ตอนที่ 110 ผู้กลั่นพลังกาย?
ความเร็วอันน่าภาคภูมิใจของตงหยิงถูกอ่านออกอย่างสมบูรณ์โดยนัยน์ตาสีม่วง
ฟูม! ฟูม!
การโจมตีของตงหยิงรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทุกครั้งที่โจมตีเขาจะหายตัวไปทันที
ด้านล่างลานประลอง ศิษย์มากมายกําลังมองอย่างกังวล เพราะดูเหมือนหลินเซวียนกําลังเสียเปรียบ
เขากระทืบพื้นบนลานประลอง แรงกระแทกทําให้ทั้งลานประลองสั่นไหวถึงสามครั้ง
แกร๊ก! รอยแตกราวกับใยแมงมุมปรากฏขึ้นบนพื้นทันที คลื่นพลังงานที่รุนแรงพุ่งขึ้นเหมือนกระแสน้ําโดยมีหลินเซวียนเป็นศูนย์กลาง จากนั้นคลื่นอากาศโปร่งแสงก็กวาดไปทั่วพื้นที่
ฟุบ!
ร่างของตงหยิงชะงักอยู่กับที่ทันที ดวงตาของเขาเผยความตกตะลึงและผวา
“ความเร็วของเจ้าไม่มีผลกับข้า!” เสียงของหลินเซวียนดังขึ้นอย่างเย็นเยือก
“ไม่มีผลงั้นเรอะ?” ตงหยิงเย้ยเยาะกลับ “เจ้ายังไม่เห็นพลังที่แท้จริงของข้า ตอนนี้ข้าจะแสดงให้ดูเอง”
ไอพลังสีม่วงได้ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาราวกับเปลวไฟ
“วิญญาณราชสีห์ล่าเหยื่อ!”
เปลวไฟสีม่วงได้รวมตัวกันบนขาทั้งสองข้างของเขา จากนั้นมันได้ก่อตัวเป็นรูปหัวสิงโตที่คํารามอย่างเกรี้ยวกราด
ฟิ้ว!
ร่างของตงหยิ่งหายไปทันที
จากนั้นไม่นาน เขาได้มาถึงหลินเซวียนพร้อมลูกเตะกลางอากาศ
มันราวกับสิงโตนับไม่ถ้วนกําลังเข้าตะครุบเหยื่อ เพลิงสีม่วงของเขาได้เข้าปกคลุมหลินเซวียนทันที และแรงกดดันที่มองไม่เห็นได้ปรากฏขึ้นในอากาศ
เสียงคํารามของราชสีห์นั้นทําให้เลือดลมของผู้ชมถึงกับเดือดพล่าน
“เมื่อศิษย์น้องตงใช้วิชาวิญญาณราชสีห์ล่าเหยื่อ เช่นนั้นก็เท่ากับจบแล้ว” จ้าวจือเฉิงกล่าวอย่างมั่นใจ “แม้แต่ข้าก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากระบวนท่านี้ตรง ๆ เจ้าหลินเซวียนคนนั้นไม่คิดจะหลบเท่ากับว่ามันรนหาที่ตายแล้ว!”
ศิษย์รอบด้านเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก จ้าวจือเฉิงอยู่อันดับห้า และฝีมือไม่ธรรมดา เมื่อเขาพูดเช่นนั้น หลินเซวียนต้องตายแน่นอน!
“เอาเลยศิษย์พี่ตง!” กลุ่มศิษย์น้องด้านล่างส่งเสียงขึ้น
ขณะเดียวกัน หลินเซวียนยังมีใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไป ภายใต้การสังเกตของเขา กระบวนท่าของตงหยิงนั้นถูกมองออกตั้งนานแล้ว
เท้าของเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นประกายแสงสีทองได้สว่างขึ้นรอบตัว
เขายื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บราวกับกรงเล็บมังกร มันรวดเร็วอย่างมากจนจับขาของตงหยิงได้
“เร็วมาก!” ใบหน้าจ้าวจือเฉิงเปลี่ยนไป แม้แต่ถังอี้เซียงเฉินและคนอื่น ๆ ก็ถึงกับเปิดตากว้าง พวกเขามองหลินเซวียนอย่างเคร่งขรึม
” อะไรกัน?” ตงหยิงตกตะลึงมากกว่าใคร เขามีความเร็วที่ยอดเยี่ยมมาก แต่กลับถูกจับได้ลง
“ปล่อยข้า!” ตงหยิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว เปลวไฟสีม่วงได้ระเบิดออก จากนั้น พลังวิญญาณของเขาเข้ากดดันหลินเซวียนทันที
หลินเซวียนหาได้กลัวไม่ ร่างกายของเขาได้รับการกลั่นมาอย่างดีในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เมื่อต้านพลังของตงหยิงได้แล้ว เขายกร่างของตงหยิงขึ้นก่อนจะฟาดลงพื้นอย่างแรง
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วลานประลอง จากนั้นหลุมขนาดใหญ่ได้ปรากฏตรงหน้าทุกคนเศษหินและดินกระจายไปทั่วอากาศ
ฟานช่งที่อยู่ในฝูงคนกําลังมองอย่างผวา หน้าผากของเขาถึงกับเหงื่อแตก เขารู้สึกถึงความกลัวต่อหลินเซวียนอีกครั้ง
“อ๊าก!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ภายในหลุม เสียงของตงหยิงได้ดังขึ้น
การกระทําเมื่อครู่ทําให้เขาบาดเจ็บอย่างหนัก ร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยบอบช้ํา ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นดิน เส้นผมก็กระเซอะกระเซิง เวลานี้เขาอยู่ในสภาพที่น่าอับอายอย่างมาก
แต่ไม่ว่าจะโกรธยังไง เขาก็ไม่สามารถหลุดออกจากการควบคุมของหลินเซวียนได้ มือของเขาราวกับอสรพิษเหล็กขณะจับขาของตงหยิง
“เจ้า…เจ้าเป็นผู้กลั่นพลังกาย!” ตงหยิงรู้สึกสะพรึงขึ้นมา เขายอดเยี่ยมในเรื่องความเร็ว และ ไม่ถนัดในการต่อสู้แบบตรง ๆ ดังนั้นเขาต้องอยู่ให้ห่างจากผู้ฝึกพลังกายและวรยุทธ์ระยะประชิด
หลินเซวียนไม่ตอบสิ่งใด เขากระโดดขึ้นฟ้าก่อนจะพาตงหยิงขึ้นไปด้วย
“ไม่นะ อย่า!” ตงหยิงตะโกนขึ้นดัง
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ร่างของตงหยิงถูกฟาดเข้ากับพื้นอย่างจัง หลินเซวียนยังไม่หยุด
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทั้งลานประลองแทบจะแตกออกจากกัน ศิษย์รอบด้านมองอย่างลืมหายใจกับฉากนี้
ใบหน้าจ้าวจือเฉิงถึงกับมีดดํา เขาอยากจะเข้าไปและจัดการหลินเซวียนตอนนี้ ตงหยิงไม่เพียง แต่จะเป็นศิษย์สายตรง เขายังเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน พวกเขาคือศิษย์ของผู้อาวุโสเยว่
การกระทําของหลินเซวียนไม่ต่างจากยั่วผู้อาวุโสเยว่ มันจึงทําให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง ถังอี้กําลังมองหลินเซวียนพร้อมเอ่ยถามเสียงต่ํา “เจ้าคิดเห็นยังไง?”
ดวงตาเซียงเฉินเปล่งประกาย “ดูเหมือนเขาจะคล้าย ๆ จ้าวจือเฉิง เขามีพลังกายที่เหนือ กว่าคนธรรมดา อีกทั้งยังเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบ มันยากที่จะต่อกรได้”
“บางทีเขายังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง มันเหมือนเขากําลังหยอกล้ออยู่” เสียงของถังอี้กล่าวอย่างสงสัย
เชียงเฉินไม่กล่าวสิ่งใดและมองหลินเซวียนอีกครั้ง
บนสนาม ตงหยิงร่างกายพังยับเยิน พลังวิญญาณสีม่วงรอบตัวของเขากะพริบราวกับจะดับลงตลอดเวลา
“เอาล่ะ! เจ้าชนะแล้ว” จ้าวจือเฉิงที่อยู่ด้านข้างลานประลองกัดฟันพูด
เขาเห็นแล้วว่าตงหยิงไม่สามารถสู้ต่อได้อีก แม้แต่พลังวิญญาณก็ดูไม่ปกติ หากเป็นเช่น นี้ต่อไป เขาต้องตายแน่
กึก!
หลินเซวียนขยับแขนโยนตงหยิงออกไป จากนั้นได้มองจ้าวจือเฉิง
“เจ้าคือคนต่อไป!”
ผู้คนต่างหยุดหายใจและไม่กะพริบตา เพราะกลัวจะพลาดฉากสําคัญ
“ตามที่ต้องการ!” จ้าวลือเฉิงแสยะยิ้ม เขากระโดดขึ้นไปบนลานประลองทันทีพร้อมทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้น
“ข้าจะให้เจ้ารู้จักกับผู้กลั่นพลังกายของจริง!”
จ้าวจือเฉิงกล่าวเสียงต่ํา เขากลายเป็นภาพติดตาขณะพุ่งไปทางเหลินเซวียน
ตู้ม!
เพียงแค่หมัดเดียวก็สั่นสะเทือนไปทั่วลานประลอง มันราวกับจะถล่มได้ตลอดเวลา หมัดที่พึ่งตรงมาทรงพลังและเกรี้ยวกราดอย่างมาก มันราวกับมังกรที่พร้อมจะทะลวงทุกสิ่ง
หลินเซวียนไม่หลบ แต่กลับขยับมือเพื่อปล่อยหมัดออกไปปะทะ เขาต้องการทดสองร่างกายของตนเช่นกัน
ตู้ม!
หมัดทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ เสียงระเบิดดังสนั่นหูผู้ชม คลื่นพลังได้กวาดออกรอบด้าน
ทั้งสองคนยืนหยัดราวกับภูเขาหินและไม่มีใครถอย
“เขาสามารถต้านพลังจ้าวจือเฉิงได้!”
“เขาเป็นผู้ใช้ดาบไม่ใช่หรือ ทําไมถึงได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งนัก?”
ทุกคนทราบว่าหลินเซวียนเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบ แต่ตั้งแต่เริ่มกลับไม่มีใครเห็นเขาใช้ดาบเลยสักครั้ง กลับกันเขาใช้แค่ร่างกายเท่านั้น
“น่ากลัวมาก!”
“เขาเป็นมนุษย์อยู่ใช่หรือไม่?”
ดวงตาจ้าวจือเฉิงเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ ผู้คนย่อมมีขีดจํากัดเป็นของตนเอง เขาเองก็มุ่งมั่นไปในทางถนัด นั่นคือการฝึกฝนพลังกาย
และที่เขาทราบ ผู้ใช้ดาบก็น่าจะมุ่งมั่นกับการฝึกดาบ แต่หลินเซวียนตรงหน้า นอกจากจะมีเจตนารมณ์แห่งดาบแล้ว ร่างกายยังได้ถูกกลั่นมาอย่างดี ‘มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่!’
‘ไม่มีทาง เขาคงใช้กําลังทั้งหมดเพื่อสู้กับเราไปแล้ว!’ เมื่อนึกได้เช่นนี้ จ้าวจือเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกและพร้อมจะโจมตีอีกครั้ง