กว่าครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปบนรถรับส่ง เจสันไม่สามารถอ่านให้เข้าใจได้แม้แต่หน้าเดียว นั่นเป็นภาษาเดียวกับหนังสืออื่นๆ หรือเปล่า เจสันคิดอย่างนั้น แต่ปัญหาคือ คำยากๆ เหล่านั้น มันยากเกินไปที่จะเข้าใจ ทำให้เจสันไม่สามารถอ่านมันให้เข้าใจได้
การอ่านคำศัพท์ยากๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่อง่ายเพราะมันต้องจำเป็นที่จะเข้าใจอะไรบ่างอย่างก่อน ทำให้เจสันขมวดคิ้ว เจสันเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่ได้รับการต้อนรับจากเกร็กที่อยู่ในห้องนั่งเล่น และกำลังอ่านอะไรบางอย่าง เกร็กสังเกตเห็นอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเจสัน บทสนทนาของทั้งสองจึงเริ่มขึ้น
เจสันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเทคนิคการแยกจิต เพราะเขาต้องการเซอร์ไพรส์เกร็กด้วยความเร็วในการพัฒนาขึ้นไปสูงอันดับที่ใกล้เคียงกับเกร็ก อย่างไรก็ตาม เมื่ออ่านหน้าแรกของคำนำ เจสันเข้าใจได้ว่ามันมีกำแพงขนาดที่ใหญ่มากๆ กำลังขวางเขาไม่ให้เรียนเทคนิคนี้จากความรู้น้อยๆ ของเจสัน
เจสันไม่เคยเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับกายวิภาคของสมองมาก่อน และตอนนี้เขาต้องการที่จะลองวิธีการแยกจิตออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่แยกออกจะยังใช้งานไม่ได้
เจสันต้องการฆ่าตัวตายงั้นหรอ ??
สิ่งเดียวที่เจสันรู้คือ มีช่องมานาบางๆ มากมายในสมองของเขา ที่สามารถ รักษา บรรเทาและเร่งกระบวนการคิดได้ตลอดเวลา ว่ากันว่าช่องมานาบางๆ เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้มีอันดับที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และการประมวลผลสิ่งต่างๆ ก็มีศักยภาพมากขึ้นในขณะที่ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นจนสามารถเพียงแค่กวาดสายตาก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่อยู่ในคู่มือได้ทั้งหมด
แต่เจสันไม่รู้ว่านั้นเป็นความจริงหรือเปล่า
เมื่อเกร็กและเจสันได้พูดคุยกันนิดหน่อย เจสันก็ได้หยิบแซนวิส 2-3 ชิ้นจากตู้เย็นและเดินเข้าห้องไป โดยปกติแล้วเจสันจะอ่านหนังสือบางเล่มเกี่ยวกับสัตว์ร้าย การวิวัฒนาการ และส่วนผสมเวทย์มนต์ที่ใช้ในการวิวัฒนาการของสัตว์ร้าย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเจสัน
แต่มันไม่ใช่วันนี้ที่เขาจะมานั่งอ่านเรื่องพวกนั้น
เจสันตัดสินใจที่จะอ่าน 2-3หน้าแรกของเทคนิคการแยกจิต โดยตั้งใจว่าไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างโดยตรง เพียงแค่เข้าใจคราวๆ และค่อยๆ เรียนรู้เข้าไปเรื่อยๆ และจดศัพท์ที่ไม่รู้หลาย 10 คำ และคำหาคำเหล่านั้นเพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหา 2-3 หน้าแรก หลังจากเรียนรู้ศัพท์เหล่านั้นเจสันก็อ่านอีกรอบ 2 รอบ เพื่อทำความเข้าใจ ใน 2-3 หน้าแรก
เหตุการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว มีแต่หน้าจอโฮโลแกรม 2 จอ ที่ทำให้ห้องมืดๆ ของเจสันสว่างขึ้นและดวงตาสีทองที่ส่องประกายในความมืดเมื่อกระทบกับแสงของโฮโลแกรม หน้าจอหนึ่งแสดงคู่มือการแยกจิต ในขณะที่จอหนึ่งเป็นคำขยายคำศัพท์และการวิจัยในเรื่องนี้ เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสดงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเจสันเริ่มมีความดีใจที่เข้าใจคร่าวๆ ว่าบางหน้าที่ได้อ่านนั้นหมายถึงอะไร
เรื่องราวของสมองนั้นลึกลับอย่างยิ่ง และเจสันก็ประหลาดใจที่เห็นว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนค้นพบข้อมูลที่ซับซ้อนและลึกลับมากมายเกี่ยวกับสมอง เจสันไมมีวันที่จะได้รู้อะไรแบบนี้เลย และเจสันก็ดีใจมากที่มีคนมาอธิบายทุกอย่างให้ฟังเพียงแค่อ่านหนังสือเล่มนี้ เจสันเริ่มรู้สึกตัวและรู้ว่าตอนนี้นั้นกี่โมงแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่มือขวาอย่างกะทันหันได้ดึงสติเจสัน
สกอร์พิโอต่อยเข้าที่มือของเจสัน เพราะรำคาญเสียงนาฬิกาปลุกของเจสัน ที่เจสันไม่รู้สึกตัว เมื่อมองดูมันเป็นเวลา 07.20 น เจสันรีบเรียกรถรับส่งทันทีและเข้าอาบน้ำล้างตัวและรีบเปลี่ยนชุดเครื่องแบบและรีบวิ่งออกจากบ้าน เจสันวิ่งผ่านกาเบรียลลาและมาร์คขณะที่ทั้ง 2 โบกมือให้อย่างรู้ทัน ทั้งคู่เพิกเฉยต่อต่อนาฬิกาปลุกของเจสัน โดยคิดว่าเจสันกำลังหลับสนิท
เนื่องจาก 2-3 สัปดาห์นั้นเจสันได้ทำงานหนักเกินไป และทั่งคู่คิดว่าเจสันต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังบางส่วน และการนอนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่อนคลายและเติมพลังให้กับตัวเอง ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะไม่สนใจกับนาฬิกาปลุกที่น่ารำคาญของเจสัน
แต่ทั่งคู่ไม่คิดว่าเจสันจะอดหลับอดนอนเพื่อที่จะอ่านคู่มือเทคนิคการแยกจิต ถ้าหากรู้กาเบรียลลาคงไม่พอใจที่เจสันไม่เลือกการพักผ่อนเพื่อร่างกายของตัวเอง เจสันนั่งอยู่บนรถรับส่ง และต้องการสงบสติอารมณ์ตัวเอง ในขณะที่ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ อันแสนเจ็บปวดนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจสันที่จะทำเช่นนั่น
เมื่อมาถึงโรงเรียน เจสันก็ได้ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เสร็จแล้ว และเจสันสังเกตเห็นว่าการฝึกเทคนิคนรกสวรรค์นั้นง่ายขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปขณะที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติมันควรจะเป็นอย่างอื่น แต่สำหรับเจสันมันไม่ใช่แบบนั้นเนื่องจากกระบวนการเติมพลังวิญญาณที่สูงขึ้นของเขา
เจสันอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว และสงสัยว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาจะทำงานนั้นเสร็จเมื่อไหร่กัน เพราะทุกคนไม่ได้มีวิธีจัดการที่ง่ายดายแบบเจสัน และอาจจะยุ่งยากกันอยู่ แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับเจสัน เพราะเจสันฉลาดและขยัน แต่อ่อนแอ ในขณะที่ไม่กลัวว่าจะมีคนคิดอย่างไรกับวิธีที่เขาใช้ในการจัดการกับสัตว์ป่า เพื่อให้งานเสร็จ
และบางที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าการใช้พิษนั้นไม่ยุติธรรม หรือเป็นข้อห้าม หรือบางทีพวกนั้นอาจจะต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่สูงกว่าระดับของพวกเขาและมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าที่เจสันจัดการในส่วนของเขา พูดตามหลัก คงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงกว่าโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากสัตว์พันธะหรือคนอื่นๆ
ถึงแม้พลังที่ได้รับการแบ่งมาจากสัตว์พันธะจะสามารถทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อสู้กับสัตว์ที่มีระดับใกล้เคียงได้แบบตัวต่อตัว แต่นั้นมันไม่สามารถที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าถึง 2 ระดับ ยกเว้นหากสัตว์พันธะตัวแรกของคนบางคนอยู่ในระดับสัตว์วิเศษที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่เพียงพอต่อการเอาชนะสัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการในระดับสูง
หรืออาจมีใครบางคนที่มีพลังวิญญาณที่เสริมกายภาพที่แข็งแกร่งที่ทำให้ร่างกายนั้นแข็งแกร่งมากๆ หรือมีพลังวิญญาณที่มีธาตุต่างๆ ที่มีพลังสูงที่หายาก ซึ่งมีพลังที่แกร่งกล้า
หรืออาจจะเป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้ หรือ พระเอก ???
เจสันขณะที่กำลังรอครูอยู่ ก็มีข้อความของแชทกลุ่มของนักเรียนบางคนบ่นถึงงานที่ได้รับมองหมายที่ไม่เป็นธรรม ทำให้เจสันส่ายหน้า
‘คนพวกนั้น คิดว่ารางวัลจะตกลงมาจากฟ้าโดยไม่ต้องทำอะไรเลยรึไง ‘
นักเรียนเหล่านี้สามารถได้เรียนรู้เทคนิคที่ล้ำค่าเป็นรางวัล แต่เจสันก็ไม่สนใจพวกนั้นเพราะคิดว่า พวกนั้นเป็นคนโง่ที่ไร้ประโยชน์
ตอนแรกเจสันจะแนะนำในแชทกลุ่มว่า พวกเขาสามารถใช้ยาพิษเพื่อที่จะสามารถแก้ปัญหาในการเอาชนะพวกสัตว์ร้ายได้ และเจสันก็เข้าใจทันที่ว่ามันคงไม่มีประโยชน์กับคนพวกนี้
ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงเช้าพอดี และกรีลก็เข้ามาในห้องและนั่งลงตรงหน้าเจสัน เจสันควรจะเริ่มถามคำถามไหนก่อน เกี่ยวเทคนิคการแยกจิต และยังมีอีกหลายสิ่งที่เจสันไม่เข้าใจแม้จะค้นคว้าแล้วก็ตาม
“ครูครับ ช่วยอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างส่วนย่อยของสมองในบริบทเกี่ยวกับความสำคัญของช่องมานาที่ไหลผ่านสมอง การใช้งาน ประโยชน์และปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสมองได้ไหมครับ ขณะที่ฝึกการแยกจิตในขั้นตอนแรก”
กรีลฟังเจสันก่อนที่ปากจะกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยคิดว่าเจสันจะถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับเบื้องต้นเพื่อที่จะให้กรีลอธิบายคำบางคำ แต่เด็กหนุ่มอายุ 14 ปีนี้กำลังถามคำถามแบบนั้น เจสันอ่านคู่มือไปถึงไหนแล้ว ??
“คุณเข้าใจส่วนก่อนของบทนำรึยัง ??”
กรีลเบลอพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามเจสันได้พยักหน้ารับ ทำให้กรีลรู้สึกประหลาดใจเนื่องมันกรีลไม่คิดว่าเจสันจะสามารถอ่านได้
ตั้งแต่เกิดเจสันมีบุคลิกที่มีความมุ่งมั่น มิฉะนั้น เด็ก 4 ขวบจะทนต่อการรวบรวมอนุภาคมานาในดวงตาเป็น 10 ปีได้อย่างไร และหลังจากที่สามารถมองเห็น ความมุ่งมั่นของเจสันก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเทคนิค การแบ่งแยกจิต (ชื่อเต็มๆ ขอตำรา) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจสัน ทำให้จิตใจของเจสันทำงานด้วยความเร็ว 200 % ตลอดทั้งคืนเพื่อที่จะทำความเข้าใจในทุกสิ่ง
โชคดีที่มานาในแกนมานาของเจสันกำลังฟื้นฟูพลังงานและสามารถเติมเต็มระหว่างที่รอกรีล กรีลยังสงสัยเกี่ยวกับเจสัน เพราะเจสันถามคำถามที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ดังนั้นกรีลจึงเริ่มถามคำถามกับเจสันเกี่ยวกับคู่มือเทคนิคแยกจิต อย่างไรก็ตามเจสันสามารถตอบคำถามของกรีลได้ง่ายๆ ทำให้กรีลรู้สึกตกใจ
‘อ๊ากกกกกกก ‘ กรีลรู้สึกอิจฉาในความสามารถในการเข้าใจของเจสันอย่างมาก เพราะเขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้เมื่อตอนอายุ 14 ปี ขณะที่เจสันอายุเพียง 14 ปี เขาก็ต้องข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ เนื่องจากเจสันมีออร่าแปลกๆ อยู่รอบตัวซึ่งมันดูเหมือนว่าเขานั้นโตเต็มที่แล้ว และการมองโลกที่แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ
หลังจากที่กรีลสงบลงได้ระดับหนึ่ง กรีลก็ตั้งใจที่จะตอบคำถามของเจสันโดยละเอียด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง และคำถามของเจสันก็ดูเหมือนจะหาจุดจบไม่ได้
***เพิ่มเติม คือในช่วงเวลานี้เด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นนี้ไปทำงานล่าสัตว์ร้ายกัน จึงไม่ได้มีใครมาเรียน ในห้องเรียนจึงมีแค่เจสันกับกรีล เด็กนักเรียนคนอื่นๆ จะมากันหลังจากที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้วเท่านั้น ***
แทนที่คำตอบจะจบลง ดูเหมือนว่ามันจะซับซ้อนมาขึ้นเรื่อยๆ และดุเหมือนว่าเจสันจะสามารถเข้าใจในคำอธิบายของกรีลได้ ทำให้เกิดมากมายขึ้นในจิตใจ และคำถามบางอย่างก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเทคนิคการแยกจิตอีกด้วย