ซ้อจำเป็น – ตอนที่ 4

บทที่ 4  

 

 

 

 

 

             สายตาผมมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องนอนที่มีเหล่าบรรดาช่างแต่งหน้าค่อยสาละวนกับร่างกายผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะนุ่มมานานนับหลายชั่วโมง ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สร่างทุกบริเวณของบ้านหลังโตถูกเนรมิตให้เป็นดั่งสรรวค์ ไม่ว่าจะเป็นผ้าสีขาวที่ถูกจัดโดยออแกไนส์ชื่อดัง ดอกไม้ พุ่มไม้ ที่ถูกตัดแต่งด้วยสีขาวโล้นเปรียบเสมือนดังความรักอันบริสุทธิ์เพื่อให้งานวันนี้ออกมาดูดีที่สุด ทุกอย่างมันดูเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่มีอยู่หนึ่งสิ่งที่มันไม่มีความเป็นไปตามสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง นั่นก็คือ   

 

 

 

 

 

              ผม…  

 

 

 

 

 

             ผมที่ไม่รู้สึกยินดีกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ผมหลุบสายตามองไปยังลิปสติกที่กำลังถูกผสมกันระหว่างสีหลายสี พู่กันหัวเล็กเริ่มแตะลงมายังริมฝีปากก่อนจะไล่แต้มไปทั่วพื้นบริเวณริมฝีปากของผมด้วยฝีมือช่างแต่งหน้าสาวประเภทสอง เมื่อการละเลงไล่สีลิปสติกเสร็จสิ้นตัวผมก็ยิ่งถูกเอ่ยชมจากบรรดาช่างแต่งหน้ากันยกใหญ่  

 

 

 

 

 

             “โอ๊ย! เริ่ดมากค่ะลูก! ปากสีนี้คือปังไม่ไหวแล้วนะคะน้องคับฟ้า!”  

 

 

 

 

 

             “ก็พูดเกินจริงไปหน่อยนะครับพี่ระดา”  

 

 

 

 

 

             “พี่พูดจริง ๆ ค่ะคุณน้อง! ถามนางแนนซี่ดูถ้าไม่เชื่อพี่”  

 

 

 

 

 

             “จริงค่ะ แต่งแค่นี้ก็ฟาดผู้หญิงไปแล้วเป็นสิบ! คุณน้องรู้ไหมตั้งแต่เกิดมาแต่งหน้าให้คนนับร้อย เพิ่งจะเคยเจอผู้ชายหน้าสวยอย่างคุณน้องครั้งแรกเลยแหละค่ะ”  

 

 

 

 

 

             พี่ระดาและพี่แนนซี่รุ่นพี่คนสนิทที่วันนี้ทำหน้าที่คอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้โดยเฉพาะ เหตุผลที่ผมเลือสองคนนี้มาก็เพราะงานที่จัดขึ้นเป็นงานที่จัดหมั้นกันภายในครอบครัวโดยไม่มีบุคคลภายนอกรับรู้ถึงเรื่องราวน่ายินดีในวันนี้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าหมั้นไม่ออกสื่อ ดังนั้นวันนี้จึงมีแต่คนที่สนิทเท่านั้นที่มาร่วมงานได้  

 

 

 

 

 

             “ก๊อก ๆ ค่ะทุกคน เจ้าบ่าวคนนี้เสร็จหรือยังคะ เจ้าบ่าวอีกคนลงไปรออยู่ด้านล่างแล้วน้า”  

 

 

 

 

 

             หมวยน้องสาวสุดแสบของผมเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดเดรสสีครีมอ่อนขาสั้นผ่าแหวกตรงแขนดูโตเป็นสาวมากกว่าทุกวันเป็นไหน ๆ ใบหน้าที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางราคาแพงยิ่งเพิ่มความสดใสให้กับน้องสาวผมเข้าไปใหญ่ หมวยเดินเข้ามาหาผมที่นั่งแน่นิ่งอยู่หน้ากระจกแล้วมองอย่างตกตะลึงจนตัวผมเองเริ่มรู้สึกประหม่า   

 

 

 

 

 

             “ฮ เฮียคับฟ้าของหมวยหรอเนี่ย! หล่อมาก เฮียหล่อมาก!”  

 

 

 

 

 

             เสียงตะโกนกรี๊ดลั่นจากประตูหน้าห้องวิ่งเข้ามากอดผมอย่างเต็มแรง ผมจากสีหน้าไม่มีชีวิตชีวาเมื่อครู่เริ่มแปรเปลี่ยนมาสดใสขึ้นเมื่อได้พลังจากอ้อมกอดของน้องสาวคนนี้ หัวคิ้วผมขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่ายัยหมวยจะตื่นเต้นดีใจอะไรกันขนาดนั้น ร้องกรี๊ดซะจนผมนึกว่าได้เจอศิลปินเกาหลีอย่างนั้น  

 

 

 

 

 

             “วันนี้เฮียของหมวดดูดีสุด ๆ ไปเลย”  

 

 

 

 

 

             สีหน้าดีใจของหมวยปรากฏขึ้นต่อหน้าผมโดยมีทุกคนที่ยืนมองดูต่างยิ้มให้กับคำชมจากสาวน้อย สาวน้อยที่เป็นดั่งดวงใจของผมรองจากอากงอาม่า ป๊าและม๊า   

 

 

 

 

 

             “แล้วพวกพี่วันนี้ไม่หล่อหรือไงครับหมวย”  

 

 

 

 

 

             ไอ้หงส์ที่ยืนอยู่มุมห้องกับไอ้เนมพูดแซวน้องสาวผมด้วยสีหน้าแววตาพร้อมแกล้งยัยหมวยเต็มที่ หมวยหันไปหาพวกมันแล้วยิ้มให้ไปหนึ่งทีตามสไตล์สาวเฟรนลี่สุดแสบ  

 

 

 

 

 

             “พี่หงส์ พี่เนมแล้วก็พี่ฟอง วันนี้ทุกคนหล่อมากแต่น้อยกว่าเฮียของหมวยอยู่ดี”  

 

 

 

 

 

             เริ่มต้นมาทำเอาพวกมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะในที่สุดหมวยก็ชมพวกมันได้เสียทีหลังจากยื่นเก๊กหล่อมานาน แต่รอยยิ้มเหล่านั้นกลับเลือนหายไปในพริบตาเมื่อประโยคพ้วงท้ายของยัยหมวยหันมาโอบกอดตัวผมเพื่อโชว์ให้ดูว่าผมนั้นหล่อที่สุดในสายตาของตัวเอง ซึ่งท่าทางที่แสดงต่อผมมันช่างทะเล้นจนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหัวกลม ๆ ของน้องสาวไม่ได้ เด็กอะไรช่างพูดช่างจาแถมยังชมพี่ชายไม่หยุดพักให้หายใจหายคอ  

 

 

 

 

 

             “พูดแบบนี้มาให้ตีเลยยัยเด็กแสบ! พวกพี่จะหล่อน้อยกว่าเฮียเราได้ยังไง! มานี่เลย!”  

 

 

 

 

 

             ไอ้เนมตัวเปิดคนแรกที่พุ่งเข้าสาหมวยจากมุมห้องสี่เหลี่ยมกว้าง หลังจากนั้นพวกมันที่เหลือก็วิ่งไล่ตามมาติดๆ หมวยที่รู้ว่าตัวเองจกเป็นเป้าก็รีบมาหลบอยู่ข้างหลังผม เสียงร้องกรี๊ดกราดอย่างสนุกสนานของหมวยทำให้อารมณ์ที่หม่นหมองในใจตั้งแต่เช้าตรู่เริ่มดีขึ้น   

 

 

 

 

 

             สายตาผมจับจ้องไปยังภาพเหตุการณ์ตรงหน้าและระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อแก๊งเพื่อนสนิทกับน้องสาวสุดที่รักกำลังวิ่งไล่จับกันอย่างมีความสุข แต่ภาพตรงหน้าก็พาลทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากผมไม่มีหมวยที่คอยเป็นยาชูพลังมันจะเป็นยังไง   

 

 

 

 

 

             ตั้งแต่เด็กหมวยไม่ได้ติดแค่ผมแต่ยังติดพวกไอ้หงส์ ไอ้เนม ไอ้ฟอง ครบเกลุ่มก็ว่าได้ พวกมันเวลามาเล่นบ้านผมก็จะเข้ามาหาหมวยก่อนทุกครั้งจนหมวยได้พี่ชายเพิ่มมาอีกอีกสามคน ใบหน้าผมถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอาจราคาแพงไปอีกสักพักโดยมีเสียงสามหนุ่มหนึ่งสาวกำลังวิ่งไล่จับดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ดังจนแขกคนสำคัญได้เปิดประตูห้องของผมเข้ามาและบุคคลที่มาเยือนในเวลานี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นม๊าผมนั่นเอง   

 

 

 

 

 

             “วิ่งเล่นอะไรเอะอะเสียงดังกันยัยหมวย ม๊าให้ขึ้นมาตามเฮียเรานะไม่ใช่ให้มาวิ่งไล่จับกับพวกพี่เขาอย่างนี้”  

 

 

 

 

 

             “โธ่ม๊า หมวยแค่เล่นนิดเดียวเอง”  

 

 

 

 

 

             เสี่ยงนุ่มนวลของม๊าเอ่ยขึ้นพร้อมกับช้อนสายตามองยัยหมวยดุ ๆ จนคนที่ถูกต่อว่านั้นเดินคอตกมายืนข้างผมแทน เมื่อช่างแต่งหน้าเก็บรายละเอียดเสร็จสิ้นสายตาผมจึงตวัดไปมองม๊าตัวเองผ่านกระจกที่สะท้อนภาพออกมา ซึ่งวันนี้ม๊าผมสวมใล่ชุดเดรสสีครีมอ่อนที่เป็นธีมสีงานในวันนี้ และดูท่าว่าม๊าผมจะสวยมากกว่าทุกวันไปอีกคน   

 

 

 

 

 

             ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มฉายแววมีความสุข ตื่นเต้น มาให้ในระหว่างที่ม๊าเดินเข้ามาหาผมและก้มลงมาสวมกอด อ้อมกอดที่อบอุ่นมันช่วยให้จิตใจของผมที่กระสับกระส่ายอยู่ตอนนี้บรรเทาลง ยิ่งการที่ม๊าเดินขึ้นมาหาผมด้วยตัวเอง ความรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าก็ยิ่งคอยตอกย้ำให้ผมเผชิญกับความจริงที่ผมหลีกหนีไม่ได้ ความจริงที่ว่า  

 

 

 

 

 

              วันนี้ผมจะถูกตีตราจองในฐานะซ้อใหญ่แห่งตระกูลศิริเจริญสกุล…  

 

 

 

 

 

             “ได้เวลาแล้วนะลูก เราต้องลงไปกันแล้ว”  

 

 

 

 

 

             ประโยคของม๊าช่างเป็นประโยคที่เหมือนเอาหนามนับพันมาทิ่มลงบนตัวผมเสียจริง ถ้าให้เลือกระหว่างโดดหน้าผากับเดินลงไปด้านล่าง ผมจะตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าจะไปทางไหน ให้ผมตายดีกว่าไปหมั้นกับผู้ชายสันดานแย่แบบขุนศึก ไม่ต้องมีสรรพนามเรียกพี่หรอกเพราะคนพันนั้นเรียกเ**้ยยังสงสารเ**้ยเลย  

 

 

 

 

 

             “ยิ้มหน่อยสิ วันนี้งานมงคลของลูกเลยนะคับฟ้า”  

 

 

 

 

 

             อุ้งมือนุ่มของม๊าเดินเข้ามาประคองใบหน้าของผมไว้สองข้าง สายตาสั่นไหวอบอวลไปด้วยความตื้นตันใจที่เห็นผมในชุดเตรียมเข้าพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการ ผมเผยรอยยิ้มบาง ๆ ไปแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แขนขวาตัวเองยกขึ้นเพื่อให้ม๊าสอดมือมาคล้องแขนได้สะดวก   

 

 

 

 

 

             ฝ่ามือม๊าเอื้อมมาลูบแก้มผมอย่างเบามือก่อนที่เราจะย่างเท้าเดินพ้นประตูออกไปยังด้านนอก เมื่อร่างผมเดินออกมาก็ทึ่งกับสายตาไม่น้อยเพราะตอนนี้บ้านทั้งหลังถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวทุกจุด เหล่าบรรดคนรับใช้ที่ยืนต้อนรับผมตั้งแต่หน้าห้องตลอดจนสุดราวบันได สองเท้าผมค่อย ๆ เดินลงไปทีละขั้นโดยรักษาการก้าวเท้าเพื่อประคองม๊าให้เดินลงไปพร้อมกัน แต่ความรู้สึกอึ้งยังไม่หายไปจากใจเมื่อในหัวคอยแต่คิดตั้งคำถามกับตัวเองว่าแค่งานหมั้นไม่กี่ชั่วโมง ทำไมทุกคนถึงต้องจัดพิธีใหญ่โตขนาดนี้   

 

 

 

 

 

              ตระกูลศิริเจริญสกุลช่างจัดงานได้สมฐานะเสียจริง…   

 

 

 

 

 

             “ยิ้มเข้าไว้เฮีย เดี๋ยวรูปออกมาไม่สวยนะ”  

 

 

 

 

 

             หมวยที่เดินตามหลังผมมาติด ๆ เดินมาประชิดแล้วกระซิบบอกผมเมื่อสองขากำลังก้าวลงตามขั้นบันได  เมื่อตัวผมพาม๊าเดินลงมาจนถึงขั้นสุดท้ายตากล้องสองสามคนที่ถูกจ้างมาโดยเฉพาะพากันปรี่เข้ามาจัดมุมถ่ายภาพตามการเคลื่อนไหวของตัวผมและม๊า ตลอดระยะเวลาในการเดินมาที่ห้องรับแขก เสียงกดชัดเตอร์ยิงรัวไม่มีหยุด ถึงภายนอกผมจะยิ้มแย้แค่ไหนแต่ภายในใจกลับอยากตะโกนเสียงดัง  

 

 

 

 

 

               ดังให้สุดเสียงว่าผมไม่อยากหมั้นสักนิดเลย…  

 

 

 

 

 

             โซฟาสีขาวตัวยาวมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกคนต่างเคารพนับถือ อากงและอาม่าทั้งสองครอบครัวนั่งยิ้มตอนรับว่าที่หลานสะใภ้อย่างผมด้วยความเอ็นดูและดีใจ ร่างสูงที่วันนี้มาในชุดสูทสีครีมอ่อนตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเน็คไทสีดำยิ่งเพิ่มความดูดีกว่าทุกครั้ง ซึ่งไม่ต่างไปจากผมเพราะชุดของผมกับของขุนศึกมันเป็นชุดเดียวกัน สีของชุดสะอาดตาดูเรียบร้อยแต่ใครจะรู้ว่ามันช่างแตกต่างกับนิสัยของผู้ชายตรงหน้าผมนี้เป็นที่สุด  

 

 

 

 

 

             “จะได้เวลาแล้ว พร้อมกันหรือยัง”  

 

 

 

 

 

             ผมหย่อนตัวลงแล้วคลานไปนั่งกับพื้นโดยที่มีขุนศึกนั่งรอผมอยู่ก่อนหน้า สายตาคมคอยมองไม่ห่างราวกับดีใจที่จะมีพันธะความสัมพันธ์เชิงสามีภรรยากับผมไม่อีกไม่กี่นาทีข้าง ขันหมากพิธีหมั้นแบบจีนของทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามีแต่สีแดงเต็มไปหมด ผมทำทีเป็นเบี่ยงสายตามองผู้ใหญ่ตรงหน้าแทนการจ้องตากับว่าที่สามี ถึงแม้จะเป็นการเล่นละครฉากใหญ่แต่รอบนี้เป็นการออกฉายครั้งเลยทำให้ผมรู้สึกประหม่าไม่น้อย  

 

 

 

 

 

             “เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยนะคะ”  

 

 

 

 

 

             พิธีกรสาวอย่างอี๊ผมกล่าวเปิดพิธีด้วยการให้ผมกับคนข้างกายคลานเข่าเข้าไปไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่ง เสียงปรบมือกันดังในระดับพอดี ซึ่งในงานวันนี้ทางครอบครัวของเราทั้งสองฝั่งเชิญแขกเฉพาะญาติคนสนิทประมาณยี่สิบคน จากที่ผมบอกไปว่างานนี้เป็นพิธีที่จัดขึ้นเฉพาะในครอบครัว แต่ก็อย่างว่าแหละครับครอบครัวคนจีนถึงจะบอกว่าจัดแบบไม่ใหญ่โตแต่จำนวนของญาติที่มาใช่ว่าจะน้อยที่ไหน สายที่กวาดสายตามองก็น่าจะเกินจำนวนที่ตั้งไว้  

 

 

 

 

 

             “ต่อไปเดี๋ยวให้หลินนับสินสอดด้านนี้เลยนะคะ”  

 

 

 

 

 

             อี๊ที่เรียกน้องสาวตัวเองให้เป็นคนทำหน้าที่นับสินสอดที่วางไว้ตรงหน้า จากการประเมินจำนวนแบงค์ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าหลายล้าน ถ้าจะเอาเงินมาวางที่เดียวคงจะนับกันไม่หวาดไม่ไหวเลยต้องมีเช็คแนบไว้ในถาดอีกที เมื่ออี๊นับเสร็จสิ้นจึงมอบสินสอดทั้งหมดให้ม๊าผมถือ ในระหว่างนั้นผู้คนต่างหัวเราะชอบใจเมื่ออี๊ประกาศจำนวนเงินสินสอดให้รู้กันทั่วหน้า ทำเอาผมก็ตกใจจนเผลอหลุดทำหน้าตาที่รักษาไว้อย่างลืมตัว เพราะจำนวนเงินสินสอดนั้นไม่ใช่น้อย ๆ จนอดคิดไม่ได้ว่านี่ค่าตัวผมแพงขนาดนี้เชียวหรือ  

 

 

 

 

 

             “ท่าทางสินสอดจะหนักน่าดูเลยนะคะ ตัวฝั่งแม่เจ้าสาวหอบจนเซกันเลยทีเดียว”  

 

 

 

 

 

             เสียงเอ่ยแซวกับท่าทางที่ม๊าผมหอบถุงสินสอดทำให้ผมอดที่จะหลุดขำไม่ได้ โดยคนที่นั่งข้างผมก็ขำออกมาไม่ต่างกัน   

 

 

 

 

 

              รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจอมปลอม…  

 

 

   

 

 

           ความสัมพันธ์แบบจอมปลอม…  

 

 

 

 

 

             ละครฉากใหญ่แห่งปีได้เริ่มขึ้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกำลังถูกยัดเยียดใส่เข้ามาให้เราทั้งคู่ รอยยิ้มที่ปั้นแต่งบนใบหน้าของผมมันก็แค่หน้ากากที่ใส่เข้าหาคนข้างกายเพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจก็เท่านั้นเอง  

 

 

 

 

 

             “ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการสวมแหวนให้กันแล้วนะคะ”  

 

 

 

 

 

             ตัวผมถูกหันออกไปทางด้านประตูทางเข้าบ้าน ที่มีบรรดาญาติเข้ามาร่วมยินดีกับพิธีหมั้นของผม ร่างสูงที่นั่งเคียงคู่นั้นเอื้อมมือไปคว้ากล่องแหวนประจำตระกูลที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เป็นแหวนที่ประเมินราคาไม่ได้ด้วยเงินเพราะมันเป็นแหวนเพชรโบราณนานนับหลายปี   

 

 

 

 

 

             “เราขอให้ฝั่งเจ้าบ่าวสวมแหวนให้กับเจ้าสาวด้วยค่ะ”  

 

 

 

 

 

             สิ้นสุดคำพูดของอี๊มือหนาของชายผู้กำลังจะเป็นสามีผมเอื้อมมาคว้ามือผมไปจับไว้แล้วค่อย ๆ สวมแหวนสอดเข้ามาที่นิ้วด้านซ้าย ในจังหวะเดียวกันแสงไฟจากกล้องสี่ห้าตัวก็ต่างจับภาพวินาทีที่แหวนถูกสวมใส่เข้ามาที่นิ้วผม หลังจากนั้นผมก็เอื้อมไปหยิบแหวนอีกวงแล้วจับมือนุ่มของคนตรงหน้าขึ้นมาสวมใส่ให้เช่นเดียวกัน   

 

 

 

 

 

             สายตาเราทั้งสองจ้องมองกันด้วยรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นมา ให้ทุกคนเชื่อสนิทใจว่าการหมั้นครั้งนี้ช่างมีความสุขเหลือล้นและอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรักที่บริสุทธิ์เหมือนกับดอกไม้สีขาวภายในบ้านหลังนี้ น้ำเสียงปรบมือดังทั่งห้องโถงกลาง ญาติมิตรทั้งฝั่งผมและฝั่งขุนศึกก็พากันเฮลั่นด้วยความยินดีให้เราทั้งสองคน   

 

 

 

 

 

             เมื่อสวมแหวนให้กันและกันเสร็จอี๊ก็ทำหน้าที่พิธีกรจนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการคลานเข่าเข้าไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่อีกรอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกเรือนอย่างเต็มตัว ขุนศึกคืบคลานเข้าไปก้มกราบฝั่งตัวเอง ส่วนผมก็คืบคลานมาหาอากงกับอาม่าเป็นบุคคลท่านแรก  

 

 

 

 

 

             “หลานอั๊วโตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วหรอ ไวจริงๆ”  

 

 

 

 

 

             “อั้วเห็นหลานมีคนดูแลก็ตายตาหลับแล้วล่ะอาคับฟ้าเอ๊ย”  

 

 

 

 

 

             ผมยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อคำพูดของอากงกับอาม่ามันทำให้รู้สึกว่าผมกำลังจะไม่ใช่หลานของท่านทั้งสองเต็มตัวเหมือนเคย ผมโผล่เข้ากอดพร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้โดยไม่สามารถอัดอั้นไว้ได้ จนเวลาล่วงเลยไปสักพักใบหน้าผมถูกประคองไว้ด้วยมือเ**่ยวเฉาของอาม่า นิ้วเล็ก ๆ นั้นคอยเช็ดน้ำตาออกให้ผมอย่างเบามือ   

 

 

 

 

 

             “ไม่ร้องสิหลานม่า งานมงคลชีวิตคู่แบบนี้ต้องยิ้มถึงจะถูก ถ้าคิดถึงก็มาหาได้อาม่ายินดีต้องรับเสมอ ขอให้หลานรักคนนี้ของม่ามีแต่ความสุข สุขทั้งกายสุขทั้งใจนะลูกนะ”  

 

 

 

 

 

             “ถ้าคิดถึงก็กลับมาหากงได้เสมอ อย่าร้องไห้วันนี้วันดีเหมือนที่อาม่าบอกอั๊วนั่นแหละ”  

 

 

 

 

 

             ผมยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อนั่งรับพรจากอากงกับอาม่าเสร็จ ผมก็คลานเข่าก้มลงกราบป๊ากับม๊าที่นั่งถัดออกไปไม่ห่างเสียเท่าไหร่ สองมือของป๊ากับม๊าลูบหัวผมด้วยความเอ็นดูและโน้มตัวมาสวมกอดผมด้วยเต็มรัก เมื่อการกระทำของป๊ากับม๊าทำเอาน้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้งและคราวนี้เสียงสะอื้นร่ำไห้ก็ดันดังกว่าเดิม  

 

 

 

 

 

             “ฮึก!…ป๊า…อึ่ก…ม๊า…ผมอยู่บ้านเราเหมือนเดิมไม่ได้หรอ”  

 

 

 

 

 

             ผมพูดออกมาทั้งน้ำตาอย่างที่ใจคิด ผมไม่ได้อยากย้ายเข้าไปอยู่กับคนอื่นถึงหลังจากจบพิธีนี้แล้วคนนั้นมันจะเป็นสามีผมแล้วก็ตาม ผมยอมรับสภาพตัวเองไม่ได้ตามที่ปากพูดเลย ม่านตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำใส ๆ จนพร่ามัว เมื่อม๊าเห็นผมร้องไห้หนักก็รีบโผเข้าสวมกอดผมแน่นแล้วร้องไห้ตาม ส่วนป๊าก็คอยซับน้ำตาที่ไหลลงมาให้ผมไม่หยุด   

 

 

 

 

 

             “ไม่เอาไม่ร้องแล้วนะลูก”  

 

 

 

 

 

             “ขี้แยอายพี่เขาบ้างลูกคนนี้”  

 

 

 

 

 

             ป๊าช้อนสายตมามองผมแล้วหันไปยิ้มให้กับคนที่คืบคลานเข่าเข้ามานั่งซ้อนหลังผมไว้ ร่างสูงด้านหลังเอื้อมมือมาโอบไหล่ผมแล้วขยับตัวให้นั่งเสมอเข่าผม ถ้าอยู่กันแค่สองคนมีหรือที่ผมจะให้แตะเนื้อต้องตัว แต่ตอนนี้เพราะเราสองคนกำลังเล่นละครฉากใหญ่บังหน้าใส่กันจึงจำใจต้องตามน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้  

 

 

 

 

 

             “ผมจะดูแลน้องให้เป็นอย่างดีครับป๊า ผมจะไม่ให้น้องเสียใจเลยครับม๊า”  

 

 

 

 

 

             จากประโยคของว่าที่สามีผมเอื้อนเอ่ยออกมาก็พาลทำให้อยากจะหัวเราะออกมาเสียตอนนี้ ดูแลดีอย่างนั้นหรือเมื่อครั้งนั้นยังไล่ผมให้ลงจารรถอยู่เลย ผมปาดน้ำตาลวก ๆ และหันหน้าไปมองขุนศึกที่เมื่อครู่เรียกผมว่าน้องแล้วยิ้มกลับไปให้อย่างจริงใจ   

 

 

 

 

 

             “จ๊ะ ม๊าฝากดูแลเด็กแสบคนนี้ด้วยนะขุนศึก”  

 

 

 

 

 

             “ไม่ต้องเป็นห่วงครับม๊า ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด”  

 

 

 

 

 

             ริมฝีปากหนาเอ่ยตอบกลับม๊าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับท่าทางที่น้อบน้อม การเล่นละครเรื่องนี้มันเล่นได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน เนียนเสียจนผมเผลอคิดไปว่าเจ้าตัวกำลังพูดเรื่องจริงหรือแค่การแสดงละครตบตา  

 

 

 

 

 

             “ทั้งคู่ฟังม๊าให้ดีนะ เมื่อมี อุปสรรคในอนาคตเป็นบททดสอบ”  

 

 

   

 

 

             ในระหว่างที่นั่งน้ำตาตกผ้าเช็ดหน้าสีแดงจู่ ๆ ก็ถือยื่นมาให้ผมกับมือตรงหน้า ผมรับมาไว้อย่างรู้งานกับฉากแสดงเอาอกเอาใจซึ่งกันและกันให้ทุกคนเห็น เท่านั้นยังไม่เพียงพอกับลูกชายคนโตของศิริเจริญเพราะในระหว่างนั้นขุนศึกก็เอื้อมแขนโอบตัวผมไปประคองไว้ไม่ห่างแถมรั้งตัวผมให้แนบชิดกายตัวเองเสียด้วยซ้ำ  

 

 

   

 

 

             “ขอให้เราทั้งสองจับมือกันและฝ่าฟันได้ทุกอุปสรรค เข้าใจไหมลูก ”  

 

 

   

 

 

             “ครับม๊า/ครับม๊า”  

 

 

   

 

 

             ในจังหวะตอบรับคำของม๊าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมก็หันไปมองหน้าชายร่างสูงผู้เป็นสามีและต้องตาต้องใจของสาวหลายๆคน แต่วันนี้คนตรงหน้าได้กลายมาเป็นสามีของผมอย่างเป็นทางการเสียแล้ว สร้อยจี้รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ผมคล้องไว้ตั้งแต่เกิดเพื่อรออีกเสี้ยวมาเติมเต็มให้มันเต็มดวง และพระจันทร์เสี้ยวชิ้นนั้นมันก็อยู่ตรงหน้าผมแล้ว อีกเสี้ยวหนึ่งที่อากงกับอาม่าหวังว่าจะให้มาบรรจบพบเจอกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง   

 

 

   

 

 

              และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…  

 

 

   

 

 

             “สุดท้ายท้ายสุดแล้วค่ะ เราของให้ทั้งคู่จูบกันเพื่อเป็นสักขีพยานแก่ความรักในครั้งนี้ด้วยค่ะ!”  

 

 

   

 

 

             น้ำเสียงพิธีกรอย่างอี๊ดูจะพอใจและร่วมยินดีกับผมเสียเหลือเกิน สายตาเกินสิบคู่จ้องมายังผมกับร่างสูงข้างกายก่อนจะมีเสียงเชียร์ของเหล่าบรรดาญาติพี่น้องให้พวกผมจูบกันตามคำร้องขอของอี๊ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของขุนศึกอย่างพอใจเมื่อเสียงจากทุกคนเริ่มยุยงปลุกปั่นให้ทำอย่างที่อี๊พูด คนข้างกายไม่ปล่อยให้รอคอยนานสองมือหนารั้งท้ายทอยผมขึ้นรับจูบอย่างอ่อนโยน และชายร่างสูงผู้เป็นสามีป้ายแดงตั้งใจให้ตากล้องกดชัดเตอร์มุมนี้ มุมที่เราทั้งคู่จูบกันด้วยความรัก   

 

 

   

 

 

           ความรักที่จอมปลอม…  

ซ้อจำเป็น

ซ้อจำเป็น

*ยังไม่ผ่านการพิสูจน์อักษร* ซ้อจำเป็น (Mpreg) ชีวิตที่ไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั้งคนที่อยากใช้ชีวิตคู่ด้วยตัวเอง ต้องถูกอากงอาม่าจับหมั้นกับหลานชายเพื่อนสนิทสมัยเรียน! แถมยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาด้วยซ้ำ! และสิ่งสำคัญที่สุด… ลูกบ้านอื่นมีแต่เขาอยากจะได้ลูกสะใภ้ แล้วเหตุไฉนบ้านไอ้คับฟ้าคนนี้ถึงอยากได้ลูกเขยแทนละว่ะ! เนื้อหา และ ภาพ บางตอนไม่เหมาะกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แต่หากรี้ดท่านใดต้องการเสพความบันเทิงนิยายเรื่องนี้ต่อควรใช้วิจารณญาณอย่างสูง!!!! เตือนแล้วนะ! อิ้อิ้ เรื่องนี้ฟรีไม่ติดเหรียญ ได้เวลาคืนกำไรให้กับลีดทุกคน ที่คอยซัพพอร์ตนักเขียนแมงหมี่หน้าใหม่คนนี้โดยตลอดมา อิ้อิ้ ลีดท่านใดสายชิว สายไม่รีบเชิญทางนี้เลยค่ะ เพราะทุกเรื่องไรต์ด้นสดทุกเรื่องเด้อโปรดเข้าใจนักเขียนสายชิวคนนี้ด้วยนะคะ งานแต่งเผื่อไม่มี มีแต่งานดองจ้า 5555555 ไม่เคยแต่งแนวนี้มาก่อน ฝากเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยนะคะ ><

Comment

Options

not work with dark mode
Reset