียกเหงื่อรอบหมู่บ้านทุกเช้า ม๊าผมเป็นคนรักสุขภาพอาหารทุกมื้อต้องครบห้าหมู่ แต่ผมไม่ได้นิสัยส่วนนั้นจากม๊าเลยแม้แต่น้อย ถ้าได้มาผมคงไม่ต้องนั่งกินขนมปังราดนมแบบนี้หรอก  

 

 

 

 

 

              ‘ไม่เอาแล้วม๊า เท่าที่ซื้อมายังกินไม่ทันจนจะเน่าหมดตู้แล้วมั้ง’  

 

 

 

 

 

             ผมเงยหน้าขึ้นไปมองจอไอแพดที่ถูกขุนศึกเป็นคนถือไว้ ในระหว่างนั้นมือของเจ้าตัวก็เอื้อมมาปัดปลอยผมที่ปกปิดหน้าอยู่ให้ปัดไปอีกฝั่ง ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อถูกกระทำต่อหน้าม๊าตัวเอง ขุนศึกมันคงเริ่มแสดงสามีที่เอาใจใส่ภรรยาอย่างผมให้ม๊าเห็นสินะ    

 

 

 

 

 

             “ผมมันจะแยงตายังไม่รู้ตัวอีก”  

 

 

 

 

 

             เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยขึ้นแผ่วเบาก่อนจะตวัดสายตากลับมามองหน้าจอเครื่องมือสื่อสารต่อ แต่ตัวผมกลับนิ่งค้างไปสักพักเพราะการกระทำเมื่อครู่   

 

 

 

 

 

              ‘ทำไมถึงกินไม่ทันล่ะ ไม่ค่อยทำกับข้าวกันหรอกหรอ ม๊าจะให้หวานไปคอยดูแลเรื่องนี้ พวกลูกก็ไม่อยากให้ไป จะเอายังไงกันสองคนนี้’  

 

 

 

 

 

             เสียงม๊าเรียกสติให้ผมกลับมาอยู่กับตัวเอง ผมหันไปมองบนหน้าจอสาวสวยเปิดประเด็นเรื่องอาหาร เพราะเรื่องอาหารสำหรับม๊าผมต้องเนียบ ดูจากที่ผมแค่พูดว่ากินไม่ทันม๊าก็บ่นร่ายยาวไม่หยุด ในระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงความคิดท่อนแขนขวาของขุนศึกจู่ ๆ ก็โอบไหล่ผมเข้าหาตัวเองแล้วยกเครื่องมือสื่อสารนั้นขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นแก้วน้ำชาที่ถูกวางแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งผมรู้ทันทีว่าแท้ที่จริงแล้วมันมีจุดประสงค์อะไรที่โทรหาม๊าแต่เช้า   

 

 

 

 

 

           ‘สมุนไพรที่ม๊าเอาไปให้กินหรือยังคับฟ้า’  

 

 

 

 

 

             ชัดเจนขุนศึกสามารถเบี่ยงประเด็นให้ม๊ากลับมาสนใจเรื่องมสุนไพรบ้าบอนี่จนได้ ผมเบี่ยงตัวเองออกจากแขนที่โอบไหล่แล้วโน้มตัวเองไปชิดขอบโต๊ะอาหารเพื่อเลี่ยงการสัมผัสจากตัวขุนศึก   

 

 

 

 

 

           ‘กินม๊า ไม่ลืมหรอกน่า’  

 

 

 

 

 

             ผมกัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากแล้วยิ้มตาหยีใส่ม๊าที่ยืนมองผมหน้านิ่งกลางสวนหน้าบ้าน เมื่อเห็นว่าม๊าเล่นจ้องแบบนี้ผมจึงเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำชายกขึ้นโชว์ใส่กล้องให้ม๊าเห็นว่ากินจริงไม่จกตา น้ำสมุนไพรกำลังร้อนได้ที่ถูกผมยกขึ้นกินรวดเดียวจนหมด แถมคว่ำแก้วโชว์ให้ม๊าเห็นว่าน้ำสักหยดก็ไม่เหลือ  

 

 

 

 

 

              ‘หมดแล้วนะครับคุณนายหลิว คับฟ้าลูกชายคนนี้กินหมดตามที่คุณนายสั่งแล้วนะครับ’  

 

 

 

 

 

             สีหน้ายิ้มแย้มกึ่งปะชดหน่อย ๆ โดยมีขุนศึกเอื้อมกระดาษทิชชู่มาให้ตรงหน้า ผมหันไปมองเหมือนกับไม่ต้องมายุ่งแต่ร่างสูงฟังที่ไหนและยังใช้นิ้วเรียวชี้ลงมาที่มุมปากตัวเองเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคราบน้ำกำลังไหลย้อยลงมา ผมจึงรีบยกทิชชู่ในมือขึ้นเช็ดมุมปากตามที่เจ้าตัวบอก  

 

 

 

 

 

              ‘ม๊าครับเดี๋ยวผมกับคับฟ้าต้องเข้าบริษัทแล้ว วันนี้วันแรกของน้องผมไม่อยากให้น้องไปสาย เอาไว้ผมกับคับฟ้าจะโทรไปเล่นด้วยใหม่นะครับ’  

 

 

 

 

 

              ‘ตายจริง ม๊าก็ลืมดูเวลา มัวแต่คุยเพลินไปหน่อย ตั้งใจทำงานนะคับฟ้า ลูกม๊าเก่งอยู่แล้ว’  

 

 

 

 

 

             ผมมองหน้าตาที่ดูมีความสุขของม๊าก็ทำให้ตัวเองยิ้มตาม เห็นม๊ามีความสุขแล้วผมก็มีความสุข ถึงแม้เบื้องหลังผมจะต้องพบเจอเรื่องน่าปวดหัวทุกวันก็ตามที ผมโบกมือลาม๊าก่อนที่เครื่องมือสื่อสารตรงหน้าจะถูกตัดด้วยฝีมือของเจ้าของเครื่อง เมื่อการแสดงละครจบไปอีกฉาก ผมก็ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ต่อจึงลุกเพื่อไปเตรียมตัวเข้าบริษัท ในส่วนของจานชามที่วางอยู่บนโต๊ะจะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน ซึ่งพวกผมตกลงกันไว้ว่าจะไม่ให้แม่บ้านนอนพักที่บ้านหลังนี้เพราะไม่อยากให้ความลับที่ปิดไว้รั่วไหลถึงหูผู้ใหญ่ ดังนั้นแม่บ้านจะเข้ามาดูแลความเรียบร้อยตอนเช้าถึงประมาณหกโมงเย็นเท่านั้น  

 

 

 

 

 

             “สวัสดีครับคุณคับฟ้า สวัสดีครับท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             ประตูรถคันหรูถูกเปิดรอไว้กว้างโดยศิลป์ ทุกการทำงานของคนติดตามขุนศึกคนนี้ดูจะเป็นระเบียบไร้ของกังขาเสียจริง เพราะขนาดยืนเปิดประตูรถรอพวกผมร่างสูงใหญ่ของศิลป์ก็ดูน่าเกรงขามไม่ต่างกับขุนศึกแม้แต่น้อย จนผมไม่กล้าเอ่ยคำทักทายให้ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ส่งไป  

 

 

 

 

 

             “ตารางงานวันนี้มีอะไรบ้าง”  

 

 

 

 

 

             เมื่อพาร่างเข้ามาสู่ด้านในรถเสียงเข้มของคนที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ ผมก็เอ่ยถามขึ้น ตัวรถเคลื่อนออกจากหน้าบ้านมุ่งสู่จุดหมายปลายทางนั่นก็คือ บริษท เคเอสเอนเตอร์เทนเมนท์   

 

 

 

 

 

             “ช่วงเช้ามีประชุมกับผู้บริหารเรื่องธุรกิจใหม่ครับ ส่วนช่วงบ่ายมีประชุมอนุมัติโครงการจากที่บริษัทเราเทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่งในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา สำหรับวันนี้มีเท่านี้ครับท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             ผมที่นั่งมองด้านนอกตัวรถก็ต้องตกใจกับตารางงานในชีวิตของขุนศึก ขนาดงานรัดตัวขนาดนี้มันยังสามารถไปมั่วผู้หญิงได้อย่างมีความสุขอีกงั้นหรือ ชีวิตของมันอยู่ได้เพราะความใคร่หรือไงกัน  

 

 

 

 

 

             “หลังบ่ายยกเลิกไปให้หมด ให้ผู้อำนวยการธนินไปคุยแทน  วันนี้ฉันจะพาภรรยาหนีเที่ยวซะหน่อย ”  

 

 

 

 

 

             ประโยคสุดท้ายทำเอาผมต้องหันควับไปมองร่างสูงที่นั่งยกขาไขว่ห้าง แขนยกขึ้นพาดไว้ตรงขอบเลื่อนกระจกรถแล้วยิ้มมุมปากมาให้ผมอย่างเจ้าเล่ห์  

 

 

 

 

 

             “แต่…”  

 

 

 

 

 

             “ฉันต้องเข้าประชุมเองทุกครั้งเลยหรือไง! แล้วมันจะมีผู้อำนวยการไว้ทำซากอะไร! โทรไปบอกมันว่าฉันจะไปเที่ยวกับเมีย เดี๋ยวมันก็รู้หน้าที่เอง”  

 

 

 

 

 

             “ได้ครับท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             เสียงของศิลป์ตอบรับเจ้านายตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อโดนต่อว่ามิหนำซ้ำยังยกโทรศัพท์ขึ้นติดต่อบุคคลที่โดนอ้างถึงเพื่อให้รับรู้ว่าตารางงานช่วงบ่ายถูกเปลี่ยนแปลง ต้องมาทำหน้าที่แทนให้กับคนที่นั่งมองยิ้ม ๆ มาให้ผมไม่หยุด แต่เมื่อครู่ยังทำหน้าจะฆ่าคนให้ตายแล้วทำไมพอมองผมกลับแตกต่างออกไป ความสวิงทางอารมณ์ของขุนศึกทำให้ผมรู้สึกว่าขุนศึกมันอารมณ์ไม่เสถียรเอาเสียเลย  

 

 

 

 

 

             “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครจะไปกับมึง อย่าคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว”  

 

 

 

 

 

             ผมชักสีหน้าพูดกับมันในระดับโทนเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิดใจ เมื่อคืนยังเปิดศึกกันไม่พออีกหรือไงกัน มาเช้าวันนี้มันจะไม่ให้ผมได้หายใจหายคอสักนิดเลยหรือ ตัวของขุนศึกโน้มลงมาฝั่งผมและในจังหวะที่ผมเผลอเอวตัวเองก็ถูกท่อนแขนสอดเข้ามาแล้วลากตัวผมจนชิดกับแผงอกกว้างที่มีสูทเนื้อผ้าดีปกปิดอยู่ ผมดิ้นอย่างขัดขืนเพราะกลัวศิลป์ที่นั่งขับรถอยู่นั้นจะเห็นพฤติกรรมของตัวเอง แต่แรงขุนศึกกลับเยอะกว่าผมอยู่มากโขทำให้ผมทำได้แค่ดิ้นภายใต้อ้อมแขนนี้เท่านั้น  

 

 

 

 

 

             “มึงคือคนแรกที่กูเอ่ยปากจะพาไปเที่ยว อย่าพลานทำให้อารมณ์กูเสียแต่เช้านักเลยคับฟ้า หุบปากจัดจ้านของมึงไว้สักวันคงไม่ถึงกับดิ้นชักตายลงกับพื้นหรอกมั้ง”  

 

 

 

 

 

             น้ำเสียงอ่อนลงอย่างน่าประหลาดใจมันทำให้ผมเริ่มมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความรู้สึกงงงวยหนักเข้าไปใหญ่   

 

 

 

 

 

             “กูไม่ไป ได้ยินไหมว่ากูไม่ไป ปล่อย”  

 

 

 

 

 

             สายตาหลุบต่ำมองลงมาของขุนศึกทำให้ผมประหม่ากับนัยน์ตาคู่นี้ไม่น้อย การที่ผมบอกตัวเองว่าห้ามเข้าใกล้คนตรงหน้ามันยังคงต้องใช้คตินี้เตือนใจให้แม่นตลอดเวลา แววตาที่ชวนให้น่าหลงใหลไม่เป็นผลดีต่อใจผมแน่ ถึงความเกลียดขี้หน้าจะมีมากก็ตามดังนั้นผมไม่ควรประมาทสักวินาทีเดียวกับคนอย่างขุนศึก  

