ตอนที่ 11 เซียนสุรา
ไม่ใช่ว่าหลินเซวียนหมดความอดทน แต่หากเขาไม่ฆ่าก็จะกลายเป็นผู้ถูกฆ่าแทน ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดก่อนหน้านี้ จางปิ่นก็เห็นมันกับตา หากข่าวนี้แพร่ออกไป เขาจะต้องถูกไล่ล่าอย่างไม่ต้องสงสัย
บรู๊ว!
เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นรอบด้าน การต่อสู้เมื่อครู่ดึงดูดสัตว์ป่ามามากมาย ตอนนี้เลือดมนุษย์กำลังไหลนองพื้น ส่งผลให้กลิ่นที่ดึงดูดสัตว์ร้ายยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก
หลินเซวียนนั้นไม่มีพลังเพียงพอจะสู้กับสัตว์ป่าเหล่านี้ เมื่อนึกว่าร่างของจางปิ่นคงถูกกินอีกไม่นานและหลักฐานทั้งหมดคงถูกทำลาย เขาจึงรีบพุ่งหนีออกจากป่าโดยทันที
เพียงไม่นานหลังจากหลินเซวียนไป ฝูงหมาป่าหิวโหยได้พุ่งเข้าขย้ำร่างของจางปิ่นและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว
…
เมื่อหลินเซวียนกลับมายังสำนัก มันเป็นเวลาเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างค่อย ๆ เลือนหายไปตามขอบภูเขา
หลินเซวียนพาร่างกายอันเหน็ดเหนื่อยกลับไปยังห้อง จากนั้นได้ตรงเข้าไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นยามราตรีที่มีแสงจันทร์ส่องจาง ๆ อยู่
หลินเซวียนรีบลุกขึ้นสำรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน จี้ดาบภายในตัวเขายังคงอยู่ดี พลังวิญญาณสีฟ้าเองก็โคจรอย่างสงบ ส่วนพลังงานสีดำอันลึกลับ หากไม่ใช่เวลากลางวัน เช่นนั้นก็จะมองไม่เห็นมัน
“มันคืออะไรกันแน่!” หลินเซวียนลูบคางพลางนึกคิด
‘ฉากตอนมันดูดเลือดและเนื้อของมนุษย์นั้นน่าขนลุกอย่างมาก คนเป็น ๆ ถูกดูดมวลกล้ามเนื้อและของเหลวในร่างจนแห้งเหือด สิ่งนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ ยิ่งนึกหลินเซวียนยิ่งตัวสั่น
“มันเป็นสิ่งใดกันแน่ที่มาอยู่ในตัวเรา? เหตุใดท่านพ่อถึงให้ของแบบนี้มาด้วย?” หลินเซวียนมีคำถามมากมายในหัว
“ว่าไงเจ้าหนูนักดาบ!” ทันใดนั้นเสียงคนพูดได้ดังขึ้น
กล้ามเนื้อทั้งตัวของหลินเซวียนนั้นอ่อนล้าอย่างมาก เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นดูผ่านหน้าต่าง ดาบของเขาเตรียมพร้อมจะแทงตลอดเวลา แต่กลับไม่มีใครในระยะสายตา
“ลุกขึ้นเร็วเข้า หรือจะให้ข้าเผยตัวตน!”
“เอาล่ะ… ไม่ต้องไปไหนแล้ว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว… เอิ้ก!” น้ำเสียงที่ดังขึ้นฟังดูค่อนข้างขี้เกียจและเมา…
จากนั้นหลินเซวียนรู้สึกทุกอย่างตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที เวลานี้ตรงหน้าเขาไม่ใช่กระท่อมที่พักอีก แต่มันกลับเป็นทุ่งหญ้ากว้าง อีกทั้งยังมีต้นไม้สูงใหญ่แต่แห้งเฉาตั้งอยู่โดดเดี่ยว
ภายใต้ต้นไม้นั้น มีร่าง ๆ หนึ่งนั่งอยู่ เขามีผมสีดำและสวมชุดสีขาว ร่างนั้นหันมามองหลินเซวียน แต่ใบหน้าของเขากลับไม่อาจเห็นได้ชัดนัก
“เจ้า… เจ้าเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน?” หลินเซวียนพยายามทำใจเย็นและข่มอารมณ์ตื่นตระหนกไว้ในใจ
“นี่ เจ้าหนู ไม่เลวนี้หว่า เห็นข้าแล้วยังไม่ฉี่รดกางเกง” ร่างสีขาวหันมาเมื่อได้ยินหลินเซวียน
อายุของเขาประมาณผู้ชายวัยกลางคน อีกทั้งยังมีใบหน้าที่ดูหล่อเหลา แต่ด้วยผลของสุรา มันทำให้หน้าของเขาแดงก่ำและบิดเบี้ยวจนทำลายความหล่อเหลานั้น
“เจ้าหนู ข้าไม่ได้พบใครมานาน มันรู้สึกดีมากเลยที่เจอเจ้าตอนนี้!” ชายวัยกลางคนในชุดขาวพูดพลางเขย่าน้ำเต้าในมือ
“ท่านเป็นใครแล้วเหตุใดถึงพาข้ามาที่นี่?” หลินเซวียนดูตื่นตัว
“หนุ่มน้อย อย่าเพิ่งร้อนใจไป มันไม่สำคัญหรอกว่าข้าเป็นใคร แค่ทราบว่าข้าไม่ทำร้ายเจ้าก็พอ สำหรับที่แห่งนี้ มันคือภายในตัวเจ้ายังไงล่ะ“
“อะไรนะ? ในตัวข้างั้นหรือ?” หลินเซวียนแทบจะตะโกนออกมา จากนั้นเขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเผยแววตาอันไม่น่าเชื่อ
“หรือจะเป็นจี้ดาบลึกลับนั้นหรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกน้ำเต้าในมือดื่มต่อ
“เกิดอะไรขึ้นกับดอกบัวสีดำในตัวข้า? แล้วดาบนั้นคืออะไร?” หลินเซวียนเอ่ยถาม
ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หนุ่มน้อย ข้าทราบว่าเจ้ามีคำถามมากมาย เจ้าจะหาคำตอบมันได้เองเมื่อเวลามาถึง ตอนนี้ข้าจะยังไม่บอกอะไร“
‘แล้วเหตุการณ์ที่มันดูดกินเลือดเนื้อมนุษย์นั่นล่ะ? คงไม่ใช่เขาหรอกใช่หรือไม่?’ หลินเซวียนพลันนึกถึงเหตุการณ์อันน่าสยดสยองก่อนหน้านี้
“เจ้ามีพลังอยู่ในตัว แต่มันค่อนข้างลึกลับ พลังนี้ได้ถูกกระตุ้นและปลุกข้าให้ตื่นจากการหลับไหลอันยาวนาน ส่วนมันคืออะไรนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ” ท่าทีชายวัยกลางคนดูเคร่งขรึมขณะกล่าว
แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นท่าทีขี้เกียจเช่นเดิม “ไม่ต้องกังวล หากข้าอยู่ที่นี่ พลังลึกลับนั่นก็จะไม่ออกมา!”
หลินเซวียนทราบว่าตนเองถามไปก็ไม่ได้คำตอบอะไร ดังนั้นจึงไม่ถามต่อ แต่การปล่อยให้ชายผู้นี้อาศัยอยู่ในร่างมันก็กระไรอยู่…
“นี่ ท่านคงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปใช่หรือไม่? ท้องของข้าไม่ใช่โรงเตี๊ยมนะ!”
ชายวัยกลางคนยิ้มกลับพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “เจ้าไม่ต้องการเป็นศิษย์สายตรง เจ้าไม่ต้องการกลับไปยังตระกูลอย่างผ่าเผย เจ้าไม่ต้องกายแข็งแกร่งแล้วงั้นหรือ?”
เสียงของชายวัยกลางคนดูเหมือนมีมนต์ขลังบางอย่าง มันทำให้หลินเซวียนรู้สึกฉงนขึ้นมาทันที
“หากไม่มีดอกบัวสีดำนั่นกักขังจุดชีพจรข้า ด้วยพรสวรรค์ที่ข้ามี มันคงไม่ยากที่จะแข็งแกร่งขึ้นหรอก” หลินเซวียนกล่าวอย่างมั่นใจ
“พรสวรรค์เจ้าไม่เลว แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่ากำลังตามหลังคนอื่นอยู่เท่าไหร่? ทรัพยากรที่ต้องใช้อีกเท่าไหร่? เจ้ามีเวลามากพอหรือไง?”
“แล้วท่านมีหนทางหรือ?” ใบหน้าของหลินเซวียนแสดงถึงความสงสัย คฤหาสน์จอมดาบนั้นจะเปิดสุสานบรรพบุรุษทุก ๆ สิบปี ตอนนี้มันเหลือเวลาไม่ถึงสองปีแล้วที่ครั้งถัดไปจะเปิด หากต้องการเข้าไปที่นั่น เขาต้องไต่ขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรกของเด็กหนุ่มในตระกูลให้ได้
ก่อนที่เขาจะออกมาจากตระกูล เด็กหนุ่มบางส่วนของตระกูลได้บรรลุไปถึงขั้นสมุทรวิญญาณแล้ว ขณะที่เขายังอยู่เพียงขั้นเปิดชีพจรระดับสาม ช่องว่างระหว่างทั้งสองเปรียบเสมือนสายน้ำเชี่ยวแห่งธรรมชาติซึ่งยากที่จะข้ามไปได้
เมื่อเห็นใบหน้าของหลินเซวียนหดหู่เล็กน้อย ชายวัยกลางคนจึงเผยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าวิชาคงกระพันเป็นยังไงบ้าง?”
“หรือว่าเป็นท่านที่มอบเคล็ดวิชานั้นให้!?” หลินเซวียนนึกถึงวิชาคงกระพันทันที
“หากไม่มีเคล็ดวิชาคงกระพัน เจ้าคิดว่าจะบรรลุขั้นพลังได้รวดเร็วราวกับจรวดแบบนี้หรือไง?” ชายวัยกลางคนกล่าวต่อ “ตอนนี้เชื่อในความสามารถของข้าแล้วหรือยัง?”
“ท่านต้องการอะไรจากการช่วยเหลือข้าล่ะ?” หลินเซวียนถามอย่างตรงไปตรงมา เขาทราบว่ามันไม่มีอะไรที่ได้มาได้โดยไม่ต้องจ่ายราคา
“สิ่งที่ข้าต้องการนั้นง่ายมาก ข้าจะบอกเจ้าเมื่อความแข็งแกร่งของเจ้าถึงขั้นแล้ว” ชายวัยกลางคนมองออกไปไกล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผันผวน
“ตกลง!” หลินเซวียนคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร “งั้นก็รีบให้ข้าบรรลุขั้นสมุทรวิญญาณเร็ว” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา
ฟู่! สุราในปากชายวัยกลางคนพุ่งออกมาทันที “ข้าอยากจะฆ่าเจ้าด้วยเหล้าในปากนี้เสียจริง! เจ้าคิดว่าการบ่มเพาะพลังคืออะไร? อยากจะไปถึงสวรรค์เพียงก้าวเดียวงั้นหรือ? กลับไปฝันเถอะ!”
“อ๊ะ น่าเสียดาย เหล้าข้า…” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ
หลินเซวียนใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่ว่ายังไงชายตรงหน้าคนนี้ก็ไม่ต่างจากขี้เมาริมทาง เขารู้สึกเหมือนถูกหลอกอยู่นิดหน่อย
“ต่อจากนี้เจ้าจงเรียกข้าว่าเซียนสุรา ข้าจะชงเหล้าวิญญาณระดับต่ำให้ เพื่อที่เส้นชีพจรก็เจ้าจะได้ทนทายาด“
“ชงเหล้า? เจ้าจะให้ข้าดื่มงั้นหรือ?” หลินเซวียนรู้สึกอยากจะเป็นบ้า
“ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะ?” เซียนสุรารู้สึกไม่ค่อยพอใจ “หลายปีก่อน มีแต่คนระดับสูงต้องมาขอร้องอ้อนวอนให้ข้าทำเหล้าให้พวกเขา หากเจ้าได้ดื่มเหล้าของข้า รับรองเลยว่าเจ้าจะต้องพึงพอใจ“
เขาไม่เชื่อว่าหลินเซวียนจะเชื่อหรือไม่ก่อนจะกล่าวต่อ “ผลไม้ทรงอสรพิษสามลูก พร้อมกับหญ้าใบม่วงหนึ่งใบ นำมาให้ข้า แล้วข้าจะชงเหล้าให้“
“อะไรนะ? ผลอสรพิษสามลูก ใบหญ้าม่วง? เจ้าอยากให้ข้าออกไปปล้นหรือไง!?” หลินเซวียนตะโกนขึ้น เขาเคยเห็นมันให้ห้องโถงภารกิจ ผลไม้ทรงอสรพิษนั้นต้องใช้แต้มสะสมห้าสิบแต้ม แต่เขามีแต้มสะสมเพียเล็กน้อยตอนนี้ และถึงแม้จะมีแต้มเพียงพอเขาก็ไม่คิดจะเอาไปแลกแน่นอน
“หากข้าไม่ได้มันข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ยังไงก็ตาม ข้าไม่ใช่คนที่เดือดร้อนในการรีบฝึกฝนตนเองสักหน่อย” เซียนสุราหาวพร้อมสะบัดมือ จากนั้นลมกรรโชกได้พัดขึ้นเพื่อส่งหลินเซวียนกลับไป