บทที่ 9
วันอาทิตย์คือวันแห่งการพักผ่อนเพื่อเรียกแรงกลับมาเต็มร้อย เป็นวันที่ผมได้ออกไปร้านคาเฟ่ชมนิทรรศการศิลปะตามสถานที่ต่าง ๆ กับเพื่อนตัวเองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อผมได้ก้าวเข้าสู่ช่วงชีวิตของการหมั้นหมาย มีคู่ครองเป็นตัวเป็นตนด้วยการจับคลุมถุงชนจากญาติผู้ใหญ่จึงทำให้วันแห่งความสุขของผมหายวับไปกับตาและมานั่งอยู่บนรถคนหรูของคนที่ผมเกลียดเข้าไส้!
‘วันนี้ผมคงไปหาไม่ได้ เอาไว้ผมชดเชยให้ทีหลังนะ’
สายตาผมทอดมองไปด้านนอกของตัวรถ ตัวรถซุปเปอร์คาร์ถูกขับเคลื่อตัวด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง มือด้านซ้ายของผมคอยดึงสายเบลท์ตลอดเวลาเพราะความเร็วทำให้เกิดอาการใจสั่นอยู่ไม่น้อย ผมกลัว กลัวว่าจะตายก่อนได้เจอครบครัวตัวเอง
‘คิดถึงสิคะ คิดถึงแพรมจะแย่ อยากจะแวะไปหาเดี๋ยวนี้เลย’
บทสนทนาชวนอ้วกเกินกว่าที่จะฟังต่อไว ผมเลยเลือกหยิบแอร์พอร์ตในกระเป๋าคาดอกออกมาต่อเข้ากับบลูทูธโทรศัพท์ตัวเอง นิ้วมือเลื่อนหาเพลงจังหวะมันส์ ๆ เร้าใจเพื่อให้เกิดความหึกเหิมแก่อารมณ์ตัวเองที่ต้องมาทนนั่งฟังบทพูดเลี่ยน ๆ ของไอ้ผู้ชายเฮงซวยแบบขุนศึกเพราะคนแบบมันพูดหวาน ๆ ได้เฉพาะตอนอยากนอนด้วยก็เท่านั้น
บทเพลงดนตรีจังหวะฮิปฮอปได้ถูกเพิ่มระดับเสียงเกือบสุดจังหวะและเนื้อเพลงมันลึกซึ้งกินใจจนผมต้องเคาะนิ้วตาม ใบหน้าผมหันออกหน้าต่างชมวิวทิวทัศน์ของเมืองกรุงที่ไม่มีอะไรน่าสดใจสักนิด นอกจากรถที่ติดเรียงรายกันยาวเป็นหางว่าว
ชีวิตของคนวัยทำงานในเมืองมันจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปมากกว่าการที่ต้องลุ้นว่าวันนี้เราจะไปทำงานสายหรือเปล่าและต้องลุ้นว่าเราจะถึงบ้านได้ล้มตัวลงนอนบนที่นอนกี่โมง สองอย่างนี้เท่านั้นที่ผมคิดออกสำหรับคนอยู่ในเมืองกรุง ขนาดผมมีรถขับยังรู้เหนื่อยเลย แล้วสำหรับคนที่ไม่มีรถล่ะพวกเขาเหล่านั้นก็คงคิดไม่ต่างกันกับผมหรืออาจจะต้องกระตือรือร้นมากกว่าผมด้วยซ้ำไป
เพราะเวลามันเดินไปข้างหน้าไม่เคยรอใครอยู่แล้ว…
ตัวรถคันหรูเทียบจอดสนิทเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง ในระหว่างนั้นผมก็ดันไปเห็นลุงแก่ ๆ หลังคร่อมกำลังเดินขายตาข่ายดักฝันไปมากลางถนนและไม่มีรถคันไหนสักคันกวักเรียกลุงเลยแม้แต่คันเดียว สายตาผมเหลือบมองเวลาไฟแดงที่ตอนนี้เหลืออีกสี่สิบวินาทีจะไฟเขียว ผมไม่รีรอกลัวจะไม่ทันกาลจึงตัดสินใจเลื่อนกระจกรถลงทันที
“ลุงครับ!!”
เมื่อลดกระจกลงครึ่งบานผมโบกมือเรียกและตะโกนให้ลุงเดินมาที่รถ เมื่อชายแก่คนนั้นเห็นจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาด้วยความรู้สึกที่อยากขายไม่น้อยเลย
“อันละเท่าไหร่ครับลุง”
เมื่อลุงเดินมาถึงตัวรถ ผมจึงรีบถามออกไปเพราะกลัวว่าจะไฟเขียวเสียก่อน…
“อันละหกสิบบาทพ่อหนุ่ม”
ลุงตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยเอามาก ไหนจะเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าด้วยอากาศที่ร้อนของเมืองไทย ยิ่งผมเห็นภาพตรงหน้าก็ทำเอาใจสั่นด้วยความสงสาร
“ลุงมีทั้งหมดกี่อัน ผมเหมาหมดเลย”
“จริงหรอ วันนี้ลุงขายมาตั้งแต่เช้าแล้วยังขายไม่ได้สักอันเลย”
ลุงพูดเสียงสั่นเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเมื่อผมพูดว่าจะเหมา สายตาผมประเมินในมือลุงมประมาณไม่เกินสิบห้าอัน จึงก้มลงไปคว้ากระเป๋าตังค์ควักเงินแบงค์สีเทาออกมาห้าใบแล้วยื่นไปให้ลุงด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ค่าของครับลุง ส่วนที่เหลือลุงเก็บเอาไว้ใช้นะ ผมให้ครับ”
สองมือพนมมือยกขึ้นไว้ผมแทบจะก้มกราบลงพื้นจนผมต้องเอื้อมมือไปคว้าไว้ได้ทัน น้ำตาแห่งความดีใจของคนแก่หลังคร่อมแบบลุงทำเอาน้ำใส ๆ ไหลลงหางตาตัวเองด้วยความสงสาร
“ขอบคุณจริงๆ นะพ่อหนุ่ม ขอให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ ร่ำๆรวยๆ นะพ่อหนุ่มนะ”
“สาธุครับลุง หมดแล้วรีบกลับบ้านไปพักผ่อนนะ ข้ามถนนระวังด้วยครับ ผมไปละนะ”
ผมลอบเช็ดน้ำตาตัวเองก่อนที่จะรีบไปคว้าตาข่ายดักฝันรวบไว้บนตัก แล้วพนมมือรับพรจากลุงก่อนที่ตัวรถค่อยๆ เคลื่อนออกไปตามคันข้างหน้า ผมกอบโกยตาข่ายดังฝันเข้าบนตักเพื่อไม่ให้มันหล่นลงพื้น เพราะความเชื่อของตัวผมเองว่าตาข่ายพวกนี้ไม่ควรอยู่ที่ต่ำหรือบริเวณเท้า
“คุณภรรยายนี่ใจบุญสุนทานใช่ย่อยเลยนะครับ”
มือที่กำลังคลำหาแอร์พอร์ตมาใส่ก็ต้องชะงักไปชั่วขณะ ผมปลายหางตามองเจ้าของประโยคเมื่อครู่อย่างไม่สบอารมณ์ การที่ช่วยเหลือใครสักคนผมไม่ได้คิดถึงบุญอะไรทั้งนั้น ช่วยเพราะสงสาร เมื่อผมโชคดีกว่าคนอื่นที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง สุขสบายได้เพราะทรัพย์สมบัติของต้นตระกูล ดังนั้นเมื่อเห็นคนที่ลำบากกว่าผมทำใจยืนเฉยแล้วให้คนเหล่านั้นเดินผ่านไปไม่ได้
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด หุบปากไว้อมเหรียญ ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกมั้ง”
“กูพูดด้วยดี ๆ ทำไมถึงชอบต่อปากต่อคำกับกูนักห้ะ!”
ขุนศึกหันหน้ามาตะตอกใส่ผมเสียงดังลั่นภายในรถ แต่ผมกลับเลือกหยิบหูฟังขึ้นมาใส่และเปิดดังให้มันท่วมหูจนแก้วหูมันระเบิดไปเลยยิ่งดี แค่พาตัวเองมานั่งบนรถกับเบาะข้างคนขับที่ผ่านผู้หญิงไม่รู้กี่คนต่อกี่คนก็ถือว่าผมเก่งมากพอแล้ว และเหมือนการกระทำของผมจะเป็นตัวจุดชนวนความโกรธให้กับขุนศึกเป็นอย่างดีตัวเชื้อเพลิงที่ขึ้นชื่อว่าคับฟ้า มันมักจะจี้ต่อมอารมณ์ของสารถีคนนี้ไม่น้อยเสียเลย
“สนใจมากนักใช่ไหม! สนใจมากก็ไม่ต้องฟัง!”
หูฟังด้านขวาของผมถูกกระชากออกจากหูก่อนที่ตัวเครื่องจะปลิวหายลับออกนอกกระจกด้วยฝีมือขอองขุนศึก แรงลมปะทะเข้าใบหน้าผมเต็มแรงเมื่อจังหวะที่หน้าต่างถูกเปิดออกผมยังไม่ทันได้เตรียมตัว รู้อีกทีคือผมโดนถอดแอร์พอร์ตรุ่นล่าสุดแล้วโยนทิ้งกลางทางด่วน
“มึงทำอะไรของมึงขุนศึก! นั่นมันของกู!”
“รกลูกตากูกำลังพูดแต่มึงเสือกใส่ฟังเพลง! มันก็สมควรที่ต้องโยนทิ้ง!”
ผมมองหน้ามันสุดแสนจะเอือมระอากับผู้ชายที่ชื่อว่าขุนศึก เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งโมโหแล้วมาลงที่ของของคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน สองมือผมกำเข้าหากันแน่นแล้วหันมองหน้ามันด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า มันโกรธ โกรธจนอยากจะร้องไห้เพราะของทุกชิ้นผมรักและหวงหมดแถมรักษาอย่างดี แต่มันเป็นใครทำไมถึงกล้ามาทิ้งขว้างของผมอย่างหน้าด้าน ๆ!
“…”
“…”
ผมมองหน้าขุนศึกตาเขม็งด้วยความโกรธจัดแล้วหันหน้าตัวเองกลับไปมองข้างทาง ผมลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบเพราะผมไม่อยากอาการคลั่งจนขาดสติตอนถึงหน้าบ้านที่มีผู้ใหญ่หลายคนรอเจออยู่ ความเงียบเข้ามาปกคลุมภายในรถจนได้ยินแค่เสียงของแอร์ที่กำลังทำงานตามระบบของมัน เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าไปในหมู่บ้านหลังใหญ่ที่วันนี้ทั้งสองครอบครัวระหว่างผมกับขุนศึกได้นัดทานข้าวเย็นกันและมันก็เป็นเหตุผลที่ผมต้องมาจะปฏิเสธก็ไม่ได้
“ถึงแล้วทำหน้าให้มันมีความสุขกว่านี้หน่อย”
“…”
เมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวมาจอดเทียบข้างรั้วบ้านได้สำเร็จ ใบหน้าของขุนศึกหันมาพูดกับผมแต่ผมไม่คิดจะสนใจในคำพูดของมันสักนิด มือข้างหนึ่งถอดแอร์พอร์ตที่เหลือไว้หนึ่งข้างเก็บลงในกล่องตัวเคลื่อนแล้วใส่ลงในกระเป๋าตัวเอง ส่วนตาข่ายดักฝันผมโกยขึ้นมาอยู่ในอกเหลือไว้เพียงแค่หนึ่งอันเพราะนอกนั้นผมจะเอาไปแจกญาติพี่น้องในบ้าน
“พูดด้วยทำไมไม่ตอบล่ะว่ะ! มึงเป็นใบ้หรือไง!”
“ก็ไม่อยากจะเสวนากับคนอย่างมึงไงขุนศึก! ไม่ต้องมายุ่ง!”
ว่าจะเงียบและต่างคนต่างทำหน้าที่แสดงละครไปตามบทบาทอันจอมปลอม แต่กลับเป็นมันที่ทำให้ความโกรธของผมขาดสะบั้นลง ผมหันหน้ากลับไปด่ามันอย่างไม่เกรงกลัว แถมเลือกจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องด้วยซ้ำไป จ้องหน้าคนที่มันทำลายข้าวของของผม
“มึงจะอะไรขนาดนั้นแค่หูฟังข้างเดียว”
ตรรกะป่วยแล้วป่วยอีก ป่วยไม่มีที่สิ้นสุดของขุนศึกชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง แต่ไม่คิดที่จะรู้คุณค่าของเล็ก ๆ น้อย ๆ เลยหรืออย่างไรกัน
“แค่?…คนที่ใช้แล้วทิ้งแบบมึงมันจะไปให้ความสำคัญกับอะไรได้!”
ผมตะคอกใส่หน้าขุนศึกสั่นก่อนที่ตัวผมจะหันไปเปิดประตูรถออกจากรถไปเพราะหากให้อยู่ทะเลาะกับมันนานกว่านี้มีหวังไม่ต้องเข้าไปในบ้านกันพอดี เมื่อเดินออกมายืนนอกตัวรถพร้อมกับเสียงปิดประตูกระแทกดังด้วยฝีมือตัวเองเพื่อระบายสิ่งที่ขุนศึกมันทำกับผมไว้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา สองเท้าตัวเองจึงเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่โดยที่ไม่คิดจะรอเจ้าของรถแม้แต่น้อย ตัวผมเดินผ่านไปยังไม่ทันพ้นตัวรถได้สามก้าว ต้นแขนก็ดันถูกกระชากกลับไปทางเดิมจนตัวผมกระแทกกับแผงอกกว้าง
“กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง อย่ามาทำให้แผนกูเสียหน่อยเลยคับฟ้า!”
“ไม่ต้องห่วงกูแยกแยะได้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร!”
แรงกดฝ่ามือลงบนต้นแขนมันแรงขึ้นจนทำให้ผมรู้สึกปวดแต่ผมเลือกที่จะไม่แสดงออกมาว่ารู้สึกอย่างไรถ้าจะให้ผมออกอาการว่าเจ็บต่อหน้าผู้ชายคนนี้หากเจ็บกว่านี้ผมก็ทนได้
“อ้าว มากันแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน ขุนศึกพาน้องเข้าบ้านก่อน”
เสียงม๊าของคนที่บีบแขนผมดังขึ้นเลยทำให้ผมเป็นอิสระและปรับสีหน้าหันกลับไปปั้นหน้ายิ้มแย้มแก่แม่สามีจอมปลอมอย่างไม่มีพิรุธ
“สวัสดีครับม๊า พวกเรากำลังจะเข้าไปอยู่พอดีเลยครับ”
ผมยกมือไหว้โผล่เอากอดตอบม๊าที่เดินเข้ามากอดผมไว้ด้วยอาการดีใจ ผมผลักตัวออกออกแล้วชูสิ่งที่อยู่ในมือให้ม๊าดู ซึ่งม๊าก็ดูจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นไม่น้อย
“ระหว่างทางผมช่วยลุงซื้อมาครับ มันเยอะเกินไปผมเลยกะว่าจะเอามาฝากทุกคน”
“โธ่ลูกเอ๊ย น่ารักไม่พอแถมจิตใจดีอีกลูกสะใภ้คนนี้ ไป ๆ เข้ามาในบ้านกันก่อน ทุกคนกำลังรอเราสองอยู่เลยจ๊ะ”
ผมพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนที่เอวจะถูกคนด้านหลังประคองไว้ให้ชิดตัว เมื่อม๊าของขุนศึกเห็นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินนำหน้าเราสองคนไป เมื่อตัวม๊าหันหลังให้ผมจึงเบี่ยงตัวออกจากการท่อนแขนนั้นแต่ผมกลับถูกดึงเข้าไปชิดอีกเหมือนเดิม
“คิดจะเล่นทั้งทีเอาให้มันเนียนหน่อยนะครับคุณภรรยา”
เสียงกระซิบข้างหูผมด้วยน้ำเสียงที่ยียวนกวนประสาท ผมชายตามองด้วยหางตาเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปรกติเมื่อร่างตัวเองได้เข้ามาภายในบ้านหลังโตของ ตระกูลศิริเจริญสกุล
“สวัสดีครับทุกคน”
“อ้าว! มากันแล้ว มา ๆ นั่งกินข้าวกินปลากันก่อน”
ผมและขุนศึกต่างก็ยกมือไหว้ทักทายทุกคนที่นั่งเรียงกันเต็มโต๊ะยาวใน วันอาทิตย์วันแห่งครอบครัวเลยอยู่กันครบทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝั่งครอบครัวผมและครอบครัวขุนศึก ผมหันไปยื่นตาข่ายดักฝันให้คนใช้บ้านใหญ่ก่อนจะถูกประคองไปนั่งบนเก้าอี้หรูโดยมีสามีลวงโลกประคบประหงมอย่างดี
“พากันหอบอะไรมาเยอะแยะล่ะน่ะ เต็มไม้เต็มมือเชียว”
อาม่าของขุนศึกเอ่ยถามขึ้นในระหว่างที่เดินเข้ามายังโต๊ะกับข้าวโดยผมนั่งข้างหยกถัดไปก็เป็นหมวยน้องสาวผมเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ขุนศึก
“ลูกสะใภ้เราเหมาช่วยคนระหว่างทางตอนมาบ้าน ดูความดีความงามของลูกสะใภ้คนนี้สิม๊า น่ารักไม่เบา”
“เจริญ ๆ การช่วยเหลือคนเป็นสิ่งที่ดี จะว่าไปอาคับฟ้าถอดแบบมาจากลื้อเลยนะเจียวฟาง”
และบนสนทนาก็วนเข้าไปสมัยตอนยังหนุ่มยังสาวของกงกับม่าจนได้ ในจังหวะนั้นจานข้าวผมก็ถูกตักข้าวใส่จานให้จากแม่บ้าน ผมยิ้มขอบคุณเล็กน้อย ถึงแม้ในใจไม่อยากกินเพราะกินไม่ลงก็ตาม แต่ถ้าไม่แตะต้องอะไรเลยมันจะเสียมารยาทเปล่า ๆ
“ซ้อคะเดี๋ยวหยกตักอันนี่ให้ อร่อยสุด ๆ ดูสิไปอยู่บ้านกับเฮียขุนซ้อผอมลงเยอะเลย เฮียดูแลซ้อของหยกไม่ดีใช่ไหม!”
แขนขาวเรียวเล็กใช้ตะเกียบคีบเป็ดปักกิ่งใส่จานผมก่อนที่จะช้อนตาขึ้นไปดุใส่พี่ชายตัวเอง และจานของผมก็ถูกตักอาหารอีกสองอย่างด้วยฝีมือหมวยน้องสาวผมอย่างไม่น้อยหน้า
“หมูทอดราดซอดเปรี้ยวหวานของชอบเฮีย”
หมวยชะโงกหน้ามายิ้มให้ผมอยู่ด้านหลังหยกที่ยังคงจ้องหน้าขุนศึกเขม็งไม่วางตา
“จะจ้องเฮียขนาดนั้นเดินเข้ามาฆ่าเฮียดีกว่า เฮียดูแลซ้อเราดีจะตายไป ใช่ไหม หื้ม”
ท่อนแขนแร่งขั้นถือวิสาสะโอบไหล่ผมแถมยังก้มหัวมาฝังจูบบนผมอีกต่างหาก ในใจร้อนรุ่มอย่างไฟเมื่อโดนกระทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะโดนแต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้และเงยหน้าขึ้นยิ้มกลับให้ผู้เป็นสามี เพราะตอนนี้ทุกคนบนโต๊ะกินข้าวกำลังมองมาด้วยแววตาเอ็นดูเราสองคนอยู่มาก
“ใช่แล้ว เฮียขุนเลี้ยงซ้อดีจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วเนี่ย”
เลี้ยงดีกับผีอะไรล่ะในเมื่อความเป็นจริงผมนั่งกินข้าวคนเดียวทุกมื้อแถมทำกับข้าวกินเองอีกต่างหาก ถ้าผมจะผอมลงตามที่หยกบอกมันจะไปผิดแปลกอะไร แต่ในเมื่อเจ้าตัวโกหกด้วยสีหน้าที่ใสซื่อผมก็ต้องตามน้ำไปก็เท่านั้น
“บ้านใหม่เป็นยังไงบ้าง นอนหลับสบายกันไหม มีอะไรติดขัดหรือเปล่า”
ป๊าของขุนศึกดูจะใส่ใจผมเป็นพิเศษสังเกตจากแววตาอบอุ่นคอยมองผมตอนนี้ ทุกคนอุ่นอบมาก อบอุ่นจนผมรู้สึกผิดที่กำลังเล่นละครหลอกตาทุกคนที่เอ็นดูผมเหมือนลูกคนนึงไปแล้ว
“ทุกอย่างปรกติดีครับป๊า นอนหลับสบายทุกคืนเลย”
ผมตอบกลับไปแล้วคีบเป็ดย่างเข้าปาก โดยที่ถ้วยน้ำซุปห่อเกี๊ยวถูกเลื่อนมาวางไว้ข้างจานผมจากฝีมือของขุนศึกที่เอื้อมไปตักมาให้
สุภาพบุรุษต่อหน้าผู้ใหญ่แต่แท้จริงนั้นลับหลังเน่ายิ่งกว่าขยะเสียอีก!….
“ดีแล้ว ๆ ถ้าขุนมันมีปัญหาบอกป๊าเลยนะเดี๋ยวป๊าจะจัดการมันเอง”
“แหมป๊า ใครจะกล้าหือกับเมียตัวเอง ผมก็รักเมียผมเหมือนที่ป๊ารักม๊านั่นแหละครับ”
เสียงหัวเราะทุกคนดังขึ้นเป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย เมื่อได้ยินคำพูดของขุนศึกพูดกลางโต๊ะอาหารแต่ในขณะที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจากคนข้างกาย ขุนศึกก้มลงดูเบอร์ก่อนที่จะตัดสายไปตอนซึ่งแรกผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่เมื่อปลายสายนั้นโทรเข้ามาไม่หยุดจนผมต้องตัดสินใจโน้มตัวไปกระซิบข้างหูมัผู้เป็นสามีเพื่อจัดการกับคนปลายสายที่ชื่อแพรมโชว์หลาอยู่บนหน้าจอ
“ ถ้าไม่มีปัญญาคุม คราวหลังก็อย่าเสือกมี ”
“…!”
เมื่อพูดจบผมจึงผละตัวออก มอบรอยยิ้มหวานเยิ้มใส่คนตรงหน้า ห้มันเหมือนว่าเราสองคนกำลังพูดคุยกันสัพเพเหระกลางโต๊ะอาหาร ขุนศึกก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นตามฉบับจอมปลอมมาให้ผมไม่มีขาดตกบกพร่องถึงแม้มันจะอยากตะโกนใส่หน้าผมก็ตามแต่ในความเป็นจริงมันไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจปราถนา
สะใจเป็นบ้า!…