 

 

 

 

 

             “ศิลป์ ตอนบ่ายแกไม่ต้องขับรถให้ฉัน เพราะวันนี้ฉันจะเป็นสารถีให้ของฉันภรรยาเอง แกมีหน้าที่เคลียร์พวกนักข่าวน่ารำคาญที่คอยตามฉันไกล ๆ เป็นพอ ถ้ามีภาพหลุดออกไปแม้แต่เสี้ยวหน้าของฉันและเมียของฉัน แกโดนเล่นแน่”  

 

 

 

 

 

             “รับทราบครับท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             ผมนั่งเงยหน้าเหวอมองขุนศึกที่สั่งลูกน้องตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย สิ่งที่ผมพูดไปไม่ได้เข้าหูมันเลยใช่ไหม เมื่อคืนยังทำร้ายร่างกายผมแต่มาเช้านี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อารมณ์ที่แปรปรวนมันทำให้ผมอดนึกคิดไม่ได้ว่าขุนศึกมันเป็นโรคไบโพล่าหรืออย่างไรกัน  

 

 

 

 

 

             ร่างกายของผมถูกปลดปล่อยออกจากการอ้อมแขนแกร่ง มันปล่อยให้ผมกลับไปนั่งในท่าเดิมส่วนตัวเองก็ก้มลงจัดชุดสูทให้เข้าที่เข้าทางเมื่อรถคันหรูได้เคลื่อนตัวเข้ามาเทียบยังหน้าตึกใหญ่ใจกลางเมือง หากแต่ผมแปลกใจไม่น้อยเมื่อระยะทางระหว่างบ้านกับบริษัทไม่ไกลกัน ทำไมตอนที่ผมขับรถมาผมเองนั้นถึงใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมง แต่มาวันนี้ศิลป์ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง   

 

 

 

 

 

             ประตูสองฟากฝั่งถูกเปิดออกมาโดยพนักงานที่ยืนเรียงแถวกันเรียงรายตั้งแต่ทางเข้าประตูจนสุดเข้าไปทางด้านในไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ความเว่อวังอลังการนี้ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ตอนที่ผมยืนหน้าเหวอด้านหน้าประตูทางเข้าอยู่นั้นร่างสูงของขุนศึกในชุดสูทสีดำเนคไทคสีดำลายจุดคงความสุขุมในเวลาเดียวกัน ผมหันไปมองขุนศึกมาหยุดยืนขนาบข้างกายแต่แววตาและสีหน้าของมันปรับโหมดเคร่งครึม จริงจัง ซึ่งไม่เหมือนตอนที่อยู่กับผมสักนิดเดียว   

 

 

 

 

 

             “สวัสดีครับท่านประธาน/สวัสดีค่ะท่านประธาน”  

 

 

 

 

 

             เหล่าบรรดาพนักงานที่ยืนเรียงรายกันนั้นยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำทักทายด้วยรอยยิ้มมาให้ ด้วยความตื่นตาจึงไม่ทันสังเกตว่าตัวเองโดนขุนศึกจับเนื้อต้องตัวอีกแล้วเพราะตอนนี้ผมโดนโอบไหล่เดินเข้าไปในตัวอาคารอย่างเนียน ๆ  สายตาพนักงานทุกคนที่จ้องมาที่ผมเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นใครและอยู่ในสถานะไหนกับขุนศึก อย่าบอกนะว่าเรื่องหมั้นถูกแพร่กระจายไปทั่วประเทศ ถ้าเป็นอย่างที่คิดชีวิตผมคงจะอยู่ยากขึ้นร้อยเปอร์เซ็นและไม่มีคำว่าสงบสุขอีกต่อไปเป็นแน่  

 

 

 

 

 

             “สวัสดีครับท่านประธาน เรื่องที่ท่านประธานให้ผมโยกย้ายคนในทีมไปโครงการอื่น ผมจัดการเรียบร้อยแล้วนะครับ”  

 

 

 

 

 

             ผมโดนขุนศึกโอบไหล่จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าลิฟต์ตัวเก่าตัวเดิมที่ผมเคยใช้ แต่แค่เปลี่ยนมาเป็นอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าให้ผมเดาคงจะเอาไว้สำหรับใช้ประธานและเหล่าระดับผู้บริหาร ในระหว่างยืนรอลิฟต์อยู่นั่นเสียงจากชายชุดสูทสีน้ำตาลเข้มยืนกุมมือแสดงความเคารพต่อหน้าขุนศึกเอ่ยพูดขึ้นและผมก็พยายามเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งไปในเวลาเดียวกัน แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เนื่องจากมีชายใส่ชุดสูทดำอีกสองคน ไหนจะเลขายืนที่ประกบอยู่ด้านหลังจนผมรู้สึกอึดอัดไปหมด  

 

 

 

 

 

             “อือ ดีมาก ฉันวานคุณปริญช์ดูแลภรรยาของฉันด้วย ถ้าหากมีปัญหาอะไรต่อสายตรงมาที่ฉัน”  

 

 

 

 

 

             “ด้วยความยินดีครับท่านประธาน ผมจะดูแลคุณคับฟ้าให้เป็นอย่างดีเลยครับ”  

 

 

 

 

 

             ชายหนุ่มที่ชื่อปริญช์ดูท่าทางจะกะปรี้กะเปร่าเป็นพิเศษเมื่อท่านประธานเอ่ยปากชม ผมยืนอยู่ในวงสนทนาด้วยแววตาอึดอัดและไม่ชอบใจนักที่มีคนมายืนต่อท้ายแบบนี้ ใช้เวลายืนรอได้ไม่ถึงนาทีตัวประตูลิฟต์ถูกเปิดออกกว้าง ตัวผมโดนโอบไหล่ถูกประคองให้เดินเข้าด้านในพร้อมกับเจ้าของแขนที่กำลังโอบผมอยู่ จากนั้นเหล่าบรรดาคนติดตามก็เข้ามาด้านในกันเป็นลำดับ ผมกับขุนศึกยืนส่วนด้านหน้าทุกคน มันเลยทำให้ผมสามารถเงยหน้าไปมอง มองสื่ออารมณ์ไปว่าผมไม่พอใจในการจับเนื้อต้องตัวแบบนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นใบหน้าหล่อร้ายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ก้มลงมาแนบชิดข้างใบหูผม   

 

 

 

 

 

             “เจอกันตอนเที่ยงนะครับคุณภรรยา”  

 

 

 

 

 

             รอยจูบถูกประทับตรงขมับด้านซ้ายต่อสายตานับสิบคู่พร้อมกับจังหวะที่ประตูลิฟต์เลื่อนออกในชั้นยี่สิบ แขนของขุนศึกผ่ายมือออกไปด้านหน้าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชั้นนี้เป็นชั้นที่ผมต้องออกไป ผมที่ถูกจู่โจมด้วยความหน้าไม่อายของร่างสูงเมื่อสักครู่เลยทำให้ผมเกิดอาการตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ  

 

 

 

 

 

             “ถึงแล้ว ออกไปสิหรือเปลี่ยนใจอยากไปห้องทำงานกูแทน”  

 

 

 

 

 

             เสียงทุ้มของมันก้มล้มพูดข้างหูอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเบี่ยงตัวเดินออกไปนอกลิฟต์โดยไม่หันหลังกลับไปมองคนที่อยู่ด้านใน บ้า บ้าไปแล้ว ผมสลัดความคิดของตัวเองก่อนที่จะคิดไปไกล และรวบรวมสติมาอยู่กับตัวเองให้ได้มากที่สุด   

 

 

 

 

 

             “อ…เอ่อ…คุณคับฟ้าครับผมชื่อปริชญ์ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”  

 

 

 

 

 

             “ไม่ต้องเกร็งครับ ทำตัวปรกติที่คุณปริชญ์ทำกับคนอื่นแบบนั้นดีกว่า ยิ่งคุณทำแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกอึดอัด”  

 

 

 

 

 

             ผมตัดสินใจบอกออกไปตรง ๆ ในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก หนึ่งสิ่งที่ผมไม่ชอบคือการที่ผมโดนปฏิบัติเหนือกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ผมรับไม่ได้และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับผมที่นี่  

 

 

 

 

 

             “ได้เลยครับ ผมจะทำตามที่คุณคับฟ้าบอกเลยครับ”  

 

 

 

 

 

             ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คุณปริชญ์ก็ยังรีบเดินไปคว้าประตูเปิดออกให้ผมด้วยความกระตือรือร้นจนเกินเหตุอยู่ดี สองเท้าผมเดินตรงไปยังทางเดินที่ถูกตกแต่งด้วยความเรียบหรูซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของบริษัทได้ดี ตัวผมถูกพามายังห้องประชุมเล็กห้องหนึ่งโดยคุณปริชญ์เป็นผู้อาสาเดินเข้าไปด้านในก่อน  

 

 

 

 

 

             “เพื่อนร่วมงานคนใหม่ของทีมเรามาแล้ว!”  

 

 

 

 

 

             เสียงคล้ายกับตะโกนเป็นการส่งเสียงให้ทุกคนด้านในรับรู้การมาถึงของผม ตัวผมนั่นยืนหายใจเข้าเพื่อเรียกสติเต็มปอดแล้วเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มจริงใจให้กับทุกคนที่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานผมอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า   

 

 

 

 

 

             “นี่คุณคับฟ้า ตั้งแต่วันนี้ไปจะมาอยู่ทีมเดียวกับเรา ทักทายทุกคนเลยครับ”  

 

 

 

 

 

             ในจังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นสายตาตัวเองก็ดันไปสบตากับผู้ชายรอยยิ้มอบอุ่นคนนั้น คนที่วิ่งเอากาแฟมาให้ผมในวันที่ผมมาที่นี่ครั้งแรก   

 

 

 

 

 

             “สวัสดีครับ ผมคับฟ้าครับ”  

 

 

 

 

 

             เมื่อผมพูดจบเสียงปรบมือดังเกลียวกราวของเพื่อนร่วมงานใหม่ดังขึ้นไม่หยุด ต่างพากันยิ้มมาให้ผมเหมือนดีใจที่ผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม โดยเฉพาะผู้ชายคนที่นั่งอยู่คนที่สองฝั่งซ้าย  เจ้าของรอยยิ้มอบอุ่น และวันนี้รอยยิ้มนั้นก็กำลังยิ้มมาให้ผมด้วยความดีใจ ดีใจที่ได้เจอผมอีกครั้ง  

ซ้อจำเป็น

ซ้อจำเป็น

*ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร* ซ้อจำเป็น (Mpreg) ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั้งคนที่อยากใช้ชีวิตคู่ด้วยตัวเอง ต้องถูกอากงอาม่าจับหมั้นกับหลานชายเพื่อนสนิทสมัยเรียน! แถมยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาด้วยซ้ำ! และสิ่งสำคัญที่สุด… ลูกบ้านอื่นมีแต่เขาอยากจะได้ลูกสะใภ้ แล้วเหตุไฉนบ้านไอ้คับฟ้าคนนี้ถึงอยากได้ลูกเขยแทนละว่ะ! เนื้อหา และ ภาพ บางตอนไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่หากรี้ดท่านใดต้องการเสพความบันเทิงนิยายเรื่องนี้ต่อควรใช้วิจารณญาณอย่างสูง!!!! เตือนแล้วนะ! อิ้อิ้ เรื่องนี้ฟรีไม่ติดเหรียญ ได้เวลาคืนกำไรให้กับลีดทุกคน ที่คอยซัพพอร์ตนักเขียนแมงหมี่หน้าใหม่คนนี้โดยตลอดมา อิ้อิ้ ลีดท่านใดสายชิว สายไม่รีบเชิญทางนี้เลยค่ะ เพราะทุกเรื่องไรต์ด้นสดทุกเรื่องเด้อโปรดเข้าใจนักเขียนสายชิวคนนี้ด้วยนะคะ งานแต่งเผื่อไม่มี มีแต่งานดองจ้า 5555555 ไม่เคยแต่งแนวนี้มาก่อน ฝากเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ ><

Comment

Options

not work with dark mode
Reset