ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes – ตอนที่ 112

ทิลล์ประหลาดใจพอๆกับเจสัน เพราะเขารู้จักเดร็กตั้งแต่ยังเด็กๆ และไม่เคยเห็นเดร็กมีท่าทีที่หวาดกลัวเช่นนี้ และตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถตอบคำถามต่างๆ ของพวกเขาได้ ทิลล์จึงพูดคุยกับเจสัน

 

“คุณทำได้ดีมาก ตอนจากคุณเล่ามาทั้งหมด ดูเหมือนว่าความสามารถในการต่อสู้ของคุณจะเพิ่มมากขึ้น ขอแสดงความยินดีกับการพัฒนาศักยภาพของคุณ และในที่สุดคุณก็อยู่ในขั้นผู้ชำนาญและช่องว่างระหว่างคุณและเพื่อนๆ ก็ได้ลดน้อย”

 

เจสันยิ้มเบาๆ แต่ทันใดนั้นเจสันก็นึกถึงปีกสีขาวของทิลล์และพื้นที่ๆ ที่เขาอยู่กันในตอนนี้ มีความลับมากเกินไปและเจสันสึกสับสนกับสิ่งต่างๆ เจสันเพียงแค่อยากส่งซากศพของพวกก็อบบลินเพื่อลแกเป็นคะแนนเลซ แต่เขาก็ดันถูกพามาที่นี่

 

มีคำถามมากมายในใจของเจสันและเจสันก็หวังว่าทิลล์จะสามารถตอบคำถามทั้งหมดของเขาได้

 

“ครูครับ ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยว่าทำไมถึงพาผมมาที่นี่ และทำไมครูถึงมีปีก ครูทำได้ยังไง และป่านี้มันคืออะไร ทำไมถึงถูกเรียกว่าเขตรักษาพันธุ์ และผมเข้าใจดีว่าพวกก็อบบลินนั้นอันตรายและน่ากลัว แต่พวกมันแข็งแกร่งขนาดที่ระดับผู้วิเศษขั้นสูงก็หวาดกลัวพวกมันอย่างงั้นหรอครับ”

 

ทิลล์เองก็ไม่มั่นใจว่าทำไมเขาถึงต้องพาเจสันมาที่นี่ แต่ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าต้องพาเจสันมา

 

“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงพาคุณมาที่นี่ แต่ป่าแห่งนี้ไม่ใช่ความลับของรัฐบาล อาจจะเป็นเพราะข้อมูลที่คุณให้มานั้นสำคัญมากสำหรับพวกเราในสถานการณ์นี้ เพราะราชาก็อบบลินนั้นพวกเรายังไม่รู้แหล่งกบดานของมัน ไม่มีเหตุผลอื่นที่ฉันพาคุณมาที่นี่ และในพื้นที่นี่ก่อนตั้งมากว่า 100 ปีแล้วและมันก็กำลังพังทลาย คุณเห็นวิหารตรงนั้นไหม ที่นั้นถูกสร้างขึ้นเนื่องจากปีศาจไฟที่มาโจมตีและเผาดินแดนเวทย์มนต์ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  แต่อาจจะมีสมบัติเวทย์มนต์อะไรบางอย่างที่พวกมันต้องการ และต้นไม้ภายในป่ากำลังจะถอนรากตัวเองออกจาเขตเวทย์มนต์นี้เพื่อเอาตัวรอด และเดร็กก็มาพบที่นี่เข้า จนกระทั่งเริ่มมีสัตว์ร้ายที่อพยพมาที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และสัตว์ร้ายพวกนั้นได้ทำพันธะสัญญาที่จะแพร่พันธุ์สายพันธุ์ของมันในที่นี่และยอมให้มนุษย์นำลูกของพวะกมันไปเป็นสัตว์พันธะได้”

 

เจสันตั้งใจฟังและเข้าใจความหมายคร่าวๆ

 

และตอนนี้เจสันเข้าใจการคุกคามของพวกราชาก็อบบลิน และมันต้องมีลูกน้องที่ติดตามใกล้ชิดที่อยู่ในระดับสัตว์วิเศษและสัตว์ผู้พิทักษ์จำนวนมากอย่างแน่นอน มันจะทีพลังทำลายล้างที่มากมาย เอาการชีวิตของแอสทริกซ์เป็นสิ่งที่สำคัญ และพวกเขาจะต้องกำจัดราชาก็อบบลินให้เร็วที่สุด

 

และเจสันก็คิดต่อไปว่าทำไมเมื่อไซโรถึงยอมที่จะให้สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์และระดับสัตว์วิเศษอพยพเข้า เพราะมันเป็นสิ่งที่เสี่ยงอย่างมาก

 

และทิลล์ก็ตอบคำถามโดยที่เจสันยังไม่ได้เอ่ยปากพูด ด้วยการดูจากสีหน้าของเจสัน

 

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่มีการปลุกวิญญาณได้ดีกว่าเมื่อก่อนอย่างมากและมีเด็กหลายๆ ที่รอลูกสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษที่จะมาทำพันธะ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี่น่าจะเป็นที่เพาะพันธุ์มากกว่าสถานที่ลี้ภัย เฒ่าแก่เดร็กให้โอกาสสัตว์ทุกตัวในการอยู่ที่นี่และมีข้อแลกเปลี่ยน จนกว่าเหตุการณ์การรุกรานของพวกก็อบบลินจะสิ้นสุดลง และนี่อาจจะเป็นเรื่องโหดร้ายอีกเรื่อง เพราะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เผ่าพันธุ์อื่นๆ บางกลุ่ม เริ่มที่จะโจมตีและรุกรานคาเนียร์ และพวกเราจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนและคุณภาพของผู้คนที่มีความสามารถ ซึ่งรวมถึงสัตว์พันธะที่ดีขึ้นด้วย คุณอาจจะไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์อื่นๆ สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดในเผ่าพันธุ์ ยังมีระดับที่สูงกว่าผู้เชี่ยวชาญ ข้อได้เปรียบของเราคือมีจำนวนที่มากกว่า และยังไม่เคยมีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะใดๆ ที่บุกโจมตีเรามาก่อน จนกระทั่งตอนนี้”

 

***เผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็คือพวกเผ่าอื่นๆ ที่คล้ายมนุษย์***

 

เจสันไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ที่บุกรุกเหล่า แต่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะแข็งแกร่งมากแต่ก็ไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่มากนัก และเผ่าพันธุ์เหล่านี้คงจะต้องแข็งแกร่งมาโดยกำเนิด

 

สิ่งต่อไปนี่ที่ทิลล์จะพูดขึ้น มันจะเป็นการเปิดโลกให้กับเจสัน และในที่สุดเจสันก็จะเข้าใจว่าทำไมการปลุกวิญญาณนั้นถึงสำคัญมาก

 

 

“เจสัน คุณเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับ [Fortified Soul Concentrated’s] ไหม”

 

เจสันส่ายหน้า และเริ่มสนใจกับคำศัพท์ใหม่

 

“คุณอาจจะสังเกตเห็นว่าสายสัมพัมธ์ระหว่างคุณกับสัตว์พันธะตัวแรกนั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนแม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

อารมณ์ ความคิด หรือแม้แต่การมองเห็นก็สามารถ่ายทอดให้กันได้ แต่นั้นไม่ใช่ทั่งหมด

เนื่องจากตวามเชื่อมโยงระหว่างสัตว์ร้ายและมนุษย์ สามารถแบ่งปันได้ในทุกสิ่ง และเมื่อข้ามขีดจำกัด สัตว์พันธะจะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ก่อนที่จะเกิดขึ้นได้

มนุษย์บางคนได้สร้างพันธะขึ้นในหลายร้อยปีก่อน ยิ่งมนุษย์และสัตว์ต่อสู้ร่วมกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความผูกพันธ์กันมากขึ้น

[Fortified Soul Concentrated’s] ในกรณีนี้การเชื่อต่อระหว่างมนุษย์และสัตว์จะถูกรวมเข้าด้วยกันและมีความเสถียรภาพมากพอที่จะสามารถสละชีวิตเพื่อกันและกันได้

นี่ไม่ใช่การถูกบังคับจากผู้ผูกพันธะ แต่เป็นความจริงใจของทั้ง 2

และสัตว์พันธะจะได้รับการพัฒนาด้านสติปัญญา และการประสานวิญญาณเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง

อย่างที่คุณถามว่าทำไมฉันถึงได้มีปีก ซึ่งอันที่จริงปีกนั้นเป็นของอินทรีศักดิ์สิทธิ์ของฉัน หลังจากที่รวมพลังวิญญาณเข้ากับสัตว์ร้ายแล้ว ทั้งสายใยวิญญาณของคุณและสัตว์พันธะจะหลอมรวมกัน

การหลวมรวมวิญญาณในช่วงแรกจะเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเสร็จสิ้น คุณจะสามารถใช้ความสามารถด้านกายภายจากสัตว์พันธะได้ทุกส่วน และสามารถดึงเอาอวัยวะส่วนหนึ่งของสัตว์พันธะมาใช้ได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าฉันแปลงมือให้กลายเป็นกรงเล็บอินทรี ความแข็งแกร่งของฉันก็จะเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งถือว่าสูงมาก และอย่างที่เห็นฉันสามารถงอกปีกของมันมาใช้กับตัวเองได้ “

 

God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้า

God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้า

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes
Score 7.8
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้าจากการสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เขาต้องเอาชีวิตรอดในโลกที่เขามองไม่เห็น … คนตาบอดที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกาฝากตามทาง ในสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้และจิตวิญญาณในการบังคับให้เติบโต ความคิดของเขานั้นแตกต่างจากคนรอบข้างในขณะที่เขาไม่รังเกียจที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเขาเอง วันที่เขาถูกปลุกดวงวิญญาณของเขา คือวันที่เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังในขณะที่พระเจ้าเล่นตลกกับเขา เนื่องจากการปลุกดวงวิญญาณของเขาเป็นพรจอมปลอม ใครๆก็คิดว่าเขานั้นตาบอด จนกระทั่งวินาทีที่เขาเบิกเนตรสีทองของเขาที่กระพริบเป็นประกาย ที่รอคอยที่จะกลืนกินทุกคนที่กล้าขัดขวางเส้นทางของเขาไปสู่ยอดเป้าหมาย โปรดติดตามเจสันในการเดินทางผจญภัยทั่วโลกอันกว้างใหญ่นี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset