ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes – ตอนที่ 96

เซรอนมองดุเจสันอย่างสงสัยและสงสัยว่าทักษะโฟลติ้งสกายที่เป็นเคล็ดลับของครอบครัวของเขานั้น ถูกคัดลอกมาได้ยังไง

 

เมื่อตอนต่อสู้เซรอนได้ใช้ทุกษะนี้ในขั้นพื้นฐานเท่านั้นและไม่ได้ดึงพลังที่แท้จริงของทักษะออกมาใช้ เซรอนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เซรอนอดไม่ได้ที่จะตกใจถึงความเป็นไปด้ของเจสันที่จะเลียนแบบได้มากกว่านั้น

 

ถ้าพี่ชายและพ่อของเขารู้ มันคงกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อมองดูเจสัน เจสันยังคงมีแววตาที่จริงจังเล็กน้อย และเซรอนต้องทำอะไรบางอย่าง

“เจสัน ฉันคิดว่าเราต้องคุยกันเรื่องนี้ และความสามารถของนายที่เลียนแบบเทคนิคได้จากการมองเห็นการไหลเวียนของมานา”

 

กรีลยังคงยื่นอยู่ข้างทั้งสองและพยังหน้าเมื่อเห็นทั้งสองกำลังคุยกันอย่างจริงจัง ถ้าเจสันเลียนแบบเทคนิคทุกเทคนิคที่ต้องการได้ มันจะเป็นอันตรายกับตัวของเจสันเป็นอย่างมาก และยิ่งถ้าเจสันไปลอกเลียนเทคนิคเฉพาะของคนกลุ่มใหญ่ กิลด์ ครอบครัว อาณาจักรหรือองค์กรชั่วร้ายอื่นๆ เจสันมีแนวโน้มที่จะถูกพวกนั้นฆ่าได้

 

ใครจะให้เทคนิคเฉพาะให้แก่คนแปลกหน้า และการที่จะเลียนแบบมั่วซั่วจะทำให้คนอื่นๆ ที่ครอบครองเทคนิคพวกนี้ไม่พอใจได้ และจากการพูดของเซรอน กรีลมั่นใจว่าเจสันได้เลียนแบบทักษะการเคลื่อนไหวแห่งท้องฟ้า แม้ว่ามันจะยังไม่สมบูรณ์แบบ

 

แต่ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันต่อ พวกเขาก็ได้ย้ายไปคุยในห้องเงียบๆ กัน ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังดูดซับมานาเพื่อเตรียมตัวในการแข่งขันต่อไป กรีลได้สอนเจสันมาระยะหนึ่งแล้ว เซรอนก็เกลี้ยกล่อมไม่ให้เจสันใช้เทคนิคนี้อีก แต่มีบางอย่างที่น่าสงสัยสำหรับเจสัน เมื่อกรีลและเซรอนคุยกับเขา

 

ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันนานกว่าหนึ่งเดือน เพราะกรีลอธิบายเกี่ยวกับเทคนิคโฟลติ้งสกายและความพิเศษของมันเพื่อแสดงให้เจสันเห็นว่ามันอันตรายแค่ไหน หากเลียนแบบแบบไม่สมบูรณ์ต่อไป

 

เนื่องจากเทคนิคนี้มีความพิเศษมาก และเจสันต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างถูกต้อง และไม่ควรใช้หากไม่รู้เทคนิคอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกรีลก็อธิบายถึงความอันตรายของมันให้เจสันได้ฟัง

 

กรีลรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเทคนิคนี้ ทำให้เจสันเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของกรีลและเซรอน

 

“ครูกับเซรอนรู้จักด้วยหรอ”

เจสันถามแบบตรงไปตรงมา

 

ขณะที่กรีลกำลังสร้างเรื่องปกปิด เซรอนที่อายุ 14 ปี ได้แสดงสีหน้าไร้เดียงสาแล้วพูดโพล่งออกมา

“ใช่ เขาเป็นอาจารย์ของฉันเอง”

เซรอนกล่าวออกมาและมองไปที่กรีล

 

***เพิ่มเติม อาจารย์ในที่นี่หมายถึงการเป็น master นะครับ ไม่ใช่อาจารย์ที่อยู่ในโรงเรียน เหมือนเซรอนเป็นลูกศิษย์ที่กรีลได้เลี้ยงดูมานานแล้ว ตั้งแต่อยู่ที่คาเนียร์ ***

 

กรีลตกใจกับความไร้เดียงสาของเซรอน

‘ฉันสอนเขาผิดไปรึเปล่าเนี่ย’

 

และเมื่อเซรอนสังเกตเห็นสีหน้าของกรีล เขาก็อุทานออกมา

“โอ้ เวรแล้ว”

 

เจสันมองเซรอนและกรีล เจสันประหลาดใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ เจสันที่เคยเป็นเด็กที่มีอารมณ์อ่อนไหว แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญเหตุผลต่างๆ ก็จะผุดขึ้นมาเนื่องจากได้รับการขัดเกลาจิตใจการผลปีศาจวัลครีรีส์ชิลด์ ความคิดต่างๆของเจสันจึงชัดเจนขึ้นและมีอารมณ์น้อยลง

 

“ทำไมคุณทั้งสองคนถึงมาที่แอสทริกซ์ละ คาเนียร์ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการดูดซับมานาหรอ ? คุณทั้งสองก็ไม่ได้หลบซ่อนตัวจากใครนิ เพราะคุณก็เปิดเผยตัวจนและจิตวิญญาณ และมีอาวุธวิญญาณและทักษะอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะ พิเศษหรือระดับ 3 แต่ไม่มีใครสงสัยในตั้วพวกคุณเลย ยกเว้นฉัน….”

 

เมื่อเจสันพูดถึงอาวุธวิญญาณ เซรอนและกรีลก็ประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่คิดว่าเจสันจะสามารถแยกแยะอาวุธปกติกับอาวุธวิญญาณได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ความแตกต่างระหว่างอาวุธปกติและอาวุธมานาคือประสิทธิภาพในการควบคุมในความแข็งแกร่งของอาวุธและบางประเภทก็สามารถเสริมพลังธาตุสำหรับการโจมตีได้หากมีคนโจมตีสัตว์ระดับวิวัฒนาการด้วยดาบระดับ 1 ดาบจะหัก แต่อาวุญมานาระดับ 1 จะสามารถแทงทะลุผิดหนังของสัตว์ระดับวิวัฒนาการได้

 

และไม้กายสิทธิ์ซึ่งเป็นอาวุธมานา สามารถโจมตีด้วยพลังของธาตุต่างๆและเสริมพลังให้กับการโจมตี ได้ เช่นการเพิ่มพลังของลูกไฟธรรมดาให้มีความรุนแรงเป็นสองเท่า

 

ในขณะที่อาวุญมานามีความพิเศษ และอาวุญวิญญาณก็มีความคล้่ายกับอาวุญมานาแต่เพียงเพิ่มการเชื่อมต่อและผูกพันธะกับผู้ใช้งานเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ในขณะที่อาวุญจะแข็งขึ้นตามการเติบโตของผู้ใช้งาน และคนอื่นๆ ไม่สามารถใช้อาวุญวิญญาญได้มั่วซั่ว เพราะอาวุญเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยจิตวิญญาญของผู้ใช้

 

อาวุญมานาและอาวุญวิญญาณไมท่สามารถแยกแยะได้ง่ายๆ และต้องใช้เวลาหลายปีของระดับผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถเรียนรู้เทคนิคที่ใช้ในการแยกแยะอาวุธทั้งสองประเภทได้

 

ด้วยเหตุนี้ กรีลจึงปรับความเข้าใจเกี่ยวกับดวงตาของเจสันใหม่ ขณะที่เซรอนมองเจสันด้วยดวงตาเบิกกว้าง คราวนี้กรีลได้ตอบคำถามของเจสัน และจะไม่ปิดบังเพราะกรีลต้องการจะบอกเรื่องนี้กับเจสันอยู่แล้ว แม้ว่าเจสันจะไม่ถาม

 

กรีลเองก็อยากรู้เกี่ยวกับเจสัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่กรีลช่วยเจสันในการใช้เทคนิคแยกจิต บางทีเจสันอาจจะมีส่วนร่วมในงานของกรีลได้ ถ้าเจสันต้องการ แต่กรีลไม่รู้จะพูดยังไง

 

“ฉันจะเริ่มต้นยังไงดี อย่างแรกเลยคุณพูดถูก เราไม่ได้ปิดบังตัวตนและบอกตามตรงเราทั้งคู่เป็นคนจากคาเนียร์ และฉันสงสัยว่าคุณสามารถรู้เกี่ยวกับอาวุญวิญญาณของเซรอนได้ยังไง แต่นั้นก็ไม่สำคัญ มีเหตุผลหลายอย่างที่เรามาที่นี่ โดยหลักแล้ว เซรอนอยากรู้ว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนเกาะได้ยังไง และความแตกต่างของความแข็งแกร่งทั่วอาณาเขตของมนุษย์

เมื่อเปรียบเทียบพลเมืองของคาเนียร์และ ความแข็งแกร่งที่เราเห็นจากที่นี่นั้น แทบจะเป็นเรื่องตลก และมนุษย์เองก็ไม่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ร้ายมานาเลย ที่นี่ซึ่งมีแต่สัตวืร้ายระดับที่อ่อนแอ และสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ที่ไม่ได้เป็นสัตว์พันธะ ก็มีความแข็งแกร่งสำหรับที่นี่ แต่นั้นเป็นเรื่องตลกสำหรับชาวคาเนียร์

หากสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์บุกชาวคาเนียร์สามารถจัดการได้อย่างง่ายๆ และสามารถป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาได้ แต่พวกเราไม่ทำแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าคุณสนใจเรื่องแบบนี้ไหม แต่ฉันอยากบอกคุณ คำตอบนั้นง่ายมาก สัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์เหล่านั้นกำลังปกป้องสมบัติวิเศษ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีที่จะเติบโตเมื่อสมบัติเหล่านั้นสุกงอม

จะมีผู้แข็งแกร่งดึงมันออกมา สัตว์ร้ายระดับนี้ก็เหมือนกับผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องสมบัติเหล่านี้จนกว่าบุคคลที่แข็งแกร่งจะมาเอามันไป

อย่างที่คุณรู้ มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแอสทริกซ์คือระดับผู้วิเศษขั้นสูง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้วิเศษขั้นสูงส่วนใหญ่ในแอสทรกซ์หรือหมู่เกาะต่างๆ จะเป็นคนเก่าแก่หรือพูดง่ายๆ คือพวกที่เกษียณแล้ว และเด็กๆที่ไม่มีความแข็งแกร่งพอจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ช่องว่างของการพัฒนาของใครบางคนในแอสทริกซ์นั้นเมื่อเทียบกับพลเมืองในคาเนียร์นั้น มีช่องว่างที่ใหญ่มาก ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งที่ต่างกันมากเกินไป

 

อย่างแรก ต้นกำเนิดของเราเหมือนกันละมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน

อย่างที่สอง เราต่างก็มีศัตรูเหมือยกันก็คือเผ่าพันธุ์อัจริยะที่บุกเข้ามาบนโลกและสัตว์ร้ายทั่วทุกที

อย่างที่สาม มนุษย์ทุกคนควรได้รับการปลุกวิญญาณและยังไม่รู้ว่าแนวโน้มการสร้างพันธะนี้เป็นไปอย่างไร

การที่จิตวิญญาณได้ตื่นขึ้นไม่ได้เลือกปฏิบัติการต้นกำเนิดของมนุษย์ ในขณะที่มีโอกาสสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยที่สามารถปลุกวิญญาณที่ดีได้ โดยไม่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของคนคนั้น นั้นคือภารกิจของเราที่ต้องมาแก้ไข้

 

 

“เดียวๆๆๆ “

เจสันขัดจังหวะกรีลและเมื่อมองลงไปในดวงตาของเจสันซึ่งดูเย็นชา กรีลสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

“คุณจะบอกฉันว่าการที่คนหลายคนต้องตายและต้องทุกข์ทนเป็นเพียงเพราะโรงงานไฟฟ้าบางแห่งต้องการเก็บสมบัติของพวกเขา พวกนั้นเป็นคนเหมือนกันรึเปล่า ทำไมถึงไม่เคลียร์พื้นที่เกาะให้กับมนุษย์ทุกคน ทำไมคนที่อ่อนแอถึงต้องทนทุกข์อย่างนั้น มนุษยธรรมและความเมตตาไปอยู่ที่ไหน !?”

โชคดีที่พวกเขาอยู่ในห้อง ขระที่เซรอนปิดประตูด้วยความกลัวและกรีลก็ประหลาดใจกับจิตสังหารที่เจสันปล่อยออกมา

 

‘เขาเกลียดทุกคนที่ที่ทำแบบนั้นงั้นหรอ’

 

กรีลที่เติบโตมาจากครอบครัวที่รักใคร่กันและครั้งเดียวที่กรีลทุกข์ทรมาณคือการกินผลปีศาจวัลคีรีส์ชิล์ด

 

เซรอนคุ้นเคยกับจิตสังหารที่อ่อนๆ ซึ่งกรีลได้ปลดปล่อยอกมาเพื่อแสดงให้เซรอนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร เพื่อที่เซรอนจะได้ไม่หวาดกลัวเมื่อต้องต่อสู้กับสัตว์ที่กระหายเลือดหรือโจร หรือมนุษย์ที่มีจิตสังหาร

 

แต่ของเจสันนั้นมันแข็งแกร่งมาก เมื่อเทียบกับจิตสังหารระดับต่ำสุด

 

เซรอนถอยหลังไป 2-3 ก้าวเหงื่อไหลอย่างชุ่มตัว ขณะที่ดวงตานั้นกำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

 

‘นั้นเจสันจริงๆ หรอ ?’

 

God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้า

God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้า

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes
Score 7.8
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้าจากการสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เขาต้องเอาชีวิตรอดในโลกที่เขามองไม่เห็น … คนตาบอดที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกาฝากตามทาง ในสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้และจิตวิญญาณในการบังคับให้เติบโต ความคิดของเขานั้นแตกต่างจากคนรอบข้างในขณะที่เขาไม่รังเกียจที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเขาเอง วันที่เขาถูกปลุกดวงวิญญาณของเขา คือวันที่เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังในขณะที่พระเจ้าเล่นตลกกับเขา เนื่องจากการปลุกดวงวิญญาณของเขาเป็นพรจอมปลอม ใครๆก็คิดว่าเขานั้นตาบอด จนกระทั่งวินาทีที่เขาเบิกเนตรสีทองของเขาที่กระพริบเป็นประกาย ที่รอคอยที่จะกลืนกินทุกคนที่กล้าขัดขวางเส้นทางของเขาไปสู่ยอดเป้าหมาย โปรดติดตามเจสันในการเดินทางผจญภัยทั่วโลกอันกว้างใหญ่นี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset